บทที่ 233 ข้าหลงทางอีกแล้วหรือ
“ไม่นาน แค่เดือนกว่าเท่านั้นเอง”เย่จิ่งหานก็กำลังยิ้มเช่นเดียวกัน เพียงแต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ส่งผ่านไปถึงดวงตาเช่นกัน
หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ เขาได้หลงกลแผนการของเผ่าเทียนเฟิ่น ทำให้ถูกพิษ สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว สุดท้ายก็ถูกหญิงสาวคนนั้นลากเข้าไปในพงหญ้า จากนั้น ……
นึกถึงเรื่องในคืนนั้น ความเย็นชาของเย่จิ่งหานก็เพิ่มขึ้นอีกหลานส่วน
“ความน่าเกรงขามของเทพแห่งสงครามไม่ได้ลดลงจากวันวานเลย ศึกที่ป่าหิมะ ฆ่าผู้อาวุโสในเผ่าเทียนเฟิ่นของข้าไปสิบหกคน ร้ายกาจมากจริงๆ”
“ไม่ร้ายกาจเท่าเผ่าเทียนเฟิ่น ที่เอาแต่ทำเรื่องไม่ดีลับหลังผู้อื่นเท่านั้น ”
ประโยคเดียวของเย่จิ่งหานทำให้บทสนทนาถึงทางตัน บรรยากาศประหม่าขึ้นมาทันที
ความแค้นของทั้งสองคน มาจากเมื่อนานมาแล้ว ระหว่างนั้นก็ผ่านมาหลายสิบรุ่น ไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขได้ในชั่วข้ามคืน
ไฟแห่งสงครามปะทุขึ้นทันที
การปะทะกันของผู้มีฝีมือสูงส่งเช่นนี้ คนรอบข้างไม่สามารถแทรกเข้าไปได้เลย ได้แต่ถอยหลังให้อีกหลายก้าว เพื่อหลีกเลี่ยงกับหายนะที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องด้วย
ในขณะที่การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
บนท้องฟ้าก็มีเงาร่างสีแดงเพลิงสายหนึ่งเหาะลงมา
คนที่มาก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เพียงแต่ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีรูปร่างงดงาม ชุดขาวพลิ้วไหวเหมือนกับชายหนุ่มเมื่อครู่นี้
เขาสวมชุดสีแดงเพลิงที่ทำจากผ้าไหมชั้นดี เผยให้เห็นหน้าอกที่เย้ายวนใจและแข็งแกร่ง เส้นผมดำอ่อนนุ่มที่ราวกับน้ำตกปลิวไปตามลม เหลือเพียงสองช่อที่ทัดไว้หลังหู
เขามีหน้าตาดีมาก ทรงผมราวกับถูกตัดแต่งมาอย่างดี ดวงตาดุจน้ำหมึก ใบหน้าดุจกลีบดอกท้อ ดวงตายาวรีทรงดอกท้อสีอ่อนคู่นั้นแฝงไปด้วยความเกียจคร้าน นิ้วมือที่เรียวยาวดุจหยก เหมือนกำลังลูบเส้นผมที่หลังหูอย่างเบื่อหน่าย
พอเขาปรากฏตัวขึ้น สายตาของทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
โดยเฉพาะลูกน้องของเย่จิ่งหาน แต่ละคนเต็มไปด้วยความระวังและตื่นเต้น
จอมมารขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงที่มีเสน่ห์น่าฟังดังขึ้นอย่างชัดเจน
“ข้าหลงทางอีกแล้วหรือ เขาสูบวิญญาณไปทางไหน”
เย่จิ่งหาน”……”
ชายชุดขาว”……”
เหล่าองครักษ์ลับ”……”
จอมมารกำลังหยอกพวกเขาหรือ
เสียงต่อสู้บนเขาสูบวิญญาณดังขึ้นเป็นระลอก มีแสงไฟพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ตามแสงไฟนั่นไป ก็สามารถหาค้นหาเขาสูบวิญญาณได้กระมัง ปัญหานี้ปัญญาอ่อนเกินไปแล้ว
จอมมารมองกวาดไปรอบหนึ่ง ไม่เห็นเงาร่างที่งดงาม มือที่ลูบผมอยู่ก็ถูกปล่อยลงอย่างเบื่อหน่าย
เขาใช้สายตาที่เบื่อหน่าย กวาดมองไปยังเย่จิ่งหานกับชายหนุ่มชุดขาวแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “พวกเจ้าสู้ต่อเถอะ”
เหล่าองครักษ์ลับต่างก็รู้สึกมึนงง
จอมมารจะไปแล้วหรือ
นี่เขาไม่ได้มาเพราะต้องการจะช่วยหัวหน้ากองธงกล้วยไม้หรอกหรือ
ไปก็ดี
ขอเพียงจอมมารไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง การชี้ชะตาระหว่างท่านนายกับเผ่าเทียนเฟิ่นก็เปิดฉากได้ง่ายขึ้น
ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดขาวก็ยิ้มขึ้นมาอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงที่อบอุ่นหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับแสงจันทร์
“ท่านจอมมาร เย่จิ่งหานส่งทหารไปโจมตีเขาสูบวิญญาณ ฆ่าคนในเผ่าของท่าน ท่านเป็นถึงจอมมาร คงไม่ใช่ว่ากลัวเขา จึงได้จากไปอย่างรีบร้อนกระมัง”
คำพูดประโยคเดียว ทำให้ฝีเท้าของจอมมารชะงักลงทันที
เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ในภายหลัง
ใช่แล้ว เสวียซาเคยบอกว่า เย่จิ่งหานทำลายสถานการณ์ที่นิ่งชะงักได้ นำทัพโจมตีหน่วยย่อยของกองธงกล้วยไม้ ตั้งใจจะเด็ดหัวของหัวหน้ากองธงกล้วยไม้
เสวียซายังบอกว่า พี่สาวกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังเขาสูบวิญญาณ เขาเกรงว่าพี่สาวจะเข้าใจผิดว่าเขาอยู่กับเสวียซา จึงจงใจส่งเสวียซากับหัวหน้ากองธงทั้งสามไปช่วยหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ ตัวเองกลับขึ้นไปบนเขาเพียงลำพังเพื่อจะได้มีโอกาสพบพี่สาวโดยบังเอิญ
คิดไม่ถึงว่า เขาจะหลงทางในป่า ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถหาตัวพี่สาวไม่พบ ยังเดินวนอยู่กับที่ตั้งหลายรอบ
ทันใดนั้นจอมมารก็หัวเราะขึ้นมา ไม่รู้ว่าหัวเราะอะไร เหมือนจะไม่มีท่าทีจะจากไปด้วย
“เย่จิ่งหาน คงไม่ใช่ว่าเจ้าเห็นว่าช่วงนี้ผิวพรรณของข้าดีขึ้น จึงเกิดความอิจฉาในใจ จึงได้นำทัพมาโจมตีเผ่าปีศาจของข้ากระมัง”
เหล่าองครักษ์ลับต่างก็มุมปากกระตุก
จอมมารที่ทุกคนต่างหวาดกลัว ทำไมจึงเหมือนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง
เขาเป็นจอมมารจริงหรือ