เซียวหยู่เซวียนพึมพำ “ยัยขี้เหร่ เย่เฟิงบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น เขาจะไปไหนกัน”
“อาจจะ หาสถานที่ที่ไร้ผู้คนเพื่อแบกรับความเจ็บปวดด้วยตนเองกระมัง ไป ไปสำรวจบ้านของเขากัน”
“พวกเราไปตอนนี้ ไม่ค่อยดีกระมัง”
เมื่อเห็นว่ากู้ชูหน่วนได้เดินไปยังทิศทางของบ้านมุงหญ้าคาแล้ว เซียวหยู่เซวียนก็รีบตามไป
ยังไปไม่ถึงหน้าลานบ้าน ท่านยายเย่ก็พึมพำเบาๆออกมาประโยคหนึ่ง “แม่นางกู้ เจ้ามาแล้วหรือ”
“ท่านยายหูดีมาก ห่างกันไกลขนาดนั้นยังได้ยินเสียงของพวกเรา”
“บนร่างกายของเจ้ามีกลิ่นยาสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อลมพัดผ่าน กลิ่นสมุนไพรก็กระจายออกมา ข้าย่อมได้กลิ่นเป็นธรรมดา”
มีกลิ่นยาสมุนไพรหรือ
นางได้กลิ่นได้อย่างไร
ท่านยายเย่มองไปด้านทิศทางของเซียวหยู่เซวียน ราวกับกำลังวิเคราะห์
กู้ชูหน่วนแนะนำ “เขาชื่อเซียวหยู่เซวียน เป็นนักเรียนของราชวิทยาลัยเช่นกัน และเขาก็เป็นเพื่อนของเย่เฟิงด้วย”
อารมณ์ของท่านยายเย่หม่นหมองอยู่บ้าง ไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนก่อนหน้านี้ หลังจากต้อนรับพวกเขาให้นั่งลงแล้ว ก็ถอนหายใจยาวอย่างเศร้าใจ “เย่เฟิงเจ้าเด็กคนนี้เป็นคนด้อยค่าตนเอง เก็บตัว คิดว่าตัวเองเป็นดาวเคราะห์ร้ายมาตลอด คนที่อยู่กับเขาก็มีจุดจบไม่ดีนัก เขานั้นไม่มีทางคบเพื่อนได้ง่ายๆ ”
กู้ชูหน่วนนั่งลง หัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย”ฉะนั้น ครั้งก่อนที่ข้ามา ท่านก็รู้แล้วว่าข้าไม่ได้มาเยี่ยมอย่างเดียวเท่านั้น ”
“ใช่ แต่ว่าข้าดูออก เจ้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ข้าคิดว่า เจ้านั้นเห็นว่าเย่เฟิงเป็นเพื่อนจริงๆ”
เซียวหยู่เซวียนพูดเสียงต่ำ “ยัยขี้เหร่ ดวงตาของนางถูกควักออกไปหรือ น่ากลัวจริงๆ”
กู้ชูหน่วนถลึงตาให้เขาแวบหนึ่ง
เจ้าโง่ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าการได้ยินของท่านยายเย่นั้นเหนือกว่าคนทั่วไป พูดเช่นนี้ในที่นี้ มีสมองหรือไม่
ไม่รอให้นางตอบ ท่านยายเย่ก็ยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าพูดถูก ดวงตาของข้าถูกควักออกไปจริงๆ ครึ่งปีก่อนหน้านี้”
เซียวหยู่เซวียนรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง ได้แต่เอาพัดออกมา โบกไปมาอย่างอายๆ
“พวกเจ้าเดินทางมาไกลจนถึงที่นี่ เพราะอยากจะรู้เรื่องของเย่เฟิงกระมัง”
กู้ชูหน่วนกำมือขึ้น ท่าทีนอบน้อมจริงจัง “ขอท่านยายช่วยเล่าให้ฟังด้วย”
ใบหน้าของท่านยายเย่มีแววเจ็บปวด ราวกับกำลังทบทวนความจำ ผ่านไปเป็นเวลานานจึงเริ่มเปิดปากพูดขึ้นช้าๆ
“เย่เฟิงเป็นเด็กกำพร้า ไม่รู้ว่าใครกันที่ใจร้ายนัก ทิ้งเขาเอาไว้ที่ลานทาสของเชื้อสายกองธงกล้วยไม้แห่งเผ่าปีศาจ ตอนนั้นเขาอยู่ในห่อผ้า เกรงว่าคงจะเพิ่งคลอดออกมาไม่ถึงหนึ่งวัน”
เซียวหยู่เซวียนเลิกคิ้ว “ลานทาส”
“ใช่ ลานทาส ข้างในล้วนเป็นทาสที่ถูกขังเอาไว้ไม่ต่างจากสัตว์ เขาถูกโยนทิ้งเอาไว้ที่ลานทาส และเขาได้ถูกกำหนดให้มีสถานะที่ต่ำต้อยแล้ว”
“เขาถูกทาสเก็บไปเลี้ยงดู แต่ชีวิตของทาสนั้นไม่มีค่า มีทาสมากมายตายไปในทุกๆวัน เย่เฟิงจึงถูกโยนไปโยนมาเช่นนี้”
“คนที่เลี้ยงดูเขาตายแล้ว เขาก็กลายเป็นเด็กกำพร้าอีกครั้ง ถ้าโชคดี มีทาสที่มีจิตใจดีได้ประหยัดอาหารเอาไว้ให้เขากิน ก็ทำให้เขาได้มีชีวิตรอดไปอีกหลายวัน ถ้าโชคไม่ดี ก็ต้องหิวติดต่อกันหลายวัน หิวจนเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ”
“เขารู้ความมาก และเชื่อฟังมาก ยังรู้บุญคุณคนมากด้วย เขานับถือทาสทุกคนเป็นพ่อแม่ของตนเอง อายุน้อยๆก็ช่วยพวกเขาทำงาน รักษาบาดแผล ยังซ่อนอาหารของตัวเองเอาไว้ให้พวกเขา คนในลานทาสต่างก็ชื่นชอบเขา แม้แต่ลูกน้องทั้งหลายที่คอยคุมทาสของเชื้อสายกองธงกล้วยไม้ก็ชื่นชอบเขาด้วย”
ระหว่างที่ท่านยายเย่พูด น้ำเสียงก็ขรึมลงอย่างกะทันหัน
“และเพราะเขาเชื่อฟังและรู้ความมาก หน้าตาก็ดี ฉะนั้น ตอนที่เขาห้าขวบ มีผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งมาที่ ลานทาส นำตัวเขาไป ทุกคนต่างก็คิดว่าผู้หลักผู้ใหญ่คนนั้นชอบเย่เฟิง เอาตัวเขาไปจะทำให้ชีวิตเขาดีมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องหิวและขัดสน ไม่ต้องทำงานหนักอีก”
“ไหนเลยจะรู้ว่า ไหนเลยจะรู้ว่าผู้หลักผู้ใหญ่คนนั้นจะส่งเขาให้กับหัวหน้ากองธงกล้วยไม้”