“พะ…พวกเจ้ากล้า…” เจียงซวี่เริ่มหวั่นใจ
กู้ชูหน่วนหัวเราะคิกคักตอบ “เจ้าก็ลองดูสิว่าข้าจะกล้าไหม? เหมือนว่าข้างนอกจะมีคนเข้ามานะ พี่เฉินเฟย ในเมื่อเขาอยากเป็นทาสบำเรอขนาดนั้น เราก็ทำให้เขาสมปรารถนาก่อนเถอะ”
“ตึกๆๆ…”
เสียงฝีเท้าแว่วจากที่ไกล เจียงซวี่รู้ดีว่าคนพวกนั้นมาหามเย่เฟิง
หัวใจที่เดิมก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ตามเสียงฝีเท้าที่มาเรื่อยๆ จิตใจของเขาก็พัลวันไปหมด
เขารีบเอ่ย “อยากออกจากเผ่าปีศาจเร็วๆ ก็มีแต่กระเช้าเชือกนั่น มิเช่นนี้ก็ไม่มีวิธีที่เร็วกว่านี้แล้ว แต่แท่นจุดสัญญาณไฟเปลี่ยนเวรทุกสี่ชั่วยาม อีกครึ่งชั่วยามก็จะถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้ว บางทีเจ้าอาจลองฉวยตอนที่พวกเขาเปลี่ยนเวรหย่อนยานมากที่สุดหนีไปได้”
“แท่นจุดสัญญาณไฟมียอดฝีมือกี่คน?”
“แต่ละแท่นจะมียอดฝีมือระดับสองประจำหนึ่งคน บางที่ยังถึงกับมียอดฝีมือระดับสาม ยอดฝีมือระดับหนึ่งอย่างน้อยสามคน นอกจากนี้ ยังมียอดฝีมือเลื่องชื่อที่มีวรยุทธ์สูงอีกมาก รวมไปถึงมือธนู” เจียงซวี่พูดอย่างเปิดเผย
สุดยอดแห่งศิลปะการต่อสู้คือยอดฝีมือระดับหนึ่ง แล้วจากขึ้นหนึ่งขึ้นไปยังมีอีกหกระดับ ทั้งหมดเป็นเจ็ดระดับ
สามารถขึ้นถึงระดับหนึ่งก็เก่งกาจมากแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยอดฝีมือระดับสองและระดับสามมากมายขนาดนั้น ถึงพวกเขาจะติดปีกก็ยากจะหนีไปได้
“แล้วอย่างไรอีก?”
“อะไรอย่างไรอีก?”
“ก็อย่าง…รหัสลับอะไร”
“รหัสเปลี่ยนทุกชั่วยาม ข้ารู้ว่าเป็นรหัสอะไรได้อย่างไร?”
“เจ้าเป็นถันจู่ ถึงเจ้าจะไม่รู้หมด ก็น่าจะรู้ไม่น้อยกระมัง?”
“ข้าไม่รู้!”
“เฮ้อ…เดิมคิดจะปล่อยเจ้า จนใจที่เจ้าไม่ให้ความร่วมมือ ดูท่าข้าคงยังต้องให้พวกเขาพาเจ้าไปแล้ว ดูสิ พวกเขาจะถึงแล้ว”
เจียงซวี่หัวเหวี่ยงสุดขีด
“ข้ารู้รหัสลับนิดหน่อย แต่ถ้าข้าบอกพวกเจ้า ท่านหัวหน้ากองธงก็ต้องรู้ว่าข้าแพร่งพรายไปแน่ ถึงตอนนั้นเขาก็จะไม่ไว้ข้าเหมือนกัน!”
“แต่หากเจ้าไม่พูด ตอนนี้ข้าก็ไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้แล้ว ฉะนั้น…เจ้ายังมีเวลาคิดอีกสองนาที สองนาทีให้หลัง ถึงเจ้าจะนึกเสียใจก็ไม่มีโอกาสแล้ว”
ถ้าเทียบกับความตื่นตระหนกของเจียงซวี่ กู้ชูหน่วนกับอี้เฉินเฟยก็สงบกว่ามาก ไม่มีความรู้สึกว่าภัยพิบัติจะถึงตัวแล้วเลย ทั้งยังมองเจียงซวี่อย่างเอื่อยเฉื่อย ราวกับรอการตัดสินใจสุดท้ายของเขา
เจียงซวี่รู้สึกซวยมหาบรรลัย
ไม่รู้จริงๆ ว่าสองคนนี้เอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกับไม่แยแสได้เช่นนี้
พวกเขาสามารถสบายใจเฉิบได้ แต่เขาทำไม่ได้ ได้แต่เอ่ยอย่างร้อนรน
“สุราองุ่นรสเลิศจอกเพริศพริ้ง กับจันทราพรมแดนสมัยฉิน”
“ไหสุราประหนึ่งดังดอกไม้ กับดังจันทร์จากกลมเด่นกลับดับแสงไข”
กู้ชูหน่วนผงะ
นี่มิใช่กลอนที่นางท่องในงานชุมนุมแข่งขันบุ๋นหรือ?
ถึงกับถูกใช้มาเป็นรหัสลับได้ แล้วยังเอามาต่อกันได้แบบไม่คล้องจองอีก
“อะไรอีก?”
“ข้ารู้แค่สองอันนี้ น่าจะบอกว่า แต่ละถันจู่จะรู้มากสุดแค่สองอันเท่านั้น”
“เข้าออกหอต้องมีรหัสลับไหม?”
“ไม่ ดูหน้า”
“ดูหน้า? เช่นนั้นก็ง่าย พี่เฉินเฟย รบกวนท่านช่วยข้าแปลงโฉมเป็นเขาหน่อยเถอะ” กู้ชูหน่วนชี้ไปทางเจียงซวี่
เจียงซวี่ตะคอก “เจ้าทำเช่นนี้จะทำให้ข้าเดือดร้อน!”
“นั่นเรื่องของเจ้า”
“กู้ชูหน่วน เจ้าอย่าให้เกินไปนักนะ!”
ฉึกเสียงหนึ่ง
กู้ชูหน่วนทำหน้าขมึงตึง บีบปากเขา แล้วหยิบไหสุรากรอกใส่ปากเขา
นางกลับคำไวยิ่งกว่าพลิกหน้ากระดาษ ไหนเลยจะมีความใสซื่อไร้พิษภัยสักนิดบนใบหน้า มีแต่ความเย็นชาเข้ากระดูก
ความเย็นชานั้นราวกับผีร้ายที่ปีนขึ้นจากขุมนรก เห็นแล้วก็อดสั่นเทิ้มทั้งตัวไม่ได้
“ชีวิตเย่เฟิงถูกเจ้าทำลาย เรื่องพวกนี้ที่ข้าทำกับเจ้าจะแค่ไหนกัน? ตอนที่เจ้าสร้างความเจ็บปวดกับเย่เฟิง ก็น่าจะรู้ตัวเองต้องถูกกรรมสนองเหมือนกัน”
นัยน์ตาเจียงซวี่หดเล็ก อยากเอ่ยปากแต่ก็ถูกน้ำสุราทำสำลัก ได้แต่อึกๆ อักๆ อยู่ในลำคอ
กว่าจะหมดหนึ่งไห เจียงซวี่ก็รีบเอ่ย “เจ้าบอกว่าจะปล่อยข้าไปนี่!”
“ข้าบอกว่าจะพิจารณา แต่ตอนนี้ข้าพิจารณาแล้วว่าข้าไม่อยากปล่อยเจ้าไว้”