ฝ่ามือของเย่เฟิงกระตุก “อาหารที่ข้าทำไม่ดีหรือ?”
“แน่ล่ะ ฮูหยินของข้ามิชอบรสนั้นที่สุด เจ้ารีบเอาอาหารของเจ้าไปออกเสียเถอะ” ซิ่งเอ๋อร์ฉวยโอกาสเอ่ยปาก
“ซิ่งเอ๋อร์!”
ฮองเฮาฉู่ตวาดนางอีกครั้ง เสียงดุเข้มกว่าเมื่อครู่มาก ทำเอาซิ่งเอ๋อร์ตกใจจนเกือบคุกเข่า
นางยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาที่หัวตาเบาๆ หัวเราะเอ่ย “คุณชายอย่าฟังนางพูดเพ้อเจ้อ อาหารสามอย่างนี้ข้าชอบกินมาก”
นางหยิบตะเกียบขึ้นแล้วคีบรากบัวมากัดเบาๆ คำหนึ่ง รากบัวทั้งกรอบทั้งหอม รสกลมกล่อม เป็นรสชาติในความทรงจำของนาง
“อร่อย ข้าไม่ได้กินอาหารอร่อยเช่นนี้มานานมากแล้ว”
“หากฮูหยินชอบก็กินมากๆ วางใจเถอะ อาหารพวกนี้เป็นอาหารเจ ไม่มีเนื้อ”
“คุณชายก็ไม่ชอบกินอาหารเนื้อหรือ?”
“ใช่” ประการแรกเพราะเขาทนเห็นสัตว์เหล่านั้นถูกสังหารอย่างทารุณไม่ได้ อีกประการหนึ่งก็เพื่อสร้างกุศลให้บิดามารดา ดังนั้นตั้งแต่เล็กเขาจึงไม่กิน นอกเสียจาก…
นอกเสียจากจะถูกหัวหน้ากองธงกล้วยไม้บีบบังคับ
อาหารเหล่านี้ถูกปากฮองเฮาฉู่มาก นางกินติดต่อกันไปเยอะ
เย่เฟิงยิ้มเอ่ย “ข้ายังตุ๋นโจ๊กมาอีกถ้วย ฮูหยินลองชิมดูได้ สบายท้องมาก”
“เช่นนั้นหรือ?”
ฮองเฮาฉู่หยิบช้อนแล้วตักมาคำหนึ่งเบาๆ โจ๊กนี้มีข้าวฟ่าง ลูกเดือย ถั่วแดงและอื่นๆ แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไร หอมหวานพอเหมาะ ไม่หวานไม่เลี่ยน หลอมละลายในปาก รสดียิ่ง
“คุณชายอายุยังน้อย คิดไม่ถึงว่าฝีมือทำครัวจะดีเช่นนี้ ต่อไปใครได้แต่งกับเจ้าก็เป็นบุญจริงๆ”
รอยยิ้มเย่เฟิงแข็งทื่อไปเล็กน้อย
เขาสกปรกเช่นนี้ ไหนเลยจะมีสิทธิ์หวังแต่งงานมีลูก
ตอนแรกที่เรียนการทำครัว ก็แค่เพื่อถูกตีน้อยลงบ้างเท่านั้น
เย่เฟิงคีบเต้าหู้ชิ้นหนึ่ง อยากวางไว้ในถ้วยของนาง แต่กลับไม่กล้าวางลงไป สุดท้ายจึงวางอยู่ในถ้วยตัวเอง
ได้กินอาหารเช้ากับแม่บังเกิดเกล้าสักมื้อ ก็เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเขาแล้ว เขาพอใจแล้ว
แต่จู่ๆ ในถ้วยก็มีเห็ดชิ้นหนึ่ง เสียงอ่อนโยนของฮองเฮาฉู่ดังขึ้นข้างใบหูเขา
“ดูเจ้าผอมเช่นนี้ ต้องกินให้มากหน่อย”
นอกจากเห็ดชิ้นหนึ่งแล้ว ฮองเฮาฉู่ยังตักโจ๊กให้เขาอีกถ้วย
รอยยิ้มของนางเป็นมิตรและน่าเข้าหา ไม่มีมาดฮองเฮาอันสูงส่งสักนิด แต่กลับเหมือนมารดาที่มีความกรุณา “รีบกินเถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”
“ขอบคุณ” เย่เฟิงสะอื้น
เขาก้มหน้า ไม่กล้ามองฮองเฮาฉู่ เกรงว่าอีกฝ่ายจะเห็นความผิดปกติของเขา
หลังมือที่ก่อนหน้านี้ที่เขากัดและใช้แขนเสื้อปิดอยู่ตลอดนั้น เวลานี้ด้วยความอ่อนโยนของฮองเฮาฉู่ เขาจึงลืมปิดอย่างเผอเรอ บาดแผลหลังมือทั้งสองข้างจึงปรากฏออกมา
หลังมือนั้นเป็นรอยฟันหลายรอย แม้ไม่มีเลือดออกแล้ว แต่เห็นแล้วก็ยังน่าตกใจ
ฮองเฮาฉู่พบในแวบแรก และสะดุ้ง
“มือเจ้าเป็นอะไรไป?”
เย่เฟิงรีบซ่อนมือของตัวเอง แววตาหลบเร้น “แผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ทันระวังกัดถูกตัวเอง อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว”
“เจ็บหนักขนาดนี้แล้วจะเป็นบาดแผลเล็กน้อยได้อย่างไร? ซิ่งเอ๋อร์ รีบไปเอากล่องยามา”
“เจ้าค่ะ”
“เด็กคนนี้นี่ โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักดูแลตัวเอง เกิดแผลอักเสบจะทำอย่างไร?”
นางกำมือของเขา ช่วยเขาทำความสะอาดบาดแผลด้วยความระมัดระวัง แล้วใส่ยาเป็นจุดๆ ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความอาทร
ทีแรกเย่เฟิงคิดจะปฏิเสธ แต่เขากลัวทำให้ฮองเฮาฉู่เจ็บ จึงปล่อยให้นางพันแผล
นอกจากกู้ชูหน่วน นี่เป็นครั้งแรกที่คนอื่นพันแผลให้เขา ราวกับประคองของล้ำค่าในโลก กลัวว่าหากไม่ระวังจะทำให้เขาเจ็บ
ความรู้สึกถูกปกป้องนี้ เขาอาลัยหานัก
“คนอื่นกัดเจ้าหรือ?”
“ปะ…เปล่า”
“เด็กโง่ ถึงจะอารมณ์ไม่ดีอย่างไร ก็กัดมือตัวเองไม่ได้นะ”
“ข้าทราบแล้ว…” มุมปากเย่เฟิงอ้าออก เอ่ยคำพูดหนึ่งเบาๆ
“เสร็จแล้ว ช่วงนี้ก็อย่าโดนน้ำ อีกสองสามวันน่าจะดีขึ้น”
เย่เฟิงมองมือทั้งสองของตัวเองที่มีผ้าพันแผลหนาๆ อยู่ หัวใจถูกบรรจุจนเต็ม
เขาอยากพูดมาก ถ้าเทียบกับที่เขาโดนมาในสมัยก่อน นี่ไม่ถือเป็นแผลอะไรเลย ไม่ต้องเป็นห่วง
แต่เขาไม่กล้าเอ่ย ได้แต่รับคำอย่างโดยดี
ฮองเฮาฉู่เก็บกล่องยา ไม่ทันระวังขอบกล่องยาจึงเกี่ยวแขนเสื้อของเย่เฟิง เผยแขนที่มีรอยบากไขว้มากมาย
บนแขนนั้นมีรอยนาบ รอยแส้ รอยดาบ รอยทวนวงเดือนทับซ้อนกัน กระทั่งยังมีอีกหลายแห่งที่ถูกกัดเนื้อไปทั้งอย่างนั้น แทบหาเนื้อดีไม่ได้เลย
ฮองเฮาฉู่กับซิ่งเอ๋อร์ต่างสูดลมเย็นพร้อมกัน หน้าซีดทันที
เย่เฟิงลนลาน รีบดึงแขนเสื้อตัวเองลง แววตาเย็นชาไม่นิ่งเหมือนก่อนหน้านี้อีก
เขาไม่รู้ว่าฮองเฮาฉู่เห็นบาดแผลที่แขนเขาหรือไม่ จึงได้แต่รีบอธิบาย “ข้าผิวหนังหยาบกร้าน แผลพวกนี้…”
ซิ่งเอ๋อร์แย่งเอ่ย “สวรรค์! เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมเนื้อตัวจึงมีบาดแผลมากเช่นนี้?”
ครั้นฮองเฮาฉู่เห็นสีหน้าเย่เฟิงแปลกไป ก็ฝืนสงบจิตใจ แล้วกลบเกลื่อนเรื่องราวอย่างง่ายดาย รักษาหน้าเย่เฟิงอยู่มาก
“บนตัวคุณชายน้อยมีรอยฟันมากจริงๆ ต่อไปถึงจะเสียใจ อัดอั้นอย่างไรก็อยากได้กัดอีก เจ้ามาโหวกเหวกอะไร ยังไม่รีบออกไปอีก!”
“ฮูหยิน! เขาไม่เพียงแต่มีรอยฟัน เขา…เขา…”
“นังเด็กนี่นับวันก็ยิ่งไร้ระเบียบใหญ่แล้ว นายพูดอยู่ให้เจ้าพูดแทรกได้ที่ไหนกัน? หากยังไม่ออกไป ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องมารับใช้ข้าอีก!”
ซิ่งเอ๋อร์สะพรึง
วันนี้ฮองเฮาโกรธนางหลายครั้งแล้ว
หากยังไม่ออกไปอีก เกิดต่อไปฮองเฮาไม่เอานางแล้ว นางจะทำอย่างไรดี?
ซิ่งเอ๋อร์ไม่กล้าชักช้า ทำความเคารพแล้วก็ออกไปด้วยใบหน้าขาวซีด รอคำสั่งอยู่ไกลๆ
“ซิ่งเอ๋อร์ถูกข้าปล่อยปละจนเหลิง ช่วงนี้เอาแต่พูดจาเพ้อเจ้อ พรุ่งนี้ข้าค่อยสั่งสอนนาง”
“มิเป็นไร”
เย่เฟิงไม่มั่นใจว่าฮองเฮาฉู่จะเห็นบาดแผลเขาหรือไม่กันแน่
“รีบกินเถอะ” ฮองเฮาฉู่คีบรากบัวให้เขาอีก
“ขอบคุณฮูหยิน”
สองคนสามอย่าง ไม่นานก็กินจนหมด
หลายปีที่ผ่านนี่เป็นครั้งที่อาหารถูกปากมากที่สุด และเป็นครั้งที่กินมากที่สุดด้วย คนรับใช้ที่มาเก็บถ้วยตะเกียบอดตกใจเป็นไม่ได้
ฮองเฮาฉู่ยิ้มเอ่ย “อาหารที่คุณชายทำ รสชาติติดลิ้นไม่จางหายจริงๆ”
“หากฮูหยินชอบ ข้าจะทำให้ฮูหยินกินทุกวันก็ได้”
เมื่อพูดจบเขาก็นึกเสียใจ
เขาเป็นแค่อะไร? มีสิทธิ์ทำอาหารให้นางกินทุกวันที่ไหนกัน?
กินครั้งแรกแปลกใหม่ ครั้งสองก็อาจเบื่อแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาฉู่จะรับปากทันที “หากได้อาหารที่คุณชายน้อยทำทุกวัน เช่นนั้นชาติที่แล้วข้าต้องทำบุญมามากแน่”
ฮองเฮาฉู่มองใบหน้าหล่อเหลาของเย่เฟิง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าหน้าตาคุ้นเคย คล้ายกับสามีของนางตอนวัยหนุ่มมาก
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น เพียงแต่สามีแววตาของนางมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความสดชื่น
ส่วนเขากลับอึมครึม เย็นชาโดดเดี่ยว เจือความต้อยต่ำนิดๆ
ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เคยผ่านอะไรมาบ้าง จึงมีบาดแผลเต็มตัว แล้วยังใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังอีก
“ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยชื่ออะไร ปีนี้อายุเท่าไรหรือ?”
“ข้าน้อยเย่เฟิง ปีนี้…ปีนี้อายุสิบเก้า” เดิมเขาอยากพูดว่าสิบแปด แต่กลัวว่านางจะคิดมาก ดังนั้นจึงบอกเพิ่มไปอีกปี
ฮองเฮาฉู่หดหู่เล็กน้อย เอ่ยพึมพำ “สิบเก้าหรอกหรือ…”
บุตรชายของนางอายุสิบแปด อายุไม่ตรงกัน