ตอนที่ 172 รักษาองค์ชาย ขอผลประโยชน์ (3)
“คุณหนูเหยา ลำบากเจ้าแล้ว” สีหน้าซีดขาวของเฉิงอ๋องดีขึ้นมาบ้าง แล้วหันไปส่งยิ้มให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ “บาดแผลขององค์ชายอาเอ่อร์เข้อคงไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วใช่หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่มองอาปาเข้อช่าที่ยังคงนอนสลบอยู่แวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “น่าจะไม่แล้วเพคะ ทว่าบาดแผลของเขาติดเชื้ออย่างรุนแรงเกินไป ตอนนี้ยังมีไข้ ดังนั้นต้องใช้ยาต้มสมุนไพรเพคะ”
แม่นางของอาปาเข้อช่าจึงเบียดเข้ามา แล้วมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความจริงจัง พร้อมกับถามขึ้น “หมอเซียนเหยา! องค์ชายจะฟื้นขึ้นเมื่อใด”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มขมขื่น แล้วตอบกลับ “จริงๆ ข้าหวังว่าเขาจะได้นอนพักเยอะๆ”
“เพราะเหตุใดล่ะ!” แม่นางทำหน้าตกตะลึง แล้วทำท่าทางที่ไม่เข้าใจ
“เพราะว่าร่างกายของมนุษย์ แค่ได้นอนหลับสนิทก็จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดของการซ่อมแซมร่างกายด้วยตัวเอง” เหยาเยี่ยนอวี่มองแม่นางตรงหน้าที่กำลังตกตะลึงจนอ้าปากกว้าง แล้วคลี่ยิ้ม พร้อมกับพูดขึ้นเพิ่มเติม “อีกอย่าง หากเขาฟื้นแล้ว จะได้ไม่ต้องทนกับความเจ็บปวดของบาดแผล ดังนั้นให้เขานอนหลับเยอะๆ ไปสักพักเสียเถอะ”
“อ่อ! ได้! ได้…” แม่นางพยักหน้าเหมือนกำลังทุบต้นหอมอยู่
เหยาเยี่ยนอวี่มองทุกคนที่มุงล้อมอยู่รอบตั่งไม้แคบเพียงพริบตา แล้วถามขึ้น “ท่านอ๋องและท่านกั๋วกงยังมีอะไรจะสั่งการหรือไม่”
“ไม่มีแล้ว” เฉิงอ๋องมองเจิ้นกั๋วกง
เจิ้นกั๋วกงพยักหน้า แล้วสั่งคนที่อยู่ข้างๆ “ยกองค์ชายเข้าไปแล้วปรนนิบัติรับใช้เป็นอย่างดี คุณหนูเหยา เชิญไปจิบน้ำชาที่ห้องโถงหน้าหน่อย ได้หรือไม่”
ครั้งนี้แม้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะไม่เหนื่อยจนเป็นลมเป็นแล้ว ทว่าก็เหนื่อยแล้วจริงๆ จึงโค้งลำตัวตอบตกลง แล้วติดตามคนกลุ่มหนึ่งเดินไปข้างหน้า
เหยาเหยียนอี้ที่เฝ้าอยู่ตรงใต้ชายคาระเบียงมาตลอด เวลานี้พอเห็นทุกคนออกมาถึงจะเดินตามไป ทุกคนกลับไปยังห้องโถงหน้า หลังจากที่นั่งลงตามศักดิ์และยศของตนเอง เว่ยจางที่เรียกให้คนไปเตรียมน้ำแกงโสมก็ได้ยกมาแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่รับน้ำแกงโสมแล้วมองเว่ยจางอย่างซาบซึ้งเพียงชั่วพริบตา แล้วก้มหน้าดื่มไปครึ่งถ้วยอย่างช้าๆ ที่เหลือจึงยื่นไปให้ชุ่ยผิง
หลังจากที่เฉิงอ๋องชื่นชมให้ทักษะการแพทย์อันอัศจรรย์ของเหยาเยี่ยนอวี่เสร็จ ก็ถามเหยาเยี่ยนอวี่เกี่ยวกับอาการที่อาปาเข้อช่าได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย เหยาเยี่ยนอวี่จึงตอบกลับเป็นข้อๆ
เจิ้นกั๋วกงพาทหารไปออกรบที่ชายแดนเขตตะวันตกเป็นเวลาสองปีกว่า สำหรับเรื่องของอาปาเข้อช่าสามารถบอกได้ว่าเขารู้แจ้งกระจ่างชัด เรื่องที่อาปาเข้อช่าถูกอารักขาคนสนิทคุ้มกันจนลักลอบเข้ามาในเมืองหลวงอวิ๋นก็เป็นคนของเขาที่ไปสืบมา ครั้งนี้ก็ได้ใช้เหยาเยี่ยนอวี่ไปล่อคนออกมา ก็คือความคิดของเขา
ถึงเวลานี้ เจิ้งกั๋วกงถึงจะอธิบายกับเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ครั้งนี้เจอกับสถานการณ์บังคับ ทำให้คุณหนูเหยารู้สึกตื่นตกใจแล้ว ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ จึงไม่กล้าแจ้งให้คุณหนูเหยารับทราบเสียก่อน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดข้อผิดพลาดของแผนการ คุณหนูเหยาอย่าได้ถือสาเลย”
เหยาเยี่ยนอวี่ที่ค่อยๆ ดีขึ้นจากอาการโกรธเคืองที่ถูกหลอกใช้มาตั้งนานแล้ว อีกอย่าง นางสามารถตอบตกลงที่จะรักษาองค์ชายผู้ที่โชคร้ายท่านนี้ด้วยความเต็มใจ ก็ล้วนเป็นความคิดของนางเอง เจิ้นกั๋วกงไม่พูดคำๆ นี้ นางยังไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดอย่างไร ครั้งนี้เขาพูดเช่นนี้ออกมา เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้สึกว่าตนเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรอีก จึงยอมพูดขึ้นอย่างกระจ่างแจ้ง “ท่านกั๋วกงกล่าวเกินจริงแล้ว ข้าตัดสินใจรักษาแผลขององค์ชายอาปาเข้อท่านนี้ แท้จริงว่าก็มีวัตถุประสงค์ อีกอย่าง เรื่องนี้ยังต้องเชิญท่านอ๋องและท่านกั๋วกงเป็นคนตัดสินเพคะ”
“อ่อ?” เจิ้นกั๋วกงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จึงหันไปมองเฉิงอ๋อง
เฉิงอ๋องคลี่ยิ้ม และนึกว่าแม่นางผู้หนึ่งจะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ก็คงเป็นเพียงการขอให้ได้รับผลประโยชน์ ดังนั้นจึงพูดด้วยเสียงเรียบ “ว่ามาเถอะ แค่ไม่เป็นเรื่องที่เกินไป เปิ่นอ๋องและเจิ้นกั๋วกงจะเป็นคนตัดสินแทนเจ้าเอง”
เหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้น แล้วโค้งลำตัวน้อมคำนับให้กับสองท่านที่กำลังนั่งอยู่ “เช่นนี้ เยี่ยนอวี่ก็ขอบพระทัยท่านอ๋องและท่านกั๋งกงแล้วที่ทรงเมตตา”
“ว่ามาเถอะ” เจิ้นกั๋วกงพยักหน้าเล็กน้อย
“ได้ยินเผ่าอาเอ่อร์เข้อใช้ชีวิตอยู่ในเขตที่มีการเกิดภูเขาไฟระเบิด จึงชำนาญในการควบคุมไฟ และชำนาญในทักษะการหลอม และได้ยินมาว่าเมื่อพันกว่าปีก่อน บรรพบุรุษของพวกเขาสามารถหลอมของบางอย่างให้เกิดการโปร่งใสเหมือนดั่งผลึก ที่เรียกว่ากระจก ข้าอยากจะขอสูตรและวัตถุดิบของการหลอมผลึกของพวกเขาเพคะ”
“เจ้าอยากจะขอสูตรลับของคนอื่นงั้นหรือ” เฉิงอ๋องมองเจิ้นกั๋วกงเพียงพริบตาด้วยความแปลกใจ
เจิ้นกั๋วกงถอนหายใจอย่างลำบากใจเล็กน้อย “นี่เป็นความลับที่เผ่าอาเอ่อร์เข้อไม่ให้คนอื่นสืบทอด พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่ยากไร้ ดินแดนที่ไม่อุดมสมบูรณ์ ไม่มีแม้แต่หญ้าขึ้น นี่เป็นทักษะในการเอาตัวรอดที่พวกเขาพึ่งพา เกรงว่า…คงจะไม่ให้ง่ายๆ!”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ให้อาปาเข้อช่ารอสูญสิ้นชีวิตเถอะ”
“เอ๊ะเจ้า!” สีหน้าของเฉิงอ๋องหม่นหมองลงทันที “การรักษาอาปาเข้อช่าเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ เหยาเยี่ยนอวี่ เจ้ากำลังจะขัดขืนคำสั่งของฮ่องเต้หรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่โค้งลำตัวลงเล็กน้อย แล้วพูดด้วยเสียงอันเริงร่า “ทูลเฉิงอ๋อง ไม่ใช่เหยาเยี่ยนอวี่ขัดขืนคำสั่งของฮ่องเต้ แท้จริงแล้วทักษะลับนี้มีความสำคัญต่อหม่อมฉันยิ่งนัก หม่อมฉันอยากจะสร้างอุปกรณ์ทางการแพทย์ชนิดหนึ่ง และต้องใช้วัตถุดิบชนิดนี้เท่านั้นเพคะ”
“เจ้าต้องการของเช่นไร ก็ให้พวกเขาทำให้เจ้าก็พอ”
“แม้แต่แคว้นพวกเขาก็ไม่มีแล้ว แล้วจะสร้างมาจากแห่งใดให้หม่อมฉันหรือเพคะ อีกทั้ง ของชิ้นนี้ที่หม่อมฉันจะสร้างมาเกี่ยวโยงกับทักษะการแพทย์ที่หม่อมฉันวิจัยมานาน อุปกรณ์ชนิดนี้ต้องทำอย่างพิถีพิถันอย่างนัก หรือว่าท่านอ๋องหวังว่าความลับของทักษะการแพทย์ของหม่อมฉันจะให้คนอาเอ่อร์เข้อรู้เพคะ”
เฉิงอ๋องจึงโต้แย้งกลับทันที “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!”
หันซังเกอจึงเอ่ยขึ้นในเวลานี้ “ท่านอ๋อง เสด็จพ่อ คำขอของคุณหนูเหยาไม่ได้เกินไปเลยพ่ะย่ะค่ะ พวกเราช่วยองค์ชายเพียงผู้เดียวของเผ่าอาเอ่อร์เข้อ พวกเขาก็ต้องถวายสูตรลับออกมาก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงอ๋องมองหันซังเกอเพียงพริบตาเดียว แล้วมองเจิ้นกั๋วกงอีกครั้ง พร้อมกับพึมพำด้วยเสียงเรียบ “จะยอมหรือไม่ยอมเป็นเรื่องของพวกเขา รอให้อาปาเข้อช่าฟื้นขึ้นมาก่อน คุณหนูเหยาสามารถเจรจากับเขาด้วยตัวเอง”
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกไม่มีความสุข ตอนที่จะช่วยคน คนเหล่านี้ต่างก็แสดงความเป็นท่านอ๋องท่านกั๋วกงและยังบอกว่าเป็นการสร้างประโยชน์อันใหญ่หลวงให้กับแคว้นอย่างโน้นอย่างนี้ ตอนนี้พอตัวเองจะขอผลประโยชน์บ้าง พวกเขากลับไม่สนใจ?
เจิ้นกั๋วกงคลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดเพิ่มเติม “คุณหนูเหยาสามารถใช้แผนการบางอย่าง! พวกเราคงไม่มีทางลำเอียงไปเข้าข้างคนนอกอย่างเขาหรอก”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มางๆ ภายในใจกำลังคิดว่าหากพวกเจ้าไม่ยุ่ง แน่นอนว่าข้าย่อมคิดหาวิธีได้ แค่พวกเจ้าอย่ามาก่อกวนก็พอแล้ว
จริงๆ แล้วเรื่องนี้เหยาเยี่ยนอวี่สามารถไม่พูด เพราะประเดี๋ยวรอให้เจรจากับองค์ชายอาเอ่อร์เข้อเป็นการส่วนตัวก็พอ ทว่านางก็กลัวว่าตนเองสามารถทำสำเร็จแล้ว แล้วฮ่องเต้ก็ยื่นพระหัตน์เข้ามาแทรกแซง แล้วว่าอย่างโน้นอย่างนี้ แม้กระทั่งอาจจะทำให้เรื่องความยุ่งยาก ดังนั้นจึงยอมพูดอย่างกระจ่างแจ้ง ให้เฉิงอ๋องไปทูลฮ่องเต้เสียก่อน ถือว่าเป็นการลงหมายเลขกับผู้ปกครองแผ่นดินที่อยู่สูงสุด อนาคตถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น วันนี้คำพูดเหล่านี้ก็ได้ปูพรมไว้ให้แล้ว ทุกอย่างจะได้มีคำพูดให้เอ่ยถึง
นี่ไม่สามารถโทษที่นางคิดมากเกินไป จริงๆ แล้วการใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใหญ่เยี่ยงนี้ ไม่ทำเยี่ยงนี้ไม่ได้เท่านั้น
กลับพูดถึงจางชางเป่ยและไหวเอิน ทั้งสองก็ได้ออกจากโรงเตี๊ยมแล้วกลับวังหลวงไปเข้าพบฮ่องเต้
เพิ่งจะผ่านเทศกาลหยวนเซียวไป งานทั่วไปในราชสำนักก็ไม่ถือว่าเยอะ ฮ่องเต้สะสางงานไม่กี่อย่างที่เป็นงานฉุกเฉินของค่ายทหารเสร็จก็ไปดูองค์หญิงหกที่ตำหนักของลี่ผิน
องค์หญิงหกอวิ๋นจู ปีนี้เพิ่งจะครบหกขวบ และวันที่ 16 เดือน 1 เป็นวันคล้ายวันเกิดพอดี ซึ่งเป็นบุตรีรักใคร่ของฮ่องเต้ที่มีพระชมมายุห้าสิบกว่า แน่นอนว่าต้องชื่นชอบนางมากอยู่แล้ว
ตอนที่จางชางเป่ยและไหวเอินเข้าไป ฮ่องเต้กำลังอุ้มอวิ๋นจูไว้บนตักแล้วสอนนางร่ำเรียนตัวอักษร ลี่ผินที่มีรูปลักษณ์พริ้มเพราที่อยู่ข้างๆ ก็พิงอยู่บนไหล่ของฮ่องเต้ และกำลังร่ำเรียนตัวอักษรไปพร้อมกับอวิ๋นจู ภาพเยี่ยงนั้น เหมือนดั่งฮ่องเต้มีบุตรีคนโตและคนเล็กอยู่สองคน