อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 610 เป็นข้าที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าให้ดีได้
กู้ชูหน่วนและเย่จิ่งหานหนีรอดจากหายนะความตายครั้งใหญ่มาได้ เพิ่งจะออกมาจากขอบเขตการถล่มของหุบเขาน้ำแข็ง
กู้ชูหน่วนมองดูหุบเขาน้ำแข็งที่ถล่มจนราบอย่างเลื่อนลอย ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
ตั้งแต่ตอนที่เริ่มรู้จักเวินเส้าหยีความบริสุทธิ์มีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ ดูสูงศักดิ์สุดจะพรรณนา ความเกลียดชังโกรธแค้นของนางตอนที่รู้ว่าเขาเป็นศัตรูของเผ่าหยก จนถึงตลอดทางที่ได้ช่วยเหลือกันครั้งแล้วครั้งเล่าสะท้อนอยู่ในสมอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาได้พุ่งเข้าไปในหุบเขาน้ำแข็งด้วยความเด็ดเดี่ยว โดยไม่สนใจอันตราย สละชีวิตเข้าช่วย สุดท้ายก็ถูกหินน้ำแข็งถล่มลงมาทับตายจนตายทั้งเป็น
ในใจของกู้ชูหน่วนสับสนเป็นที่สุด
ไม่รู้ว่าความเกลียดแค้นที่มีต่อเวินเส้าหยีสลายไปเป็นความปวดใจอาลัยอาวรณ์เข้ามาแทนที่เวลาใด
หุบเขาน้ำแข็งอันสูงตระหง่านถล่มทลายลงโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีวิทยายุทธสูงเพียงใด ก็ไม่สามารถรอดชีวิตออกไปได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเวินเส้าหยีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นในตอนนั้นแล้ว
คิดจะเคลื่อนย้ายหินน้ำแข็งหนักๆออกเพื่อขุดหาเขาออกไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้จริง
ในจิตใจของเย่จิ่งหานก็ซับซ้อนเช่นกัน
เขาและเผ่าเทียนเฟิ่นไม่สามารถอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันได้ เวินเส้าหยีเป็นหัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่น หากบอกว่าเขามีใจต่อกู้ชูหน่วน สละชีวิตช่วยกู้ชูหน่วนก็สมเหตุสมผล แต่ทำไมต้องช่วยเขาด้วยล่ะ?
“ตูม……”
ภูเขาหิมะสูงตระหง่านค้ำฟ้าที่อยู่ในระยะไกลหลายลูกพังทลายลงพร้อมกันอย่างฉับพลัน สีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“หิมะถล่มแล้ว รีบไป”
ไม่จำเป็นต้องให้เย่จิ่งหานพูด กู้ชูหน่วนก็ลากเขาวิ่งโซซัดโซเซไปด้านหน้าแล้ว
ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่เช่นหิมะถล่มเบื้องหน้านี้ ทำให้เห็นได้ว่ามนุษย์ดูเล็กจิ๋วเป็นที่สุด
แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือระดับเจ็ด เผชิญหน้ากับหิมะถล่มก็ไร้กำลังจะต้านทานได้ เว้นแต่จะหนีด้วยความเร็วที่สุด
ภูเขาหิมะลูกแล้วลูกเล่าถล่มลงมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับที่นี่เป็นวันสิ้นโลกเช่นนั้น ภูเขาหิมะขนาดมหึมากำลังเทลาดลงมา ปกคลุมหุบเขาน้ำแข็งทั้งหมดไว้ และไหลลงมาอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่ไม่เปลี่ยนแปลง
กู้ชูหน่วนและเย่จิ่งหานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หกล้มและก็ลุกขึ้นมา ครั้งแล้วครั้งเล่า
บางทีสวรรค์อาจจะต้องการฆ่าพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งเร็วแค่ไหน ความเร็วของหิมะถล่มก็ยังคงเร็วกว่าพวกเขาอยู่ดี
ที่ทำให้คนกลัดกลุ้มใจยิ่งกว่าคือ ไม่เพียงภูเขาหิมะที่อยู่ข้างหลังพวกเขาถล่มเท่านั้น ภูเขาหิมะขนาดมหึมาลูกหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็ระเบิดตูมเสียงหนึ่งเช่นนั้น แล้วถล่มลงมาทั้งลูก
ตอนนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเดินหน้า หรือถอยหลัง ก็ไม่มีทางให้ถอยได้แล้ว
เย่จิ่งหานพลิกฝ่ามือกอดกู้ชูหน่วนไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่น “กลัวหรือ?”
กลัวหรือ?
แน่นอนว่ากลัว
แต่นางไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะตายอยู่ที่นี่
นางกลัวว่าก่อนที่นางจะตาย ก็ไม่สามารถรวบรวมมุกมังกรได้ครบเจ็ดเม็ดแก้คำสาปของเผ่าหยกได้
“มีข้าอยู่ แม้จะต้องตาย ก็จะไม่ให้เจ้าตายก่อน”
เนื่องจากสถานที่ที่พวกเขาอยู่เป็นเนิน
เย่จิ่งหานโอบกู้ชูหน่วน กระโดดพรวดทันที กลิ้งตรงลงเนินไปจากทางด้านขวาของพื้นหิมะ
เขารู้ แม้ว่าจะทำเช่นนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขา
“ตูม…..”
ความเร็วของหิมะถล่มเร็วกว่าที่พวกเขาคิดไว้
หิมะถล่มมาถึงเบื้องหน้าแล้ว พวกเขาไม่มีทางถอยแม้สักนิดแล้ว เย่จิ่งหานใช้ร่างกายของตัวเอง ปกป้องกู้ชูหน่วนไว้ด้านล่าง ปล่อยให้ภูเขาหิมะร่วงตกบนตัวของเขา
พยายามอย่างสุดกำลังก็ต้องการจะปกป้องกู้ชูหน่วนไว้โดยการใช้กำลังเฮือกสุดท้ายอันน้อยนิด
การกระทำของเย่จิ่งหานเป็นสัญชาตญาณอย่างสมบูรณ์ จิตใจของกู้ชูหน่วนรู้สึกอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูก
และนางก็รู้ว่าสิ่งที่เย่จิ่งหานทำนั้นไร้ความหมาย แต่การกระทำของเขาทำให้นางรู้สึกอบอุ่นมาก อบอุ่นเป็นพิเศษ
ความตาย ในเวลานี้ เหมือนว่าจะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นแล้ว
“กึก”เสียงหนึ่ง ไม่รู้ว่าหลังของกู้ชูหน่วนไปโดนอะไรเข้า ทั้งคนร่วงตกลงไปทันที
และเย่จิ่งหานที่หมอบอยู่บนตัวของนางก็ตกลงไปพร้อมกันด้วย
“อ้า……”
พริบตานั้นที่พวกเขาร่วงตกลงไป หิมะถล่มมาถึงเบื้องหน้า หิมะที่หนาและหนักนั่นบังทัศนวิสัยทั้งหมดของพวกเขา
“ปึง……”
ทั้งสองกระแทกลงที่พื้นอย่างหนัก แรงกระแทกอันมหาศาลทำให้พวกเขาหมดสติไปตรงนั้นทันที
จนขณะที่กู้ชูหน่วนฟื้นขึ้นมาด้วยความเลือนราง ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
นางลืมตาขึ้น ยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า อวัยวะภายในยังคงปั่นป่วนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ ร่างกายเจ็บปวดเหมือนจะพังทลายเช่นนั้น
แต่ละฉากก่อนหน้าที่จะหมดสติสะท้อนอยู่ในสมองของนาง นางเริ่มคลำหาด้วยความร้อนใจกระวนกระวาย “เย่จิ่งหาน……เย่จิ่งหาน…..ท่านอยู่ที่ไหน”
มือคลำโดนของเหลวเหนียวเหนอะอย่างหนึ่ง จิตใจของกู้ชูหน่วนมีความไม่สบายใจเพิ่มขึ้น
นางเอาตะบันไฟออกมาจากตัวบนด้วยความรีบร้อน
เพราะว่าอากาศหนาวเกินไป หรือว่าตะบันไฟได้รับความชื้น ผ่านไปนานนางก็ยังจุดตะบันไฟไม่ได้
กู้ชูหน่วนหยิบไข่มุกราตรีออกมาจากแหวนมิติด้วยความสั่นเทา จึงได้มีแสงไฟส่องสว่างเล็กน้อย
นี่คือถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำไม่ใหญ่ แต่ลึกมาก ไม่รู้ใช้ทำอะไร
ภูเขาหิมะที่ถล่มลงมาด้านบนศีรษะของนาง
ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ถล่มทลายลงมาบนภูเขาหิมะปะปนไปกับหุบเขาน้ำแข็ง และก้อนน้ำแข็งก็ติดอยู่ที่ปากถ้ำพอดี
หิมะถล่มจึงไม่สามารถกระแทกลงมาได้ตรงๆ
ข้างกายของนางคือเย่จิ่งหานที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติ
เย่จิ่งหานบาดเจ็บหนักมาก ลมหายใจอ่อนแรงเป็นที่สุด และด้านหลังก็มีเลือดไหลริน
ในสมองของกู้ชูหน่วนมีภาพหนึ่งผุดขึ้น ขณะที่พวกเขาร่วงตกลงมาในถ้ำหิมะ เย่จิ่งหานกลัวว่านางจะตกไปตาย จึงได้พลิกตัวและกอดนางไว้อีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ ที่ร่วงตกไปก่อนก็คือเย่จิ่งหาน แต่ไม่ใช่นาง
ที่ได้บาดเจ็บสาหัสก็คือเย่จิ่งหาน
สละชีวิตช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า ในนาทีนี้ กู้ชูหน่วนเบ้าตาแดงโดยสมบูรณ์
ในแหวนมิติมีสมุนไพรปรุงยาไม่มากแล้ว ทั้งหมดนั้นกู้ชูหน่วนใช้เพื่อรักษาเย่จิ่งหาน
เนื่องจากอาหารในแหวนมิติก็ถูกเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กินไปจนเกลี้ยงแล้ว แม้แต่เหล้าชั้นดีที่นางเก็บสะสมไว้ก็ถูกเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ดื่มจนไม่เหลือสักหยด เหลือเพียงผ้าห่มผืนหนึ่ง
กู้ชูหน่วนรีบคลุมผ้าห่มให้เย่จิ่งหาน
เย่จิ่งหานอยู่ในอาการหมดสติมาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเลย
วันที่สอง เย่จิ่งหานมีไข้สูง ฝันร้ายไม่หยุด กู้ชูหน่วนกอดเขาไว้แน่น ให้ความอบอุ่นแก่เขา ใช้อบอุ่น และใช้ยาเพื่อช่วยลดไข้ให้เขา
ในความเลือนราง นางได้ยินเย่จิ่งหานตะโกนอยู่ตลอดว่า “ท่านแม่……อย่า…..อย่าทำร้ายนาง……”
ท่านแม่?
ท่านแม่ของเย่จิ่งหานเป็นใคร?
เหมือนว่านางจะไม่รู้ และไม่เคยได้ยินเย่จิ่งหานเอ่ยถึงท่านแม่มาก่อน
วันที่สาม เย่จิ่งหานฟื้นขึ้นมาช้าๆ สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ
แต่กู้ชูหน่วนก็ดีใจ “ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ท่านหมดสติไปอย่างน้อยสามวันแล้ว”
“ที่นี่คือที่ไหน?”
เสียงของเย่จิ่งหานอ่อนแอ หากว่าไม่ตั้งใจฟัง ก็ฟังไม่ออกโดยสิ้นเชิง
“ด้วยบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ของท่าน พวกเราบุญมากดวงแข็ง ตกเข้ามาในถ้ำหิมะ ไม่ได้ถูกหิมะถล่มทับถม”
กู้ชูหน่วนมองไปที่ยอดภูเขาหิมะซึ่งไม่รู้ว่าลึกมากเพียงใดด้วยความจนปัญญา
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสกันหมด แม้จะไม่บาดเจ็บ ก็ไม่สามารถสั่นคลอนภูเขาหิมะได้
นางทำได้เพียงฝากความหวังสุดท้ายอันน้อยนิดไว้ที่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เฝ้าหวังว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะมาช่วยพวกนาง
แต่ทว่า…..
สามวันผ่านไป เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ได้ปรากฏตัว
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่างูน้อยเลอะเลือนตัวนั้นปลอดภัยอยู่หรือไม่
เย่จิ่งหานขมวดคิ้ว ถามทันที “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับว่าบาดเจ็บหรือไม่”
“บาดเจ็บเล็กน้อย ผ่านไปสองสามวันก็หาย กลับเป็นท่าน……”
บาดแผลสาหัสเช่นนี้ อยู่ในถ้ำหิมะรักษาไม่หายโดยสิ้นเชิง
“ที่นี่ไม่มีอะไรกิน หากท่านหิว ก็ดื่มน้ำเย็นสักหน่อย”
เดิมทีก็เย็นอยู่แล้ว ดื่มน้ำเย็นไปอีก ทั้งร่างกายกระทั่งลำไส้จะต้องเหมือนถูกแช่แข็งแน่
แต่พวกเขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ทำได้เพียงดื่มแล้ว
“ขอโทษนะ เป็นข้าที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าให้ดีได้”
กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะ “ข้ามีมือมีเท้า ยังจำเป็นต้องให้ท่านปกป้องอีกหรือ?”