“แต่แล้วเย่เฟิงไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเป็นที่หนึ่งได้ ยังพลาดท่าไปอีกหลายครั้ง กระทั่ง กระทั่งช่วยเหลือท่านนาย ครั้งนี้คงเป็นเพราะหัวหน้ากองธงกล้วยไม้โมโหมาก จึงได้ทรมานเขาเช่นนี้”
ฝูกวงพูดอย่างง่ายดาย แต่กู้ชูหน่วนกับเซียวหยู่เซวียนรู้ว่า ความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดตลอดสิบเก้าปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยคำพูดสองสามคำเท่านั้น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเย่เฟิงที่เป็นคนรักศักดิ์ศรีมากคนหนึ่ง
จนถึงเวลานี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจ ทำไมแววตาของเย่เฟิงจึงได้มีแววเศร้าหมองอยู่เสมอ
ทำไมเสียงพิณของเย่เฟิงจึงได้เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและแปรปรวน ราวกับยืนอยู่ในโลกที่มืดมิดไร้ที่พึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น
ยิ่งเข้าใจขึ้นว่าทำไมเย่เฟิงจึงคัดค้านหากคนอื่นจะแตะต้องตัวเขา
ที่แท้……
ตัวก่อกรรมทั้งชั่วทั้งหมดก็คือหัวหน้ากองธงกล้วยไม้
“กร๊อบ……”
กู้ชูหน่วนหักกิ่งไม้ แววตาที่แยกแยะถูกผิดได้ชัดเจนถูกย้อมไปด้วยความโมโห
หัวหน้ากองธงกล้วยไม้
ดีมาก
ความขัดแย้งนี้พวกเขาผูกปมใหญ่ขึ้นแล้ว
“เจ้าหัวหน้ากองธงกล้วยไม้นั่นไม่ใช่คนเลย ยัยขี้เหร่ พวกเราหาโอกาสทำลายเขา แก้แค้นแทนเย่เฟิง”
ทำลายเขาจะเป็นการดูถูกเขาเกินไปหรือไม่
อย่างไรเสียก็ต้องให้เขาได้ลิ้มรสประสบการณ์ความขมขื่นที่เย่เฟิงที่ผ่านมา
“หัวหน้ากองธงกล้วยไม้บาปหนาไม่น่าให้อภัย ทุกคนต่างก็รู้ดี หลายปีมานี้มีคนอยากจะกำจัดเขาอยู่ตลอด แต่สิ่งที่ไม่อาจไม่ยอมรับได้ก็คือ หัวหน้ากองธงกล้วยไม้มีวรยุทธสูงส่ง และอาศัยอยู่ในกองธงเท่านั้น และเขาได้วางยอดฝีมือไว้เต็มกองธง มีค่ายกลมากมายหลายชั้น
นอกเสียจาก เจ้าสำนักของพวกเขาลงมือเอง
แต่เจ้าสำนักนาง……
ฝูกวงแอบมองไปทางกู้ชูหน่วน ในใจเกิดความรู้สึกปวดแปลบขึ้นมา
ท่านเจ้าสำนักลืมทุกสิ่งไปหมดแล้ว
แม้แต่วรยุทธก็ไม่มีแล้ว
บนโลกใบนี้ ที่สามารถรับมือกับหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ได้ เกรงว่าจะมีแค่ท่านอ๋องหานเทพแห่งสงครามและหัวหน้าเผ่าปีศาจเท่านั้น
หัวหน้าเผ่าปีศาจไม่มีทางฆ่าลูกน้องของตนเอง
เทพสงครามกับเผ่าปีศาจแต่ไหนแต่ไรไม่ก้าวก่ายกัน ยิ่งไม่มีทางยื่นมือออกมาช่วย
ถ้าอยากจะทำลายหัวหน้ากองธงกล้วยไม้จริงๆ มีเพียงสำนักอสุราของพวกเขาที่มีเจ้าสำนักมากมายร่วมมือกัน จึงจะมีโอกาส
แต่เมื่อทำเช่นนี้ สำนักอสุรากับเผ่าปีศาจก็จะเปิดศึกกันอย่างเป็นทางการ
และคำสั่งที่พวกเขาได้รับมา กลับเป็นการห้ามไม่ให้พวกเขาขัดใจกับเผ่าปีศาจ
“คนแบบนี้มีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าวันหนึ่งจะทำร้ายคนจนตายไปมากเท่าไหร่ จะยากแค่ไหนก็ต้องหาทางกำจัดออกไป”เซียวหยู่เซวียนพูด
กู้ชูหน่วนมองไปทางวัดร้างแวบหนึ่ง ข้างในเงียบมาก ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆเลยสักนิด ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง เย่เฟิงล้มฟุบไปกับพื้นไม่เคลื่อนไหวแล้ว
นางรีบก้าวเท้าไปยังวัดร้างอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะพบว่าเย่เฟิงได้สลบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ก่อไฟ”
เซียวหยู่เฃวียนจุดไฟขึ้น ส่องสว่างวัดร้าง และมองเห็นเย่เฟิงที่มีบาดแผลเต็มร่าง
บาดแผลของเขารุนแรงกว่าที่พวกเขาคาดคิดเสียอีก
เลือดและเนื้อหนังกับกระดูกผสมอยู่ด้วยกัน ทำให้เกิดกลิ่นคาวรุนแรงมาก
ที่น่าอนาถที่สุดคือเนื้อหนังบริเวณหน้าอกไปจนถึงหน้าท้อง ถูกเผาจนเป็นสีแดง ใช้เหล็กร้อนลวกออกทีละชั้น ไม่รู้ว่าลวกไปกี่ชั้น แม้แต่กระดูกก็โผล่ออกมาแล้ว
กระดูกข้อแขนทั้งสองข้างและกระดูกข้อขาทั้งสองข้างของเขาก็โผล่ออกมา
ถ้าหากพวกเขาเดาไม่ผิดละก็ น่าจะถูกมัดทั้งมือและเท้า การดิ้นรนอย่างเจ็บปวดทำให้เป็นเช่นนี้
ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ พวกเขานั้นสงสารเขาจับใจจริงๆ
“ทำไมจึงได้บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ยัยขี้เหร่ เจ้าต้องยื่นมือช่วยสักครั้ง ข้าจะแบกเขาไปหาหมอในเมือง”
“เขาเสียเลือดมากไป ถ้ายังไม่ห้ามเลือด เกรงว่าจะไปไม่ถึงในเมือง”
กู้ชูหน่วนอดกลั้นต่อกระแสคลื่นที่กรูเข้ามาในใจ ฉีกผ้าที่มีเพียงผืนเดียวในวัดร้าง สะบัดฝุ่นที่เกาะอยู่ทิ้งไป แล้วใช้เลือดของเย่เฟิง ขีดเขียนลงไปในผ้าผืนนั้น
“ไปเอาสมุนไพรที่ข้าวาดไว้ รีบไปเก็บมา ให้เร็วที่สุด”
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปทันที”
“เซียวหยู่เซวียน เจ้าไปก่อไฟขึ้นมากองหนึ่ง ”
“ก่อกองไฟทำไม”
“คบเพลิงไฟเล็กมาก จะทำแผลเขาได้อย่างไร”
“แต่ว่า เจ้ารู้เรื่องการแพทย์หรือ”
“เช่นนั้นเจ้าจะทำหรือ”
“ข้าไม่เป็น”
“ถ้าเช่นนั้นก็หุบปาก รีบก่อไฟเร็วเข้า”