อยากกินข้าวกับนางงั้นเหรอ? งั้นนางจะทำให้เขาคลื่นไส้ให้ดู
กู้ชูหน่วนดึงผ้าคลุมบนใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่น่าตะลึง
“อาหารเช้าน่ากินมาก เจ้าก็กินหน่อยนะ” ว่าแล้ว กู้ชูหน่วนก็ยัดอาหารเข้าปาก แล้วคีบเนื้อให้เขาด้วย
ชิงเฟิงเจี่ยงเสวียมองตาโต มองใบหน้านางด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
เย่จิ่งหานตะลึง รู้สึกปวดใจแทน
นั่นเป็นใบหน้าแบบไหนกัน มีทั้งหลุมทั้งตุ่มเป็นหนองทั้งหมด ขึ้นเต็มใบหน้าของนางจนไม่มีจุดไหนที่สมบูรณ์เลย น่าเกลียดจนอยากอ้วก
นางมีใบหน้าแบบนี้ เย่จิ่งหานไม่รู้ว่านางต้องแยกรับความกดดันมากเท่าไหร่ ถึงว่าทุกคนถึงบอกว่านางขี้เหร่เกินใคร
เย่จิ่งหานขยับริมฝีปาก อยากจะพูดปลอบใจนาง
กู้ชูหน่วนเช็ดแก้มที่ป่องขึ้นมา เพราะนางเช็ดแรงไปหน่อย หนองบนใบหน้าก็เลยแตกออก น้ำหนองกระเด็นพุ่งใส่อาหารบนโต๊ะ
นางเงยหน้าอยากขอโทษ แต่ก็พูดไม่ชัดเจน
“ขอโทษนะ น้ำหนองบนหน้าข้าชอบกระเด็นออกมาตลอด ข้าไม่มีทางเลือก แต่น้ำหนองไม่มีพิษนะ เจ้าก็กินๆไปเถอะ ข้าได้เวลาเข้าเรียนแล้ว ข้าไปเรียนก่อนนะ”
“……”
กู้ชูหน่วนรีบวิ่งออกไปด้านนอก วิ่งไม่ถึงไหน ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เอาใบหน้าที่อัปลักษณ์ของตัวเองไปใกล้เย่จิ่งหาน
แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋อง ข้าขี้เหร่ขนาดนี้ ถ้าพวกเราแต่งงานกันจริง ชีวิตนี้ท่านคงได้โดนเยาะเย้ยตลอดแน่ เรื่องแต่งงานของพวกเราควรยกเลิกดีกว่า ท่านคิดว่าอย่างไร”
“หญิงขี้เหร่คู่ชายพิการ ข้าว่าเหมาะสมกันดีนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ชูหน่วนชะงักค้าง เหมือนเห็นเย่จิ่งหานเป็นหมั่นโถว อยากจะกัดให้แหลกกระจุยเลย “เหอะ ความชอบของท่านอ๋องไม่เหมือนใครจริงๆ ท่านอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
ว่าแล้ว นางก็เดินออกจากจวนอย่างขี้เกียจ
พอนางเดินหายไปแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากของเย่จิ่งหานก็จางหายไป
เขาคิดว่า……
ใบหน้าของนางจะเป็นเหมือนความสามารถของนาง แค่ถูกปิดบังไว้
ไม่คิดว่า……
ชิงเฟิงพูดอย่างกล้าๆกลัวๆว่า “ข้าน้อยให้คนเปลี่ยนสำรับให้นะขอรับ”
“ไม่ต้องแล้ว”
เย่จิ่งหานรู้สึกอัดอั้นตันใจมาก แม้จะมีอาหารอร่อยมากแค่ไหนก็ไม่สนใจอยู่ดี
กู้ชูหน่วนมาถึงราชวิทยาลัย ก็ถูกคนล้อมตัวเอาไว้ทันที ปกติคนที่ดูถูกนางก็ต่างพูดขึ้นมาว่า
“คุณหนูสาม เมื่อก่อนข้ามีตาหามีแววไม่ กลับไม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถขนาดนี้ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ของคุณหนูสามคือใครหรือ?”
“คุณหนูสาม เจ้าแต่งกลอนได้เยอะขนาดนั้นในเวลาอันน้อยนิดได้ยังไง?”
“คุณหนูสาม เจ้ามีการศึกษาที่ดีขนาดนี้ ทำไมตอนที่คนอื่นว่าเจ้าเป็นไก่อ่อน เจ้าถึงไม่ตอบโต้เลยล่ะ?”
“……”
กู้ชูหน่วนรู้สึกปวดหัวไปหมด นางผลักพวกเขาออกแล้วเดินเข้าไปในราชวิทยาลัยต่อ
“ข้าก็เป็นแค่ไก่อ่อน วันนั้นโดนฟ้าผ่ากลางหัว เลยมีแรงบันดาลใจ”
ถ้าเมื่อก่อนพูดแบบนี้ คนอื่นอาจจะเชื่อ แต่หลังจากผ่านงานชุมนุมแข่งขันบุ๋นแล้ว ใครยังจะเชื่อคำพูดนี้ของนางอีก
ความสามารถของกู้ชูหน่วน เกรงว่าราชวิทยาลัยอันใหญ่โตไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้
“คุณหนูสาม งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นเมื่อวาน ไม่ทราบว่าเจ้าชนะไปเท่าไหร่เหรอ ทุกคนเดิมพันให้เจ้าเยอะเลยนะ”
“คุณหนูสาม แนะนำท่านอาจารย์ของเจ้าให้ข้ารู้จักได้หรือไม่ พวกเราก็อยากคารวะอาจารย์ท่านนั้นเหมือนกัน”
“พวกเจ้าล้อมข้าไว้แบบนี้ ข้าหายใจไม่ออกแล้ว” กู้ชูหน่วนสีหน้าบึ้งตึง
ทุกคนต่างก็หลีกทางออก แต่ก็ยังเดินตามกู้ชูหน่วนแล้วถามนู้นนั่นนี่ไม่หยุด
ยังมีบางคนที่ดูถูกกู้ชูหน่วน ต่างก็มองค้อนนางด้วยแววตาที่รังเกียจ หนึ่งในนั้นก็มีองค์หญิงตังตังด้วย
องค์หญิงตังตังแสยะยิ้มเย็นชา “อย่าคิดว่ามีความรู้นิดหน่อยแล้วจะโอหังได้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนที่เก่งกว่าเจ้ามีเยอะแยกถมไป”
กู้ชูหน่วนแหวกผู้คนออกไป กอดอกมองนางจากที่สูง
“เหอะ ข้าคิดว่าใคร ที่แท้ก็เป็นองค์หญิงตังตังผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดในราชวงศ์นี่เอง ข้านึกได้ว่า เจ้าติดค้างขาห้าล้านตำลึง ยังเหลืออีกหนึ่งล้านตำลึงยังไม่ได้ให้ องค์หญิงจะให้เมื่อไหร่เหรอ? หรือว่า เจ้าเหมือนกับเสด็จพี่ของเจ้า ไม่มีเงินให้จึงต้องค้างไว้ก่อน?”