บทที่304 สัตว์เลี้ยงราชานักกิน
กู้ชูหน่วนเปิดกล่องออก ด้านในเป็นหยกหนึ่งชิ้น เป็นหยกสีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแกะสลักด้วยอักษรรูนมากมาย
เหมือนอย่างที่นางคิดไว้ไม่มีผิด อักษรรูนบนหยกขาวคล้ายกับกระดิ่งทลายวิญญาณมาก
กู้ชูหน่วนทำตามวิธีเก่า ทำหยกขาวให้แตก เป็นไปตามที่คิดไว้ไม่มีผิด หลังจากที่หยกขาวแตกแล้ว อักษรรูนบนนั้นก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ จากนั้นก็หลอมรวมเข้ากับกระดิ่งทลายวิญญาณทันที
หยกสามชิ้นหลอมรวมกับกระดิ่งทลายวิญญาณแล้ว ทันใดนั้นเองก็มีแสงประกายเจิดจ้าขึ้นท้องฟ้า
แสงระยิบระยับปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดิน ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยแสงแห่งเทพยดา และสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้ในระยะไกล
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
ที่นี่ยังขนาดนี้เลย เกรงว่าอิทธิพลทั่วทุกที่คงรู้กันหมดแล้วล่ะ
“พึ่บ……”
กระดิ่งทลายวิญญาณที่อยู่บนอากาศ ทันใดนั้นก็ดับลง แล้วตกลงมาบนพื้น
กู้ชูหน่วนเก็บขึ้นมา ตรวจดูอย่างละเอียด กระดิ่งทลายวิญญาณแสดงแผนที่ออกมา เป็นแผนที่ทั้งหมด แต่แผนที่นี้แปลกหน้ามาก ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหนกันแน่
เซียวอวี่เซวียนจดจำแผนที่ไว้ในสมอง กระตุกยิ้มแล้วพูดว่า “หรือว่าตามหาด้วยแผนที่นี้ ก็จะสามารถตามหาไข่มุกมังกรได้”
“รู้ไหมว่าแผนที่ทำเครื่องหมายไว้ที่ไหน?”
“ไม่รู้สิ แต่แผนที่นี้น่าจะเป็นทะเลโลหิต แคว้นเย่มีแค่สามที่ที่มีทะเลโลหิต เมืองอู๋ซวง เมืองมู่หยง เมืองฉางฮวน ในนั้นทะเลโลหิตของเมืองมู่หยงใหญ่และเยอะสุด”
กู้ชูหน่วนลูบคาง หรือว่าแผนที่นี้จะบันทึกเมืองมู่หยงเอาไว้เหรอ?
นางเปิดและพลิกแผนที่ไปมา เห็นตัวหนังสือแคว้นเว่ยสี่ตัวตรงมุมซ้ายล่างของเมื่อหลายพันปีก่อน เมืองแห่งทะเลโลหิต
“เสี่ยวเซวียนเซวียน เจ้าเคยได้ยินเมืองแห่งทะเลโลหิตห้าคำนี้ไหม?”
“ไม่เคยนะ”
“แผนที่นี้ไม่ใช่เมืองมู่หยงแน่นอน นี่เป็นตัวหนังสือแคว้นเว่ยเมื่อสองพันกว่าปีก่อน แคว้นเว่ยตั้งอยู่ทางเหนือ และเมืองมู่หยงตั้งอยู่ทางใต้ เหนือใต้ห่างกันมาก”
“เจ้าหมายความว่า……สถานที่ที่แผนที่บันทึกนั้น น่าจะอยู่ที่เมืองอู๋ซวงเหรอ?”
กู้ชูหน่วนเปิดดูแผนที่บนกระดิ่งทลายวิญญาณหลายครั้ง ขมวดคิ้วเป็นปม
แผนที่นี้น่าจะมีอายุประมาณสองพันกว่าปีได้ ผ่านไปสองพันกว่าปีแล้ว ถึงแม้จะเป็นภาพของภูเขา ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง ให้คนรุ่นหลังสองพันกว่าปีก่อน ให้ไปหาที่อยู่ตามแผนที่ที่คนโบราณทิ้งเอาไว้เมื่อสองพันกว่าปีก่อน นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ
กู้ชูหน่วนเก็บกระดิ่งทลายวิญญาณเข้ากระเป๋า “ออกไปจากที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะดึงดูดพวกศัตรูมาเสียก่อน หลังจบงานชุมนุมสวินหลงแล้ว พวกเราไปเมืองอู๋ซวงด้วยกัน”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ส่งพวกเราออกไปจากที่นี่”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตอบรับเสียงฟ่อๆๆ รัดตัวพวกเขาไว้แล้วบินออกจากในภูเขาหิมะ
ในตอนที่พวกเขาออกไปไม่นาน ก็มีกลิ่นอายของพวกยอดฝีมือระดับเทพปรากฏขึ้นตรงที่พวกเขาอยู่เมื่อกี้ ถ้ากู้ชูหน่วนออกมาช้ากว่านี้ เกรงว่าคงต้องต่อสู้กับพวกเขาแน่
“ฟ่อ……”
หลังจากออกจากภูเขาหิมะแล้ว เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ปล่อยพวกเขาไว้รอบนอกภูเขา หัวใหญ่ยักษ์ของมันคลอเคลียมือเล็กของกู้ชูหน่วน หนึ่งในสองหัวของมันกอดขาของนางเอาไว้ ออดอ้อนไม่หยุด
กู้ชูหน่วนมองออกว่ามันหมายถึงอะไร นางตอบปฏิเสธโดยไม่คิดเลยทันที “ไม่ได้ เจ้าตัวใหญ่เกินไปแล้ว ถ้าข้าพาเจ้าออกไป ทุกคนคงได้หันมาสนใจแน่ และข้าก็พาเจ้าไปไม่ไหวด้วย”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กะพริบตา ครุ่นคิดคำพูดของนางอย่างตั้งใจ
มันจึงหดตัวลงอีกเรื่อยๆ สิบเมตร เจ็ดเมตร ห้าเมตร
กู้ชูหน่วนกับเซียวอวี่เซวียนตกตะลึง
นี่เป็นงูยักษ์จริงเหรอ?
นี่มันไส้เดือนฉบับขนาดเล็กชัดๆ
ไม่สิ ไส้เดือนจะใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยิ้มฟ่อๆๆ เงยหน้าขึ้นอวดกู้ชูหน่วน
มันเลื้อยขึ้นไปบนตัวของกู้ชูหน่วนอย่างเชี่ยวชาญ ขดตัวเป็นก้อนบนข้อมือของนาง แล้วนอนหลับอย่างขี้เกียจ
คนอื่นเห็นแล้ว คงคิดว่านั่นเป็นแค่กำไลข้อมือ
กู้ชูหน่วนข่มความตกตะลึงในใจไว้ แล้วพูดปฏิเสธว่า “ไม่ได้ เจ้ามีหัวเก้าหัว เป็นที่สนใจของคนอื่นมากเกินไป ลงไปเดี๋ยวนี้เลย”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เบะปาก มองดูกู้ชูหน่วนอย่างน้อยอกน้อยใจ
ไม่รู้ว่ามันทำยังไง หดหัวลงเรื่อยๆ จากเก้าหัว หดเหลือเจ็ดหัว ห้าหัว สามหัว สุดท้ายหดจนเหลือหัวเดียว
“……”
กู้ชูหน่วนกับเซียวอวี่เซวียนนอกจากจะพูดไม่ออกแล้วก็ยังพูดไม่ออกอยู่ดี
นี่มันงูอะไรกันนะ?
ไม่เพียงแต่เปลี่ยนร่างได้ แถมยังหดหัวได้อีก
กู้ชูหน่วนถอนหายใจ “เห็นแก่ที่เจ้าช่วยข้าตามหาสมบัติ ข้าจะเก็บเจ้าเอาไว้ก่อน แต่เจ้าอย่าก่อเรื่องให้ข้าเด็ดขาด ไม่งั้นข้าจะทิ้งเจ้าไว้ในภูเขาสืบมังกรนี้ เข้าใจไหม?”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หมุนรอบๆบนมือของนาง ปากก็ทำเสียงฟ่อๆๆอย่างร่าเริงหลายครั้ง โอบรัดบนข้อมือของกู้ชูหน่วนแล้วนอนหลับอย่างขี้เกียจ
เซียวอวี่เซวียนทำเสียงจิ๊ๆๆ “เรื่องแปลกๆมีทุกปี แต่ปีนี้เยอะที่สุด งูใหญ่ตัวนี้ข้าไม่กล้าหาเรื่องหรอกนะ ข้าหลบไปไกลๆหน่อยจะดีกว่า”
กำลังจะออกจากที่นี่แล้วตามหาสมบัติต่อไป กลับเห็นอ๋องเจ๋อกับพวกนักเรียนสองสามคนในราชวิทยาลัย
อ๋องเจ๋อมีสีหน้าดีใจ อารมณ์ดีมาก เกรงว่าคงจะหาสมบัติจากภูเขาสืบมังกรได้ไม่น้อยเลย
ในมือพวกเขาถือกล่องและถุงกระสอบไว้เยอะมาก มีเพียงนางกับเซียวอวี่เซวียนที่ในมือยังคงว่างเปล่า
พวกนักเรียนก็หัวเราะเยาะกันใหญ่
“ข้าว่าพวกเจ้าสองคน คงหาสมบัติไม่เจอสักอย่าง ได้แต่พวกหญ้าล่ะสิท่า?”
“ดูท่าพวกเขาก็รู้แล้ว ถึงแม้สมบัติในภูเขาสืบมังกรจะมีเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้มีทุกที่ไป อยากหาสมบัติ ต้องดูที่คนด้วย อย่างเช่นอ๋องเจ๋อ เขาโชคดีมาก ได้สมบัติถึงสามชิ้น หนึ่งในนั้นยังมีสมบัติระดับสองหนึ่งชิ้นอีกด้วย”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์บนข้อมือกู้ชูหน่วนเริ่มขยับ ตัวงูที่ใหญ่เท่าตะเกียบจ้องมองพวกนักเรียนอย่างไม่เป็นมิตร พร้อมเขมือบพวกเขาได้ตลอดเวลา
กู้ชูหน่วนลูบหัวของมัน ให้มันหลับต่อไป
เซียวอวี่เซวียนพูด “ก็แค่สมบัติระดับสองเอง มีอะไรให้น่าอิจฉากัน”
พวกเขาไม่เพียงแต่ได้ผลึกเกล็ดหิมะพันปี แถมยังหาผลึกหลากสีหมื่นปีได้ด้วย และไม่ได้มีเพียงแค่ชิ้นเดียว สองอย่างนี้แค่เพียงหนึ่งอย่างก็มีค่ามากกว่าสมบัติระดับสองแล้ว
“พูดเหมือนพวกเจ้าหาสมบัติระดับสองได้งั้นแหละ” นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น
นักเรียนอีกคนพูดประชด “พวกเจ้าหาสมบัติระดับสองขึ้นไปได้เยอะอยู่แล้ว หลิวเยว่กับอวี่ฮุยยังขุดหญ้าอยู่เลยนี่? ขุดได้ตั้งหลายกระสอบแล้ว ฮ่าๆๆ……หญ้าพวกนั้นอาจจะเป็นสมบัติในใจพวกเขาก็ได้”
กู้ชูหน่วนบิดขี้เกียจ ไม่อยากสนใจคำพูดไร้สาระของคนไร้สาระพวกนี้
“ตอนนี้ก็มืดแล้ว เสี่ยวเซวียนเซวียนไปล่าสัตว์กันเถอะ วันนี้พวกเราเอามาย่างกินกัน”
พอได้ยินของกินแล้ว เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็หายง่วง และกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“ได้เลย” เซียวอวี่เซวียนมองค้อนคนพวกนั้นอย่างไม่พอใจ โดยเฉพาะอ๋องเจ๋อที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แล้วออกไปตามล่าสัตว์
กู้ชูหน่วนนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ ผิวปากฮัมเพลงแล้วกระดิกขา จากนั้นนางก็พูดด้วยว่า “เรียกหลิวเยว่กับอวี่ฮุยไปล่าด้วยกันนะ ยิ่งเยอะยิ่งดี วันนี้ข้าอยากกินเยอะๆ”
“รู้แล้วล่ะ”
นักเรียนคนอื่นๆเห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้ว ตัวเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน จึงหาที่นั่งพักสบายๆ ว่าจะพักผ่อนก่อน
ตกดึก พวกเขาเห็นเซียวอวี่เซวียนกับพวกหลิวเยว่แต่ละคนแลกหมูป่ามาหลายตัว แบกเข้ามาเรื่อยๆ เสียงย่างเนื้อหมูดังเปาะแปะและมีกลิ่นหอมโชยออกมา
นับจำนวนดูแล้ว อย่างน้อยน่าจะมีหมูสิบกว่าตัว กระต่ายยี่สิบกว่าตัวได้
นี่……
พวกเขามีแค่สี่คนไม่ใช่เหรอ?
จะกินเยอะขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
เห็นหลิวเยว่กับอวี่ฮุยทำหน้าบึ้งตึงออกไปล่าสัตว์อีก พวกเขานิ่งเฉยต่อไปไม่ไหวแล้ว