“เจ้ารู้ไหม? ถึงเจ้าจะหน้าตาดีอย่างไร ความสามารถล้นหลามอย่างไร ก็ต้องมีสักวันที่ท่านหัวหน้ากองธงก็แหนงหน่าย เวลานี้ ท่านหัวหน้ากองธงก็ใกล้จะเบื่อเจ้าแล้ว”
“คืนนี้ท่านหัวหน้ากองธงจะเชยชมเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เขาคิดจะส่งเจ้าให้หัวหน้ากองธงแปะเจียก เจ้าก็รู้ว่าความชอบของหัวหน้ากองธงแปะเจียกคล้ายกับเขา อ้อไม่! น่าจะบอกว่าความชอบของ หัวหน้ากองธงแปะเจียกแปลกยิ่งกว่า ขอเพียงเป็นคนที่เขาเคยเชยชม ก็จะถลกหนังของเขาแขวนผนังไว้ดูเล่น”
เย่เฟิงหลับตาอย่างสิ้นหวัง หมดหนทาง ทรมาน ความสิ้นหวังโอบล้อมตัวเขา
เดิมเขาก็หน้าตาดีมาก แววตาสิ้นหวังเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ปวดใจ แต่เจียงซวี่แค่หัวเราะชอบใจ แทบอยากให้เขายิ่งสิ้นหวังก็ยิ่งดี
กู้ชูหน่วนอยู่ข้างๆ ฟังจนไฟพิโรธสุมทรวง
นางไม่แน่ชัดสาเหตุการตายของพ่อแม่เขา แต่ด้วยนิสัยของเย่เฟิงต้องไม่ทำร้ายผู้อื่นง่ายๆ แน่ นอกเสียจากพ่อแม่เขาก็เป็นคนชั่วช้าไม่อาจละเว้นอยู่แล้ว
เจียงซวี่ขยับเข้าใกล้เย่เฟิง กระซิบข้างใบหูเขา
“ไว้เจ้าถูกส่งไปทางหัวหน้ากองธงแปะเจียกแล้ว เจ้าลองเดาดูสิ ว่าชะตายัยแก่นั่นจะเป็นอย่างไร?”
ทันใดนั้นเย่เฟิงก็ลืมตาขึ้น เอ่ยเสียงแหบ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เขายังไม่ได้สติดี แต่ก็กัดริมฝีปากตัวเอง ฝืนให้ตัวเองมีสติแจ่มชัด
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ?”
“นางเป็นแค่คนแก่ที่น่าสงสาร นางไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเจ้า ไยเจ้าต้องกลั่นแกล้งนางด้วย?”
“เพราะนางเป็นคนที่เจ้าให้ความสำคัญอย่างไรเล่า ขอเพียงเป็นคนที่เจ้าให้ความสำคัญ ข้าก็จะไม่ละเว้นมันหน้าไหนทั้งนั้น! ไม่แค่ยัยแก่นั่น ยังมีกู้ชูหน่วน เซียวหยู่เซวียน ข้าก็จะไม่ไว้พวกมันด้วย!”
เย่เฟิงจ้องเจียงซวี่ด้วยโทสะ แต่นอกจากนี้แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย
“วางใจเถอะ รอเจ้าตายแล้ว ข้าจะให้ยัยแก่นั่นไปเป็นเพื่อนเจ้าที่ปรโลก วางใจ ข้าจะไม่ให้นางไปสบายเกินไปหรอก อย่างน้อยต้องให้นางได้ ‘ดื่มด่ำ’ กับความสุขแดนมนุษย์สักสองสามวัน”
เจียงซวี่เน้นหนักคำว่าดื่มด่ำสองคำนี้ ไม่ว่าใครก็รู้ความหมายในคำพูดเขา
ไม่รอให้เย่เฟิงตอบกลับ กู้ชูหน่วนก็ยกเท้าถีบบั้นท้ายเจียงซวี่เข้าอย่างจัง
นางยืนอยู่ด้านหลังเจียงซวี่ จู่โจมกะทันหัน แม้วรยุทธ์เจียงซวี่ดีกว่ากู้ชูหน่วนมาก แต่ก็ไม่ทันตั้งสติ ถูกถีบบั้นท้ายใหญ่เนื้อแน่น และ เขาจึงล้มหงายเก๋งเพราะน้ำหนักตัว
ในเวลาเดียวกัน อี้เฉินเฟยก็ลงมืออย่างว่องไว จี้จุดฉีโส่วคนอื่นๆ ในหอด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ทำให้พวกเขาขยับและพูดไม่ได้
“ใครกล้าถีบข้า?!”
“เอื๊อก…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เจียงซวี่ก็ถูกอี้เฉินเฟยบีบคอ บีบจนเขาหายใจไม่ออก ส่งเสียงไม่ได้
“เพี๊ยะๆๆ…”
สองมือกู้ชูหน่วนง้างออก สะบัดใส่หน้าเขาอย่างแรงสิบกว่าครั้ง
“ไอ้น้อง! เจ้าเก่งนักนะ แม้แต่คนของข้าก็กล้าแตะต้อง!”
เจียงซวี่ถูกตบจนหัวสมองอื้ออึง
เขามองกู้ชูหน่วนกับอี้เฉินเฟยด้วยความตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าทั้งสองกลับปะปนเข้าเผ่าปีศาจที่มีการเฝ้ายามแน่นหนาและมียอดฝีมือมากมายได้ แถมยังมาอยู่ตรงหน้าเขาอีก!
“เพี๊ยะ…”
ไปอีกฉาด… กู้ชูหน่วนคำรามต่ำ “ดูอะไร? ขืนดูอีกเชื่อไหมข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเสีย!”
เจียงซวี่อยากด่า แต่พออี้เฉินเฟยออกแรงมือ เขาก็เจ็บจนพูดไม่ออก
กลับเป็นอี้เฉินเฟยที่ยิ้มอย่างเอ็นดู “นังหนู เชือดไก่มิต้องใช้มีดฆ่าวัว อยากสั่งสอนเขา ข้าเองก็ได้”
“เอาสิ มันทำเย่เฟิงจนน่าอนาถขนาดนั้น ท่านว่า…เราจะคืนกลับไปอย่างไรดี?”
“ก็ต้องใช้แนวทางของเขามาจัดการเขานะสิ”
กู้ชูหน่วนเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
แต่เจียงซวี่กลับไม่เข้าใจเลย
อี้เฉินเฟยยิ้มกล่าวเสริม “พอดีเลย ข้ารู้วิชาแปลงโฉมนิดหน่อย ยามจื่อคืนนี้ มิใช่ต้องส่งเย่เฟิงไปทางหัวหน้ากองธงกล้วยไม้หรือ? เราก็หลี่ตายแทนถาว(*ยอมเสียน้อยเพื่อให้ได้มากกว่า) ทาบบุปผากับต้นไม้(*แอบยักยอกถ่ายเท) เป็นอย่างไร?”