บทที่ 238 บิดเบือนข้อเท็จจริง
ไม่ว่าจะเป็นใครในเจ็ดผีแห่งภูเขาหยิน ต่างก็เป็นคนที่ชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ โดยเฉพาะพี่ใหญ่ของเจ็ดผีแห่งภูเขาหยิน หยินต้ากุ่ย มีวรยุทธถึงขั้นที่ภูตผีเทวดายังคาดเดาไม่ได้ แทบจะเทียบชั้นได้กับหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ได้เลย
ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันที่นี่ แค่คิดก็รู้แล้วว่าไม่ได้มาดี
องครักษ์ลับคุ้มกันกู้ชูหน่วน พูดเสียงเย็นว่า “พวกเราเป็นคนของท่านอ๋องหานเทพสงคราม ท่านไม่ใช่คนของเผ่าเทียนเฟิ่น และไม่ใช่คนของเผ่าปีศาจ จะไว้หน้าสักครั้งได้หรือไม่ ”
สวีซานเหนียงหัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที ดวงตาหยาดเยิ้มจ้องเขม็งไปยังเย่เฟิงที่บาดเจ็บสาหัส มีความยินดี มีความโกรธ ปะปนกันไม่ชัดเจน
“ไว้หน้าพวกเจ้า ตอนที่นังเด็กนั่นกับเจ้าคนนั้นฆ่าพี่น้องของข้า เคยไว้หน้าพวกเราหรือไม่”
ดวงตาของสวีเจิ้นบอดสนิท มองไม่เห็นม่านตา เขาพูดด้วยเสียงโหดเหี้ยมว่า “ยังมีดวงตาของข้า ดวงตาของข้าถูกควักออกมา ล้วนเป็นฝีมือพวกเจ้า บัญชีแค้นในวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสะสาง”
แม้ว่าสวีเจิ้นจะตาบอดทั้งสองข้าง แต่การฟังของเขาดีเยี่ยม เขายกเคียวที่อยู่ในมือขึ้น คิดจะฆ่ากู้ชูหน่วน
หยินต้ากุ่ยถลึงตาให้กับสวีเจิ้นแวบหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เขาอย่าใจเย็นอย่าวู่วาม
เขากวาดตามองไปจนทั่ว
เย่เฟิงกับยายแก่ ไม่จำเป็นต้องกังวล
สำคัญที่สุดคือเด็กสาวคนนั้น
วันนั้นท่านจอมมารรักและปกป้องนางแค่ไหน เขามองเห็นทั้งหมดอย่างชัดเจน
และนางยังเป็นผู้หญิงของท่านอ๋องหานเทพสงคราม ฆ่านาง เท่ากับเป็นการล่วงเกินทั้งจอมมารและเทพสงคราม สองคนนี้ ไม่ว่าใคร เขาก็ล่วงเกินไม่ได้
“พวกเจ้าก็รู้ดีว่าข้าเป็นว่าที่ภรรยาของเทพสงคราม ก่อนที่เจ้าจะฆ่าข้า ต้องไตร่ตรองให้ดี หลังจากฆ่าข้าแล้ว เทพสงครามจะไล่ล่าพวกเจ้าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวหรือไม่”
หยินต้ากุ่ยยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
สวีเจิ้นร้อนใจขึ้นมา “พี่ใหญ่ ท่านคงไม่ปล่อยหญิงคนนี้ไปหรอกกระมัง ตอนนี้เทพสงครามไม่อยู่ ขอเพียงพวกเราฆ่าพวกเขาให้หมด ใครจะรู้ว่าเราเป็นคนลงมือ”
“เจ้าเป็นอะไรกับท่านจอมมาร “ราวกับหยินต้ากุ่ยไม่ได้ยินคำพูดของสวีเจิ้น ได้แต่เอ่ยถามกู้ชูหน่วนขึ้นมาทีละคำ
กู้ชูหน่วนกะพริบตาแววตาเจ้าเล่ห์ น้ำเสียงสดใสกังวานค่อยๆดังขึ้น พูดไปเรื่อยเปื่อยว่า “ท่านจอมมารน่ะหรือ เป็นลูกสมุนข้า หรือก็คือลูกน้องข้า มีความสัมพันธ์ที่ดีกับข้ามาก”
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าฟังนางพูดจาเหลวไหล จอมมารเป็นใคร จะไปเป็นลูกน้องนางได้อย่างไร ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่รู้จักมองตัวเองว่าเป็นใครมีฐานะอะไร”
สวีซานเหนียงกับสวีเจิ้นไม่เชื่อ
หยินต้ากุ่ยกลับเชื่อ
เพราะวันนั้น จอมมารอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดนาง ร้องเรียกนางอย่างหวานหยดย้อยว่าพี่สาว
แล้วมองไปยังงูพิษและค้างคาวที่หล่นอยู่บนพื้นตั้งมากมาย หยินต้ากุ่ยมองแวบเดียวก็รู้ นี่เป็นฝีมือของผู้อาวุโสตงแห่งเผ่าเทียนเฟิ่น
เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครช่วยเหลือนาง จึงทำให้สัตว์มีพิษถอยร่นไป
หยินต้ากุ่ยพูดเสียงเย็นว่า “เอากระดิ่งทลายวิญญาณออกมา ขอเพียงเจ้ามอบกระดิ่งทลายวิญญาณให้ข้า ข้าสามารถพิจารณาไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง”
“อะไรนะ พี่ใหญ่ พวกนางฆ่าพี่น้องของพวกเรา ยังควักลูกตาข้าด้วย พวกเราจะปล่อยนางไปง่ายๆเช่นนี้ได้อย่างไร”
“เจ้าหุบปาก “หยินต้ากุ่ยโมโห กำฝ่ามือแน่น หินก้อนใหญ่ข้างๆนั้นก็แหลกละเอียดเป็นผุยผง สลายหายไปกับสายลม
พลังภายในแข็งแกร่งมาก
ทุกคนต่างรู้สึกกลัว
เผชิญหน้ากับเขา พวกเขาไม่มั่นใจเลยสักนิด
สวีเจิ้นคอหด คอยไปอยู่ข้างหลังโดยสัญชาตญาณ สวีซานเหนียงจ้องกู้ชูหน่วนราวกับสัตว์ป่า
ไม่ว่านางจะมีสถานะอะไร พี่ใหญ่ของพวกนางกลัว แต่นางไม่กลัว มากสุดก็แค่ทำลายศพอย่างไร้ร่องรอย
พี่ใหญ่ยินพูดขึ้นอีกครั้ง “เอากระดิ่งทลายวิญญาณมา ถ้าหากไม่มอบกระดิ่งทลายวิญญาณ ที่นี่จะกลายเป็นที่ที่พวกเจ้าจะหลับไปตลอดกาล คำพูดของข้าไม่มีครั้งที่สาม ”
“ข้าก็อยากจะมอบกระดิ่งทลายวิญญาณให้เจ้า แต่กระดิ่งทลายวิญญาณถูกหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ชิงไปแล้ว ครั้งนี้ที่ข้ามาเขาสูบวิญญาณ ก็เพื่อที่จะแย่งเอากระดิ่งทลายวิญญาณคืนกลับมา”