อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 521 ไอดำร้าย
กู้ชูหน่วนและพลพรรคเพิ่งขึ้นไป ไป๋จิ่นและฮัวฉีหลัวก็ปรากฏตัวขึ้น
ฮัวฉีหลัวร้องสะดุ้ง ชี้ไปที่ภูเขารูปดาบตั้งตระหง่านบนโซ่เหล็กเก้าเส้น เอ่ยอย่างร้อนรน “พี่ไป๋ พี่กู้ขึ้นไปแล้ว เราก็รีบขึ้นไปเถอะ”
ไป๋จิ่นไม่สนใจคำพูดของฮัวฉีหลัว แต่สำรวจมองภูเขารูปดาบด้านบนไม่หยุด ใบหน้าเคร่งขรึม
เสื้อผ้าพวกเขารุ่งริ่งเล็กน้อย ชุดขาวหิมะก็เห็นเป็นเลือดบ้างแล้ว โดยเฉพาะฮัวฉีหลัว ตรงบ่าและขามีเลือดซึมออกมาไม่หยุด ไม่รู้ว่าหลังจากเข้าแดนต้องห้ามแล้วประสบอันตรายแบบไหน ถึงทำให้พวกนางทั้งสองผู้เป็นยอดฝีมือชื่อดังบาดเจ็บหนักได้
“พี่ไป๋ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ? พวกเรารีบตามไปเถอะ ชักช้าพี่กู้จะไปไกลแล้ว”
“เกรงว่าค่ายกลนี้จะไม่ธรรมดา ด้วยกำลังตอนนี้ของพวกเขา ทำลายไม่ได้”
ฮัวฉีหลัวมองโซ่เหล็กเก้าเส้นที่มียันต์อักขระแน่นขนัด เอียงศีรษะเอ่ย “”แต่ตบะวรยุทธ์ของพี่กู้ยังด้อยกว่าพวกเรา นางก็ยังไปแล้วมิใช่หรือ?
“เสี่ยวฉีเอ๋อร์ เชื่อข้า เจ้าออกจากที่นี่ก่อน ข้าจะไปเอง”
“ข้าไม่เอาหรอก พี่ไป๋จิ่น ท่านอยากสลัดข้าอีกแล้วใช่ไหม ก็เลยจงใจหลอกข้า ถึงข้าจะไม่มีความรู้เรื่องค่ายกล แต่ข้าก็เหมือนจะดูออก นี่เป็นค่ายกลสมบัติ ท่านดูสิ ในนั้นมีชี่ทิพย์อัดแน่น”
“ก็เพราะอย่างนี้ ค่ายกลนี้ถึงได้น่ากลัว ด้วยความที่ชี่ทิพย์อัดแน่น เจ้าไม่รู้สึกถึงรังสีชั่วร้ายที่น่ากลัวหรือ?”
“ข้าแค่รู้สึกว่าท่านอยากสลัดข้า”
“เหอะๆๆ…”
ด้านข้างมีเสียงหัวเราะชวนฝันปานกระดิ่งเงินดังขึ้น ทั้งสองหันไปมอง กลับเห็นสตรีที่ปิดปากหัวเราะได้งามวิไลร้อยพัน คือสีชิ่นแห่งหอหนึ่งในหล้า
ฮัวฉีหลัวขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าหัวเราะอะไร?”
สีชิ่นรูปร่างอรชร นูนเว้าน่าชม ทุกย่างก้าวคล้ายลวงคนให้กระทำผิด มีเสน่ห์จนไม่อาจใช้วจีพจน์สื่อความหมาย
ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีต่างต้องเคลิบเคลิ้มอย่างห้ามใจไม่ได้
เสียงสีชิ่นใสกังวานดั่งทอรุ้ง หัวเราะเอ่ย “พี่ไป๋เจ้าพูดถูก ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาเหมือนที่เห็น เด็กน้อยเล่นกับไฟไม่ได้นะ เชื่อฟังพี่ไป๋เจ้า กลับเล่นผ้าไหมฉีหลัวของเจ้าเถอะ”
“ข้าอายุสิบห้าแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย”
“ใช่ๆๆ เจ้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว เจ้าเป็นบุปผาดอกหนึ่ง ดอกฉีหลัวที่งดงามบานสะพรั่ง”
“เฮอะ พี่ธิดาเทพกล่าวไว้ หญิงสาวอายุสิบแปดดอกไม้หนึ่ง ข้าก็จะสิบแปดแล้ว จะมิใช่ดอกไม้ดอกหนึ่งหรือ?”
“ระวังนะ เจ้าที่เป็นดอกไม้แรกแย้ม อย่าได้เหี่ยวเฉาในทะเลเพลิงนี้ล่ะ”
ฮัวฉีหลัวโมโหอ้อนเอ่ย “พี่ไป๋จิ่น คำพูดนางหมายความว่าอะไร นางกำลังด่าข้าใช่ไหม?”
“พอที เจ้ากลับไปตามทางเดิม รอเรื่องที่นี่จัดการแล้ว ข้าจะกลับไปหาเจ้า”
“นางกำลังพูดให้กลัวอยู่ชัดๆ ทำไมท่านยังเชื่อคำพูดนางอีกล่ะ?”
ไป๋จิ่นกลอกตาขาวใส่ฮัวฉีหลัว เป็นการบอกให้นางเงียบปาก
นี่ถึงชายตาขึ้น มองสำรวจสีชิ่นอย่างเป็นทางการครั้งแรก ยิ้มบางเอ่ย “แม่นางสี ขอบคุณที่ชี้แนะ แต่…ในเมื่อแม่นางสีรู้ว่าค่ายกลนี้อันตราย แล้วทำไมยังบุกรุกเข้าแดนต้องห้ามโดยพลการล่ะ? แล้วเพราะเหตุใดถึงอยากเข้าค่ายกลสังหารร้ายนี้?”
“แม่นางไป๋จิ่นก็มิใช่บุกรุกเข้าแดนต้องห้ามและอยากเข้าค่ายกลสังหารร้ายนี้ด้วยเหมือนกันหรือ? ในเมื่อเรามีเป้าหมายเดียวกัน ทั้งไม่มีความแค้นใหญ่หลวง ก็อย่าได้ถามเหตุผลของกันและกันเลย มิสู้ร่วมมือบุกค่ายกลสังหารโบราณนี้ด้วยกัน?”
“อ้อ…แม่นางสีเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าข้าจะร่วมบุกกับเจ้า?”
ดวงตาแพรวพราวของสีชิ่นหลิ่วตามองรอยเลือดบนชุดขาวราวหิมะของนาง ความหมายคือไม่ต้องพูดก็เข้าใจ
ไป๋จิ่นเป็นคนฉลาด จะไม่รู้ความหมายในถ้อยคำของนางได้อย่างไร
นางเป็นแขกของหุบเขาตันหุย แต่กลับไม่คำนึงกฎของหุบเขาตันหุย บุกเข้าแดนต้องห้ามพลการ บาดเจ็บอยู่ในแดนต้องห้ามแล้วยังอดทนมาถึงตรงนี้ จะจากไปโดยสมัครใจได้อย่างไร
นัยน์ตาล้ำลึกคู่นั้นจองไป๋จิ่นกวาดมองสีชิ่นด้วย บ่าของสีชิ่นมีเลือดซึมเหมือนกัน ดูท่าก็บาดเจ็บด้วย
แม้ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย แต่ทั้งสองก็ยังมองกันแล้วยิ้ม บรรลุความร่วมมือ
ฮัวฉีหลัวหน้าหงิกหน้างอ “แล้วข้าจะทำอย่างไร? ข้าไม่ไปแน่ะล่ะ พวกท่านอย่ามาคิดแผนอะไรกับข้านะ”
สีชิ่นหันกลับไปมองทางเข้า เสียงขรึมกว่าเดิมหลายส่วน “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เผ่าเทียนเฟิ่นก็ต้องบุกเข้าแดนต้องห้ามแล้วแน่”
ไป๋จิ่นกล่าวสืบต่อ “เผ่าหยกก็อาจเข้ามาแล้วเหมือนกัน”
สีชิ่นหัวเราะ “ยังมีเจ้าหุบน้อยน่าหลันของหุบเขาตันหุยอีก ข้าเห็นเขาสนใจแม่นางกู้มาก เพื่อแม่นางกู้ บางทีอาจขัดต่อกฎหุบเขาเข้าแดนต้องห้ามจริงๆ”
“ถ้าน่าหลันหลิงลั่วเข้ามา หุบเขาตันหุยต้องไม่ปล่อยให้เขาเข้ามาคนเดียวแน่ ถึงตอนนั้นพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าของหุบเขาตันหุยก็ต้องเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง แถม…พวกเราบุกเข้าแดนต้องห้ามมากันมากเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนของหุบเขาตันหุยจะไม่รู้เรื่อง”
ฮัวฉีหลัวมองคนนี้ที มองคนนั้นที แล้วชี้ตัวเอง “ในเมื่อมีคนมากมายเช่นนี้เข้าแดนต้องห้าม ก็คงไม่ขาดข้าคนเดียวกระมัง? พี่ไป๋ ท่านก็ให้ข้าขึ้นไปด้วยเถอะ”
“ขึ้นไปอันตรายมาก แบบนี้แล้วกัน เจ้าหาที่ซ่อนตัวก่อน รอพวกเราออกมาแล้วค่อยไปด้วยกัน จำไว้ ไม่ว่าบนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็ห้ามขึ้นไปเด็ดขาด!”
“ก็ได้…”
“อีกอย่าง ไม่ว่าจะมีคนมากี่กลุ่ม ไม่ว่าพวกเขาจะฆ่าฟันกันอย่างไร เจ้าก็ห้ามสอดแทรกเด็ดขาด”
“ก็ได้…ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ทำร้ายท่านกับพี่กู้ ข้าไม่ว่างงานจนเบื่อไปหาเรื่องพวกเขาหรอก”
ความคิดสีชิ่นแล่นปราด “ดูเหมือนความสัมพันธ์ของน้องฉีหลัวกับแม่นางกู้จะไม่ธรรมดานะ”
“ก็แน่ล่ะ ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรพี่กู้ของข้า ระวังข้าจะไม่เกรงใจเจ้านะ” นางง้างหมัดชมพูน้อยๆ เป็นการแสดงอำนาจ มองทางสีชิ่นปิดปากลอบยิ้ม
“ไม่ทราบน้องฉีหลัวกับแม่นางกู้เป็นอะไรกันหรือ? ข้าล่ะแปลกใจนัก เผ่าน้ำแข็งไม่ข้องแวะกับโลกภายนอกมาตลอด ถามถึงโลกภายนอกก็น้อยนัก แล้วรู้จักแม่นางกู้ได้อย่างไร?”
เฮอะ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก ถึงอย่างไรถ้าเจ้ากล้าทำร้ายพี่กู้ของข้า พวกเราเผ่าน้ำแข็งจะไม่ไว้เจ้า!
ไป๋จิ่นปัดปอยผมที่หน้าผาก ยิ้มเป็นสง่า สง่างามสูงส่ง
“ดูเหมือนแม่นางสีจะสนใจแม่นางกู้มากนะ ไม่ทราบว่าแม่นางสีเป็นอะไรกับแม่นางกู้หรือ?”
“หอหนึ่งในหล้าไม่เกี่ยวพันกับผู้ใด แต่ก็มีความเกี่ยวข้องด้วย ไปเถอะน้องไป๋จิ่น หากยังไม่ไปอีก ถึงข้างในจะมีของล้ำค่าอะไรก็ถูกชิงไปหมดแล้ว”
“ได้”
หลังจากกำชับฮัวฉีหลัวแล้ว เงาช้อยสองสายหนึ่งขาวหนึ่งแดงก็ปีนขึ้นข้างบน
หลังจากพวกนางขึ้นไปได้ไม่นาน เวินเส้าหยีและผู้อาวุโสสองสามคนของเผ่าเทียนเฟิ่น รวมถึงน่าหลันหลิงลั่วก็สำรวจค่ายกลก่อนจะขึ้นไปตามลำดับ
ฮัวฉีหลัวซ่อนตัวในที่ลับ อดขมวดคิ้วเป็นไม่ได้
คนพวกนี้พากันขึ้นไปทำอะไร?
หรือว่าในนั้นจะมีของล้ำค่าอะไรจริง?
นางเจ็บใจที่ต้องหลบอยู่ข้างล่างเพียงคนเดียว ดวงตาดำขลับสอดส่องรอบหนึ่งและปีนขึ้นไปด้วย
แต่เพิ่งจะขึ้นไปได้ไม่นาน ฮัวฉีหลัวก็ตาค้าง
นี่มันอะไร? เบื้องหน้าเป็นโซ่เหล็กใหญ่ๆ เล็กๆ ชนิดต่างๆ ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แต่ละเส้นรอบๆ ล้วนมีไอดำปกคลุม
เดิมนางอยากขึ้นไป
ครั้นนึกถึงสายตาเคร่งเครียดของไป๋จิ่น ใคร่ครวญแล้วก็มีความคิดบางอย่าง
ครั้นพลิกฝ่ามือขวา ผ้าไหมสีสันก็กวาดไปด้านหน้า
เมื่อผ้าไหมต้องถูกไอดำก็ผุพังทันที แม้แต่เศษเสี้ยวก็ไม่เหลือ ทั้งยังเร็วถึงที่สุดด้วย
ฮัวฉีหลัวตบหน้าอกตัวเองพลัน
ยังดีๆ ดีที่เมื่อครู่นางไม่ได้บุกเข้าไปโดยตรง
นี่มันไอดำอะไร พิษถึงรุนแรงเช่นนี้?
ด้านบนมองไม่เห็นสุดทาง
โซ่เหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างล่างมีไอดำลามไปเมื่อใดสุดจะรู้
ฮัวฉีหลัวคิดจะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้
อย่างลงก็ลงไม่ได้
ติดอยู่ตรงกลาง