“แคกๆๆ…”
ครั้นหมดสุราไหหนึ่ง เย่เฟิงถึงมีโอกาสเล็กน้อยไอแรงออกมา เห็นชัดว่าสำลักหนักมาก
แต่ไม่รอให้เขาสำลักเสร็จ สุราอีกไหก็กรอกลงไปอีก
ที่ข้างใบหู เป็นเสียงพึมพำกระหยิ่มยิ้มย่องของเจียงซวี่
“ถึงเจ้าจะเอากระดิ่งทลายวิญญาณกลับมาได้จริง แต่เจ้านึกว่าท่านหัวหน้ากองธงจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระจริงหรือ? เฮอะ! โง่จริง! เจ้าเป็นคนของท่านหัวหน้ากองธง นอกเสียจากเขาจะยกเจ้าให้คนอื่น มิเช่นนั้นเขาก็ยอมทำลายเจ้าทิ้งเสียดีกว่า ไม่ปล่อยให้เจ้ามีโอกาสหลุดรอดจากเงื้อมมือของเขาไปได้หรอก!”
“ที่เขาพูดอย่างนั้น ก็แค่หลอกใช้เจ้า เจ้าต้องเป็นเนื้อโอชะของเขาตลอดชาติ! ตลอดไป! ชั่วนิรันดร์! ฮ่าๆๆ…”
“เพล้ง…”
เจียงซวี่โยนไหสุราเปล่า ปล่อยมือที่บีบคางของเขา ยกยิ้มร้ายที่มุมปาก
เย่เฟิงสำลักอย่างทรมาน แทบจะสำลักเอาปอดตัวเองออกมาอยู่แล้ว
อยู่นานกว่าเขาจะหายใจได้สะดวกหน่อย
ยินคำพูดของเจียงซวี่ มุมดวงตาของเย่เฟิงก็มีหยดน้ำตาไหลริน ผสมรวมกับน้ำจันทร์ หยดลงเป็นเสียงติ๊กๆ
หัวใจของเขาเศร้าโศกาถึงที่สุด
ความสิ้นหวังห่อหุ้มตัวเขา
ตอนแรกที่ได้ยินว่าหัวหน้ากองธงจะปล่อยเขา เขาก็ดีใจยกใหญ่
แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่
เขาเป็นคนของหัวหน้ากองธง ด้วยนิสัยของเขาจะปล่อยให้เขาเป็นอิสระได้อย่างไร?
แต่เขาก็ไม่อยากละโอกาสแม้เพียงน้อยนิด
เขาพยายามถึงที่สุดแล้ว
แต่เขาก็ล้มเหลว
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงเกลียดเจ้าขนาดนั้น? ก็เพราะเจ้าชอบยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างไรเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเข้ามายุ่ง พ่อแม่ข้าก็คงไม่ถูกเจ้าทำร้ายจนตาย!”
“กว่าพ่อแม่ข้าจะขึ้นถึงตำแหน่งหัวหน้าครัว เจ้ากลับแจ้งความว่าพวกเขายักยอกเงินอาหารของทาส? ทำจนพ่อแม่ข้าต้องถูกตีตายทั้งเป็น ข้าต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า!”
“ทาสมันก็ต้อยต่ำที่สุดอยู่แล้ว ถึงจะยักยอกอาหารพวกเขาแล้วอย่างไร? ชีวิตพวกเขายังไม่มีค่าเท่าเนื้อชามหนึ่งเลย มีหัวหน้าคนไหนไม่คิดหาวิธีเค้นเอาจากพวกเขาบ้าง?”
เย่เฟิงฟังเงียบๆ ไม่รู้ว่าเพราะเมาหรือว่าไม่อยากตอบ
เจียงซวี่เอ่ยต่อ “เจ้ารู้ไหม? ทำไมตอนที่คัดเลือกทาสบำเรอถึงเลือกเจ้า?”
ทันใดนั้นร่างกายของเย่เฟิงก็แข็งทื่อ
แววตาพร่าเบลอชัดเจนขึ้นในทันที
“วันนั้นข้าได้ยินโดยบังเอิญว่าพวกเขาจะเลือกให้ข้าเป็นทาสบำเรอ ใจข้าดั่งเถ้าธุลี แต่ข้าไม่อยากยอมแพ้ ข้าก็เลยคิดแผนการหนึ่ง ข้าเอากลอนกับตัวหนังสือที่เจ้าเขียนส่งไปอยู่ต่อหน้าผู้คุม แล้วยังเชิญเจ้าไปที่ห้องบุปผาด้วยตัวเอง”
“เจ้ารู้ไหมว่าตอนนั้นเจ้าน่าขันแค่ไหน? เจ้ายังคิดว่าข้าอยากคืนดีกับเจ้าดังเก่าก่อน เฮอะ! เจ้าทำให้พ่อแม่ข้าต้องตาย ข้าจะจับมือพูดดีกับเจ้าได้อย่างไร? แต่แค่ข้าพูดไปไม่กี่คำเจ้าก็เชื่อแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าใสซื่อหรือโง่เกินไปกันแน่”
“ผู้คุมที่เลือกทาสบำเรออยู่ห้องบุปผา เขาเห็นพวกเราสองคนแล้วก็เปลี่ยนความคิดทันที ฉะนั้น…เจ้าก็เลยถูกส่งไปให้หัวหน้ากองธงกล้วยไม้ที่นั่น เฮอะ! ชาตินี้ที่ข้ารู้สึกโชคดีที่สุดก็คือไม่ได้หน้าตาดีเช่นเจ้า!”
ไม่รู้ว่านึกถึงความอเนจอนาถที่ผ่านมาหรืออย่างไร มุมดวงตาของเย่เฟิงมีหยดน้ำตาไหลลงมาอีกหยด
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมดวงตาของยัยแก่นั่นถึงถูกควัก? เพราะข้าพูดต่อหน้าท่านหัวหน้ากองธง ว่าทุกครั้งที่ยัยแก่นั่นพูดถึงเขา ดวงตาก็มักมีความแค้นปนอยู่”
“ข้ายังพูดอีก ว่าให้เหลือนางไว้สักหน่อย จะได้กระตุ้นให้เจ้าเอากระดิ่งทลายวิญญาณมาได้ดีขึ้น”
“แต่ไหนมาท่านหัวหน้ากองธงก็เอาใจเจ้า ข้ายังนึกว่าเขาจะไม่ใช้ข้อเสนอแนะของข้า คิดไม่ถึงว่าเขาจะควักลูกตายัยแก่นั่นออกมาแบบไม่ลังเล”
สองมือเย่เฟิงกำแน่น แม้สมองเขาจะวิงเวียน เมาจนทรมาน แต่กลับได้ยินคำพูดของเขา