“ไม่ต้องคิดมากถึงเวลาก็มีวิธีแก้ไขเอง เรื่องในภายหน้า ค่อยว่ากันทีหลัง”
กู้ชูหน่วนใช้มือเป็นหมอน พิงอยู่กับก้อนหินก้อนใหญ่ มองดูดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้าแล้วถอนหายใจยาว
การทำความสะอาดแผลใช้เวลาไปเกือบทั้งคืน บวกกับหลงอยู่ในป่าอีกหนึ่งวัน ร่างกายของทั้งสองคนเหนื่อยมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ
รอจนกระทั่งเย่เฟิงค่อยๆฟื้นขึ้นมา ภาพที่สะท้อนเข้ามาผ่านม่านขนตาคือกู้ชูหน่วนกับเซียวหยู่เซวียนที่นอนหลับไปอย่างเหน็ดเหนื่อย
ความทรงจำทั้งหมดก่อนที่จะสลบไปได้กรูเข้ามาในสมอง เย่เฟิงตกใจ รีบเอามือกุมร่างกายของตนเองเอาไว้ เพราะการเคลื่อนไหวทำให้ดึงถูกบาดแผล เขาเจ็บจนต้องสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
การเคลื่อนไหวของเขาทำให้กู้ชูหน่วนกับเซียวหยู่เซวียนตกใจตื่นขึ้นมา
“เจ้าฟื้นแล้ว ยังเจ็บหรือไม่”เซียวหยู่เซวียนดีใจ
เย่เฟิงถอยร่นด้วยความสั่นเทา ไม่กล้ามองสบตาพวกเขา เขากลัวเหลือเกินว่าจะได้เห็นสายตาเย้ยหยัน
ชั่วขณะที่ก้มหน้าลง เขาเพิ่งจะพบว่า ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าอย่างดีของเซียวหยู่เซวียนให้กับเขา
“บนร่างเจ้ายังมีบาดแผล ถ้าหากเคลื่อนไหวมากๆ จะทำให้บาดแผลปริเอาได้”กู้ชูหน่วนรู้ว่าเขาไม่ยินดีจะให้คนอื่นเข้าใกล้ จึงจงใจเว้นระยะห่างประมาณสิบก้าว
แววตาเย็นชาของเย่เฟิงหรี่ลงเล็กน้อย ความเศร้าโศกกรูเข้ามาในใจ
ภาพที่เขาน่าสังเวชที่สุด ถูกพวกเขาเห็นเข้าแล้ว
แสงแดดสาดส่องลอดผ่านใบไม้ที่กระจัดกระจาย แสงกระดำกระด่างส่องเข้าไปในวัดร้าง แสงแดดจ้ามาก แต่ในใจของเย่เฟิงกลับมองไม่เห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์เลย
เขากุมหน้าท้องไว้แน่น ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก อ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ช้าๆว่า “เสื้อผ้า พรุ่งนี้ข้าจะคืนให้เจ้า”
หลังจากนั้น เขาก็เดินโซเซออกไปจากวัดร้าง เดินไปยังทิศทางของหมู่บ้านสายธาร
“นี่ เจ้าบาดเจ็บสาหัสมาก ไม่ควรจะเดินทาง จะอันตรายถึงแก่ชีวิตได้”
“ท่านยายยังคงรอข้าอยู่ ไม่อย่าให้ท่านเป็นห่วง”
คำพูดของเขาเบาหวิวมาก เบาราวกับเสียงของยุง ถ้าหากไม่ใช่เพราะพวกเขามีความสามารถในการได้ยินเหนือกว่าคนอื่น คงไม่รู้เลยว่าเย่เฟิงพูดอะไรกันแน่
เซียวหยู่เซวียนอยากจะวิ่งตามไป แต่กู้ชูหน่วนดึงตัวเขากลับมา
“ยัยขี้เหร่ สมองของเขามีปัญหา หรือสมองเจ้าก็มีปัญหาเหมือนเขาด้วย เขามีบาดแผลเต็มร่าง แล้วยังเสียเลือดไปมากขนาดนั้น จะเดินออกไปจากป่าผืนนี้ได้อย่างไร”
“สมองของเจ้าน่ะสิมีปัญหา เขาบาดเจ็บสาหัส แต่ยังคงฝืนกลั้นเอาไว้เพราะอะไร นั่นก็เพราะเป็นห่วงท่านยายของเขาไง”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
“ค่อยๆติดตามไปข้างหลัง”
“แล้วถ้าเกิดเขารู้ตัวจะทำอย่างไร”
“อยู่ห่างหน่อยก็พอแล้ว”
เมื่อครู่ตอนที่เย่เฟิงยังคงสลบอยู่ พวกเขาก็ควรจะฉวยโอกาสแบกเขากลับไปยังหมู่บ้านสายธาร ตอนนี้หนทางยาวไกล และไม่รู้ว่าเขาจะฝืนทนไหวหรือไม่
เดินแล้วก็เดินอีก
เย่เฟิงเดินไปได้สักระยะทางหนึ่ง ก็พึงร่างกับต้นไม้หอบหายใจ
เป็นเพราะเดินเป็นเวลานาน บาดแผลไม่น้อยบนร่างเขาเริ่มปริออกมาแล้ว เลือดไหลหยุดลงพื้นเป็นสาย
สองคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังเย่เฟิง ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาเช่นกัน
“ยัยขี้เหร่ เอาอย่างนี้ พวกเราตีเขาให้สลบแล้วแบกไป”
“ข้างหน้าก็คือหมู่บ้านสายธารแล้ว”
“ข้างหน้าหรือ นี่ก็ยังเป็นป่าอยู่ดีมิใช่หรือ”
เซียวหยู่เซวียนเงยหน้าขึ้นอย่างนิ่งอึ้ง แต่กลับเห็นว่าลึกเขาไปในภูเขามีบ้านมุงหญ้าคาที่สร้างเหมือนกันกระจัดกระจายอยู่
“นี่คือหมู่บ้านสายธารหรือ อยู่ห่างไกลเกินไปแล้วกระมัง”
“ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เดินตรงไปจากที่นี่เรื่อยๆ ก็ถึงบ้านของเย่เฟิงแล้ว”
เขาไม่ได้เดินจากทางด้านหน้าของหมูบ้าน กลับใช้เส้นเล็กๆที่ไม่ค่อยมีคนใช้กันนักเดินอ้อมไปทางท้ายหมู่บ้าน คิดว่าคงไม่อยากจะให้คนในหมู่บ้านเห็นความผิดปกติของเขา
มองดูระดับความคุ้นเคยที่เย่เฟิงมีต่อที่นี่ เขาน่าจะใช้เส้นทางนี้เดินอ้อมอยู่บ่อยๆ
กู้ชูหน่วนหยุดฝีเท้าลง หยุดลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ทอดสายตามองไปยังที่ไกลออกไป
กลับเห็นสีหน้าเย่เฟิงที่ซีดขาว ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มลง แต่ก่อนที่เขาจะไปถึงหน้าบ้านที่มุงหญ้าคา ยังคงจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ถูกเลือดบนร่างกายย้อมจนเป็นสีแดง พยายามให้ตัวเองดูแล้วมีความสดใสอยู่บ้าง