ใบหน้าฉีโส่วหลิวขมึงตึง ตวาดใส่ลูกน้องตัวเอง “เพ้อเจ้ออะไร?! สหายอี้จะโกงได้อย่างไร? น้องลั่วเขาพูดจาพล่อยๆ เจ้าอย่าได้ถือสาเขาเลย”
ลูกเต๋าถูกเขย่าต่อ ฉีโส่วหลิวกับอี้เฉินเฟยพนันต่อเป็นตาๆ
ทุกครั้งที่อี้เฉินเฟยพนันเป็นต้องชนะ
ฉีโส่วหลิวเช็ดเหงื่อกาฬไม่หยุด ใบหน้าทุรนทุรายมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนฉีโส่วลั่วก็ยิ้มไม่หุบปาก นับเงินอยู่เนืองๆ
ฉีโส่วมองกันตาค้าง
คนผู้นี้เป็นเซียนพนันหรือ?
ไยไม่แพ้สักครั้งเลยเล่า?
กู้ชูหน่วนมองอี้เฉินเฟยไม่ยินดียินร้าย สีหน้าไม่ยึดติด จากนั้นนางก็ยกมุมปาก
นางหัวเราะเอ่ย “พี่ลั่ว เป็นอย่างไร? สหายที่ข้าพามาไม่เลวใช่ไหมล่ะ?”
“ดีมากเลยทีเดียว สุดยอดมาก สหาย เจ้ามีคนเก่งเยี่ยงนี้ ไยไม่แนะนำให้ข้ารู้จักเร็วหน่อยเล่า?”
“ถ้าท่านชอบ ข้าก็จะยกเขาให้ท่าน”
มือที่อี้เฉินเฟยถือเงินกระตุก
ยกให้เขา?
เฮอะ…
นังเด็กนี่ เห็นเขาเป็นสิ่งของหรืออย่างไร?
“สหายอี้เป็นคนของเจ้า ข้าจะแย่งของรักคนอื่นได้อย่างไร? เอาแบบนี้แล้วกัน ต่อไปเจ้าจะอำนวยความสะดวก ให้ข้ายืมสหายอี้เป็นครั้งคราวได้หรือไม่?”
“เรื่องเล็กน้อย ท่านต้องการเมื่อใดก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
“เช่นนั้นย่อมดีที่สุด แล้วสหายประจำอยู่ที่ใด วันหลังข้าจะได้ไปหาเจ้าถูก?”
“พี่ลั่ว ดูท่านสิ เราสนิทกันขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะหลอกถามข้าอีก ข้าประจำอยู่ที่ใด ท่านก็รู้ตั้งนานแล้วมิใช่หรือ? ครั้งที่แล้วตอนที่ดื่มเหล้าด้วยกัน ข้ายังบอกท่านไปตั้งหลายหน”
ฉีโส่วลั่วอยากทุบอกเสียจริง
ก็เขาจำไม่ได้จริงๆ นี่!
ครั้นเห็นอี้เฉินเฟยชนะทุกตา และช่วยเขาได้เงินมาไม่รู้เท่าไรแล้ว เขาก็ไม่อยากล่วงเกินกู้ชูหน่วน ดังนั้นจึงได้แต่เอ่ยไปแบบดาดๆ “จำได้ๆ ข้าจะลืมได้อย่างไร? เมื่อครู่ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะลืมข้าถึงได้จงใจพูดเช่นนั้น เช่นนั้นไว้ข้าค่อยไปหาเจ้านะ”
“ได้สิ”
อี้เฉินเฟยพนันไปก็ยิ้มเจื่อนไป
ไม่รู้ว่านางไปเรียนการหลอกคนนี่มาจากใคร
กู้ชูหน่วนยิ้มบางกับเขาพลางเอ่ยปากถาม “พี่ลั่ว เมื่อกี้ข้าอยู่ปากประตู ได้ยินพวกท่านพูดถึงเย่เฟิงโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าตอนนี้เย่เฟิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก? ก็ต้องถูกขังไว้อยู่แล้ว ข้าว่าต้องโดนซ้อมสักยกแน่”
“ได้ยินว่าเขาหากระดิ่งทลายวิญญาณเจอ แล้วก็เอากลับมาแล้วนี่ ทำไม…”
“เจ้ารู้หนึ่งไม่รู้สอง ตอนหลังเย่เฟิงได้กระดิ่งทลายวิญญาณมาแล้วจริงๆ แต่ก็ถูกชิงไประหว่างทางอีก”
“ถูกชิงไป?”
ก็โดนแย่งไปอีก ถุยๆๆ! เมื่อก่อนเราต่างรู้ว่ากระดิ่งทลายวิญญาณอยู่ในมือยัยหน้าอัปลักษณ์นั่น
สีหน้ากู้ชูหน่วนเย็นชาไปประมาณหนึ่ง คิดไม่หยุดว่าใครชิงกระดิ่งทลายวิญญาณของเย่เฟิงไป
คนที่รู้ว่านางมอบกระดิ่งทลายวิญญาณให้เย่เฟิงก็มีแต่เซียวหยู่เซวียนคนเดียวเท่านั้น
เซียวหยู่เซวียนไม่น่าจะหักหลังเย่เฟิง
แล้วจะเป็นใครได้?
“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เย่เฟิงถูกขังอยู่ที่ไหน?”
ไม่รู้ว่าเพราะได้เงินมามากหรืออย่างไร ขอเพียงกู้ชูหน่วนเอ่ยถาม หากฉีโส่วลั่วรู้เขาก็จะพูด และพูดหมดจนเปลือกด้วย
“อยู่ในส่วนลึกของหอฉิวเฟิ่งนั่นแหละ อีกเดี๋ยวก็คงถูกส่งไปที่ยอดเขาแล้ว”
“ส่งไปที่หัวหน้ากองธงกล้วยไม้บนยอดเขานั่นหรือ?”
“ก็แหงล่ะ สหาย เห็นแก่ที่เรามีวาสนาต่อกันขนาดนี้ ข้าจะแอบบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง หัวหน้ากองธงกล้วยไม้กะว่าสนุกกับเย่เฟิงครั้งสุดท้ายแล้วก็จะมอบเขาให้กับหัวหน้ากองธงแปะเจียก หัวหน้ากองธงแปะเจียกก็เหมือนกับหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ของเรามีความชอบพิเศษแปลกๆ แต่หัวหน้ากองธงแปะเจียกจะโหดกว่า คนที่เขาเบื่อแล้วก็จะถลกหนังของพวกเขาออกมา แขวนไว้ในห้องลับ เห็นว่าห้องลับเขามีแต่หนังคนแน่นเอี๊ยดไปหมด น่ากลัวชะมัด”
ไม่รู้ว่าเพราะกู้ชูหน่วนหนาวเกินไปหรืออย่างไร รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อคู่หายไปแล้ว
ฉีโส่วลั่วเอ่ยอย่างฉงนใจเล็กน้อย “สหาย เจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมรู้สึกสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีเลย?”
“อ้อ…ไม่มีอะไร แค่คิดว่าอำมหิตเกินไปเท่านั้น”
“ใช่ไหมล่ะ ข้าก็คิดเหมือนกัน แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ใครใช้ให้เขาเป็นทาสบำเรอ นอกจากทาสแล้ว เดิมทาสบำเรอก็เป็นคนที่มีฐานะต้อยต่ำที่สุด เย่เฟิงได้รับความโปรดปรานจากหัวหน้ากองธงของเราหลายปีอย่างนี้ก็ถือว่าดีแล้ว เจ้าดูทาสบำเรอคนอื่นๆ สิ มีสักกี่คนที่มีจุดจบดี”
“เช่นนั้นท่านรู้ไหมว่าคืนนี้เย่เฟิงจะถูกส่งไปยอดเขายามใด?”
“นี่ข้าไม่ค่อยแน่ชัด น่าจะหลังยามจื่อ(*23.00-01.00น.)กระมัง”
“พี่ลั่ว ทำไมถันจู่เจียงถึงเกลียดเย่เฟิงขนาดนั้นหรือ?”
“เมื่อก่อนถันจู่เจียงก็เป็นทาสเหมือนกัน แต่เขาโชคดีหน่อย ทว่าเขาจะปีนขึ้นตำแหน่งถันจู่ได้อย่างไรนั้นข้าก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน รู้เพียงพ่อแม่ของถันจู่เจียงต้องตายอย่างอนาถเพราะเย่เฟิง ถันจู่เจียงก็เลยเกลียดเย่เฟิงเข้าไส้ ชอบหาเรื่องเขา เย่เฟิงตกอยู่ในกำมือถันจู่เจียงไม่รู้ลำบากมากขนาดไหน ครั้งนี้คนที่รับผิดชอบกุมขังเย่เฟิงก็คือถันจู่เจียง เฮ้อ! อนาถแท้…จริงสิ เจ้าสนใจเรื่องของเย่เฟิงขนาดนี้เลยหรือ?”
“ฟังมาเยอะก็ต้องสนใจบ้างเป็นธรรมดา”
จู่ๆ ฉีโส่วลั่วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา สีฝ่ามือ “หรือว่าเจ้าก็ชอบเขา? พูดตามจริง มีคนมากมายที่ชอบเขา รวมถึงข้าด้วย ถ้าได้ร่วมสุขสันต์กับเขาสักคืน แค่คิดก็รู้สึกดีแล้ว!”
กู้ชูหน่วนหัวเราะเย็น
อยากร่วมสุขสันต์กับเขาสักคืน?
นางก็ไม่รังเกียจที่จะให้เขามีค่ำคืนที่ยากจะ ‘ลืม’ เช่นกัน
กู้ชูหน่วนขึ้นเสียงตะโกน “สหายอี้จะถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้ว เราต้องรีบไปเข้างานแล้วล่ะ”
ฉีโส่วหลิวโล่งอก
ไม่รู้เป็นเมื่อไร เขาแพ้จากเหงื่อท่วมตัวแล้ว
เขาอยากเลิกเล่นตั้งนานแล้ว แต่พี่น้องมากมายขนาดนั้นกำลังมองอยู่ และเขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากเลิกเล่นด้วย ตอนนี้มีโอกาสสักที เขาแทบอยากเลิกเล่นให้ไวๆ
“ในเมื่อคืนนี้ต้องเข้างาน เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ จะได้ไม่เสียงานหลัก”
ฉีโส่วลั่วโลภมากมิรู้หน่าย จึงรีบห้าม “เวลาเปลี่ยนเวรยังอีกนาน เล่นอีกสักสองสามตาเถอะ”
อี้เฉินเฟยบิดขี้เกียจ แล้วหาวไปอีกฟอด “เมื่อคืนไม่ได้หลับดี วันนี้เพลียอยู่หน่อยๆ วันหลังเถอะ ข้ากลัวว่าเข้าเวรจะไม่สดชื่น”
“ดะเดี๋ยวๆๆๆ สหายอี้ มิเช่นนั้น…เจ้าก็ช่วยข้าเล่นอีกสักตาเถอะ เป็นตาสุดท้าย ดีไหม?”
“เออ…” อี้เฉินเฟยมองฉีโส่วหลิวอย่างลำบากใจเล็กน้อย
ฉีโส่วลั่วยังไม่ยอมหยุด “ขอร้องล่ะ ตาสุดท้าย ไม่เสียเวลาเจ้ามากหรอก”
“อีกตาก็ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ข้าเกรงว่าข้าเพลียแล้วจะแพ้”
“ไม่เป็นไร หากครั้งนี้แพ้นับเป็นของข้า เจ้าไปเล่นเต็มที่เลย” ฉีโส่วลั่วไม่เชื่อว่าชนะมาตลอดคืนจะแพ้เอาตาสุดท้ายได้
“อย่าเลยดีกว่า ข้าเพลียแล้วจะแพ้เอาง่ายๆ เดี๋ยวข้าแพ้ ท่านก็จะมาโทษข้าอีก”
“ไม่โทษ! ข้ารับรอง ข้าสาบาน ข้าจะไม่โทษเจ้าเด็ดขาด ถ้าเจ้าแพ้ก็นับเป็นของข้า”
ฉีโส่วหลิวหัวเราะเย็น “น้องลั่วนี่เจ้ามิใช่ฝืนใจเขาหรือ?”
“ข้าฝืนใจที่ไหน เจ้าไม่กล้าพนันล่ะสิ”
“ข้าไม่กล้าที่ไหน?”
“ได้! เช่นนั้นเรามาเล่นอีกตา ตาสุดท้าย ข้าจะลงเงินที่ชนะมาวันนี้ทั้งหมด แล้วลงเงินที่ข้ามีอยู่ตอนนี้ทั้งหมดด้วย!”