อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 464 เดิมทีข้าก็ไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกของท่าน
ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์มีความกล้าหาญมาจากไหน ส่งเสียงฟ่อวๆไม่กี่ที ร่างกายก็พองขึ้นทันที ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ใช้พลังทั้งหมด ช่วยฉีกค่ายกลออกเป็นรอยแยกทางหนึ่งอย่างสุดกำลัง
จอมมารเห็นดังนั้น กำลังคิดจะเข้าไปในค่ายกล แต่กลับถูกเย่จิ่งหานแย่งนำไปก่อนก้าวหนึ่ง
“หน้าไม่อาย”
จอมมารด่าคำหนึ่ง แต่ไม่ได้หยุดการกระทำ กลับอัดฉีดกำลังภายในเข้าไปไม่หยุด กลัวว่าค่ายกลจะปิดลงอย่างกะทันหัน
หลังจากที่เย่จิ่งหานเข้าไปในค่ายกลแล้ว ราวกับเป็นเทพสังหารมือหนึ่งถือขลุ่ย มือหนึ่งสะเทือนเหล็กดัดอ่อนออกไปจากข้างกายของกู้ชูหน่วน ราวกับว่าเข้าไปในดินแดนไร้ผู้คน
ขลุ่ยหยกขาวปะทะกับเหล็กดัดอ่อน เปล่งเสียงดังก้อง
“อาหน่วน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เย่จิ่งหานคุ้มกันอยู่เบื้องหน้าของกู้ชูหน่วนและผู้เฒ่าทั้งสาม ใช้หนึ่งคนสู้กับเหล็กดัดอ่อนนับหมื่นพัน
“ซือซือซือ……”
เหล็กดัดอ่อนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามกาลเวลาที่ผ่านไป ยิ่งรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ พลานุภาพก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
หากมีเพียงเขาคนเดียว ค่ายกลโบราณที่โหดเหี้ยมยังไม่สามารถทำร้ายเขาได้ชั่วคราว แต่ทว่า เขายังต้องปกป้องกู้ชูหน่วนและผู้เฒ่าทั้งสามที่ใกล้จะหมดลมอีก บวกกับอาการพิษเย็นกำเริบของเขาที่ยังไม่คงที่ ทั้งยังถูกจอมมารทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้เสียพลังไปเล็กน้อยอีกในเวลาเพียงชั่วครู่
จอมมารกล่าวอย่างไม่พอใจ “เย่จิ่งหาน ถ้าเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นก็ออกมาค้ำยันค่ายกลไว้ ข้าจะเข้าไปช่วยคน”
“เคล้ง……”เสียงหนึ่ง ขลุ่ยหยกขาวเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก ราวกับว่ามีดวงตาเกิดขึ้นรอบ พวกเขาเช่นนั้น ต้านทานเหล็กดัดอ่อนและกลไกสังหารในค่ายกลเสียงดังสนั่น
เย่จิ่งหานประคองกู้ชูหน่วนขึ้นมา มือก็สั่นเทาอย่างอดไม่ได้ “อาหน่วน…..อาหน่วน…..”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด “บ่นพร่ำอะไร ข้าไม่ได้หูหนวก”
นางแค่เจ็บปวดเกินไปเท่านั้น
ผู้เฒ่าสามคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ภายในนั้นกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เพื่อปกป้องพวกเราพระชายาได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป พวกข้าละอายใจนักพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งหานแบกกู้ชูหน่วน ยื่นฝ่ามือออกไป จับขลุ่ยหยกขาวอันหนึ่งไว้ ก้าวเข้าไปในใจกลางของค่ายกล นำทางคนที่เป็นภาระไปพลาง เปิดทางเพื่อพาพวกเขาออกไปพลาง
“ฉึบฉึบฉึบ……”
ค่ายกลเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ทันใดนั้นตาข่ายขนาดใหญ่อันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านบนสุด ปกคลุมลงมา เหล็กดัดอ่อนก็ปรากฏรูปร่างเป็นตาข่าย กักขังพวกเขาไว้ทุกทิศทาง
เย่จิ่งหานที่ใบหน้าเย็นชา ยกมือขึ้นเหล็กดัดอ่อนร่วงลงมา
ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าเบื้องหน้าเป็นอันตราย ก็ยังจะแบกกู้ชูหน่วนบุกออกไปด้วยความกล้าหาญโดยไม่สนในใดๆทั้งสิ้น
ในค่ายกลอันตรายเกินไป เหล็กดัดอ่อนเกี่ยวพันกันสะเปะสะปะไม่พอ ด้านบนยังมีตาข่ายขนาดใหญ่ที่เมื่อสัมผัสก็จะตายไปตรงนั้นทันทีอีก ทั้งยังมีหมอกพิษที่ไม่รู้ว่าพ่นออกมาจากที่ใดอีกด้วย
แก๊สพิษร้ายแรงเกินไป กู้ชูหน่วนไม่กลัวพิษ ตั้งแต่เด็กร่างกายของเย่จิ่งหานก็มีพิษ ก็ไม่ได้กลัวพิษเช่นกัน แต่การต้านทานพิษของผู้เฒ่าทั้งสามไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น
ร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงแต่ละร่างล้มลงไป
แววตาของเย่จิ่งหานสาดแสง ล้มเลิกโอกาสในการวิ่งออกไป และกลับใช้ฝ่ามือของตัวเองสะเทือนให้ผู้เฒ่าทั้งสามออกไป
ผู้เฒ่าทั้งสามเพิ่งจะออกมา ค่ายกลก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง พื้นดีๆในเดิมที กลับมีมือโครงกระดูกยื่นออกมาอย่างแน่นขนัด มือโครงกระดูกเหล่านี้จับต้นขาของเย่จิ่งหานไว้แน่น ไม่ว่าเขาจะออกแรงดิ้นรนเพียงใด ก็ดิ้นไม่หลุด
นอกจากมือโครงกระดูกแล้ว ผนังทั้งสี่ของค่ายกลกลับยังมีมีดใบพัดอันเฉียบคมกลิ้งไล่หลังเข้ามาที่ละอัน
มีดใบพัดยิ่งบีบคั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บีบออกมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส คิดจะหลบเลี่ยงมีดใบพัดก็ทำได้เพียงพลิกข้ามขึ้นไปด้านบน แต่เท้าถูกพันธนาการไว้ ทั้งยังมีเหล็กดัดอ่อนผสมกับเส้นแสงแวววับรวมถึงตาข่ายขนาดใหญ่อีก เย่จิ่งหานร้อนรนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“ฟู่ว……”
เพื่อปกป้องกู้ชูหน่วน เย่จิ่งหานได้รับบาดเจ็บจากเส้นแสงแวววาว เสื้อผ้าสีม่วงผลิออกเป็นดอกบัวโลหิตทีละดอกในพริบตา
ผู้คนที่มองดูอยู่ภายนอกล้วนกังวลใจจนเหงื่อตก กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาโดยไม่คาดคิด
แม้แต่จอมมารก็ยังอดเหงื่อแตกออกมาไม่ได้
“เย่จิ่งหาน เจ้าไม่ได้มีความสามารถเช่นนั้นก็อย่าแย่งเข้าไป ดูสิเจ้าอ่อนแอซะ”
จอมมารลังเลว่าจะเข้าไปหรือไม่
ทันทีที่เข้าไป ค่ายกลปิดขึ้นมาพวกเขาคิดจะเปิดจากด้านใน ก็ยากดั่งปีนขึ้นสวรรค์ และด้านในก็ไม่มีคนที่สามารถจะเปิดรอยแยกของค่ายกลได้
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทำสีหน้าท่าทางเป็นทุกข์ ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
นายหญิง……
ท่านก็รีบออกมาสิ
ถ้ายังไม่ออกมาอีก มันก็จะทนไม่ไหวแล้ว……
“อึก…..”
เย่จิ่งหานกลืนความอัดอั้นใจลงท้อง แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับอันตรายยิ่งใหญ่เพียงใด แม้ว่าอาจจะต้องสละตัวเอง เขาก็ยังพยายามปกป้องกู้ชูหน่วนอย่างสุดความสามารถ
กู้ชูหน่วนที่อยู่บนหลังของเขาซาบซึ้งใจแล้ว
“ปล่อยข้าเถอะ ท่านจากไปเองเถอะ”
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าจะไม่ละทิ้งภรรยาและลูกของตัวเองเพื่อหนีรอดไปคนเดียว”
กู้ชูหน่วนพยายามลืมตาอันเลือนรางของนางขึ้น ออกแรงกล่าวว่า “คนโง่ ข้าหลอกใช้ท่านมาตลอด ดูไม่ออกหรือไง?”
เย่จิ่งหานยิ้มด้วยความเจ็บปวดทันที
เขาโง่มาก ทั้งที่รู้ว่านางไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อเขาเท่าไหร่นัก โดยส่วนมากก็เป็นการหลอกใช้ แต่เขาเต็มใจ
เส้นแสงอีกเส้นที่ควรจะโจมตีเข้าบนร่างกายของนางในเดิมที กลับถูกเย่จิ่งหานบังไว้ด้วยร่างกายและเลือดเนื้อ
ดวงตาของกู้ชูหน่วนเจ็บปวด นางต้องการดิ้นลงมา ทว่าเย่จิ่งหานแบกไว้แน่นมาก ไม่ว่านางจะดิ้นอย่างไรก็ลงมาไม่ได้
กู้ชูหน่วนคำราม “ท่านเจ้าคนโง่ เดิมทีในท้องของข้าก็ไม่มีลูก ข้าแค่หลอกใช้ท่านเท่านั้น”
ตูม……
เย่จิ่งหานแทบจะถูกฟ้าผ่า สีหน้าซีดเผือดอย่างฉับพลัน
“เจ้า…..เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร”
เพราะเขาเสียสมาธิไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าบนตัวถูกมีดฟันไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว
หากไม่ใช่จอมมารลงมือทันเวลา ปล่อยดอกไม้กินคนออกมา เกรงว่าเขาก็คงถูกเหล็กดัดอ่อนฟันเป็นสองส่วนแล้ว
“ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกของท่านเย่จิ่งหาน ข้าเพียงแค่หลอกใช้ท่านเท่านั้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบข้าไม่ได้รักท่านเลย ท่านยังไม่รีบปล่อยข้าลงมาอีก”
ฟืด……
ทั้งเหตุการณ์เป็นเสียงสูดหายใจด้วยความตกใจ
พระชายาไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกของนายท่าน……
นี่เป็นความจริงก็เรื่องโกหก?
จอมมารตะลึงอยู่นาน
ไม่มีลูก?
เช่นนั้นเขายังจะต้องเลี้ยงลูกแทนคนอื่นอีกหรือ?
ชิงเฟิงเจี่ยงเสวียไม่กล้าเชื่อหูของตัวเองโดยแท้จริง
พระชายาบังอาจมาก เรื่องเช่นนี้ก็กล้าโกหก
จิตใจของเย่จิ่งหานเต้นระรัวเร็วขึ้น ราวกับว่าเร็วว่านี้อีกหน่อยก็จะแตกสลายแล้ว
เขาทั้งคนรู้สึกเคว้งคว้าง ที่ดังอยู่ในสมองล้วนเป็นคำพูดประโยคนั้นของกู้ชูหน่วน
“ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกของท่านเย่จิ่งหาน ข้าเพียงแค่หลอกใช้ท่านเท่านั้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบข้าไม่ได้รักท่านเลย ท่านยังไม่รีบปล่อยข้าลงมาอีก”
นางไม่สนใจเขา…..
นางไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกของเขา…..
ทำไม…..
ทำไมนางต้องโกหกเขา?
ทำไมหมอตรวจชีพจรถึงบอกว่านางตั้งครรภ์เลือดเนื้อของเขา……
ยอดฝีมือทำการรบ จะมีความผิดพลาดไม่ได้ มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังถูกกักขังไว้ในค่ายกลโบราณที่อันตรายอย่างร้ายแรงขนาดนั้นอีก ที่เผชิญหน้าอยู่จะเป็นยอดฝีมือธรรมดาได้อย่างไรกัน
เย่จิ่งหานถูกโจมตีหนักอย่างต่อเนื่อง
และไม่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากค่ายกล หรือว่าถูกกู้ชูหน่วนทำให้โมโห ทำให้ทั้งร่างกายเย็นยะเยือก กระอักเลือดดำออกมาเต็มปาก
“ท่านอ๋อง…..”
“นายท่าน……”
กู้ชูหน่วนตะโกนกล่าว “เย่จิ่งหาน ท่านเหม่อลอยอะไรอยู่ จะเหม่อลอยก็รอให้ออกไปก่อนแล้วค่อยเหม่อลอยได้หรือไม่ ท่านรีบปล่อยข้าลง”
นางดิ้นรนอีกสองสามครั้ง แต่เย่จิ่งหานยิ่งแบกก็ยิ่งแน่นขึ้น เหมือนกับว่าทันทีที่ปล่อยมือ ก็จะสูญเสียนางไปอย่างแท้จริงเช่นนั้น
กู้ชูหน่วนยอมแพ้แล้ว นางหยิบอาวุธลับที่ตัวเองเก็บไว้เพียงแค่ในแหวนมิติออกมา ไม่ว่าร่างกายของนางจะเจ็บปวดเพียงใด นางก็ยังยิงไปที่มือโครงกระดูกบนพื้นเหล่านั้น
มือโครงกระดูกไม่กลัวอาวุธลับ ไม่กระดิกสักน้อย ทั้งยังดึงเท้าของเย่จิ่งหานแน่นขึ้นเรื่อยๆ
กู้ชูหน่วนเอายาพิษออกมา หยดลงไปบนมือโครงกระดูกทั้งหมด
มือโครงกระดูกก็ยังไร้ความรู้สึก รวมทั้งนางใช้กระบี่ฟาดฟันไปก็ไร้ผล