อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 740 บังคับให้นางไปฆ่าคน
“พี่หน่วน ท่านเป็นอะไรไป ทำไมสีหน้าดูไม่ได้เช่นนั้น?”
ฮัวฉีหลัวดึงแขนเสื้อของกู้ชูหน่วนอย่างระมัดระวัง มักจะรู้สึกสีหน้าของนางผิดปกติ
“เป็นเพราะข้าไม่เชื่อฟัง ถือวิสาสะมาที่เผ่าหยกด้วยตัวเองเช่นนั้นหรือ? ครั้งนี้โทษข้าไม่ได้หรอก เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าหยกที่พาข้ามา หากไม่เชื่อ ก็ถามพี่ไป๋จิ่นได้ พี่ไป๋ท่านรีบบอกกับพี่หน่วนสิ ครั้งนี้ข้าไม่ได้ดื้อจะมาจริงๆ”
กู้ชูหน่วนลูบหัวน้อยๆของนาง ยิ้มเล็กน้อยให้นางวางใจ
“พี่หน่วนไม่โทษเจ้าหรอก เจ้าทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของตัวเองก็ได้ อยากไปเล่นที่ไหนก็ได้ตามใจ แต่…..นอกจากข้าแล้ว เจ้าก็ห้ามฟังคำพูดใครทั้งนั้น พวกเขาให้เจ้าทำอะไร พวกเจ้าก็ไม่ต้องทำ”
ดูเหมือนกู้ชูหน่วนจะคุยกับฮัวฉีหลัว แต่อันที่จริงดวงตาที่เฉียบคมทั้งคู่นั้นจ้องมองไปที่ไป๋จิ่นอยู่ตลอด
จิตใจของไป๋จิ่นสั่นไหวทันที เข้าใจอะไรบางอย่างรางๆแล้ว ทำมือเคารพแล้วกล่าว “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว นายหญิงวางใจได้ เผ่าน้ำแข็งภักดีเพียงท่าน นอกจากท่านแล้วก็จะไม่ฟังผู้ใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
“อืม……”
กู้ชูหน่วนพูดประโยคหนึ่งด้วยความกลัดกลุ้ม แล้วกลับไปหาผู้อาวุโสใหญ่
ฮัวฉีหลัวมองดูเงาหลังที่ไกลออกไปของนาง เอามือเข้าปากไปดูดพลางเอ่ยถามว่า “พี่ไป๋ ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าเงาหลังของพี่หน่วนดูหนักหน่วงมาก นางมีเรื่องอะไรในใจใช่หรือเปล่า?”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น…..เพราะเรื่องของมุกมังกรหรือเย่จิ่งหานล่ะมั้ง”
“จริงๆเลย ท่านว่าทำไมเย่จิ่งหานถึงได้กลายเป็นพี่ชายของพี่หน่วนซะได้นะ พี่หน่วนน่าสงสารจริงๆ และตอนนี้ก็หลอมรวมมุกมังกรไม่ได้อีก มิน่าล่ะพี่หน่วนถึงได้เสียใจขนาดนั้น ไม่งั้น พวกเราไปปลอบใจนางกันเถอะ”
“มีบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าปลอบใจก็จะสามารถแก้ไข ก็เหมือนกับคำสาปโลหิตของเผ่าหยก…..ฐานะที่นางเป็นหัวหน้า จึงต้องแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมด ไม่ว่าการหลอมรวมมุกมังกรจะต้องแลกด้วยอะไร นาง….ก็ทำได้เพียงแบกรับภาระไว้”
ดวงตาของไป๋จิ่นดูเหม่อลอยเล็กน้อย ชำเลืองมองเงาหลังที่ห่างไกลไปนานแล้ว ในตามีความเศร้าหมอง มีความทุกข์ใจ และมีความแน่วแน่
ฮัวฉีหลัวเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ จึงถือโอกาสไปเล่นกับอินเอ๋อร์
ในโถงยา ท่าทางของผู้อาวุโสใหญ่ยังเหมือนกับตอนที่กู้ชูหน่วนจากไปเช่นนั้น
กู้ชูหน่วนเปิดประตู เอ่ยปากพูดโดยตรง โดยขาดความเคารพต่อผู้อาวุโสใหญ่ไปเล็กน้อย “เปิดทางเข้าออกของเผ่าหยก ข้าต้องการให้พวกไป๋จิ่นออกไป”
“ทางเข้าออกของเผ่าหยกมีศิลามังกรหักอยู่ ปิดหนึ่งชิ้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนจึงจะเปิดออกได้ หลังจากที่ปิดสองชิ้น อย่างน้อยที่สุดต้องใช้เวลาหนึ่งปีจึงจะเปิดออกได้ หากว่าปิดสามชิ้น ทางเข้าออกของเผ่าหยกก็จะไม่มีทางเปิดได้อีกต่อไปชั่วนิรันดร์”
“ข้าให้ท่านเปิด”
“เปิดไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นระดับเจ็ดก็เปิดไม่ได้”
“เผ่าหยกมีหลายเส้นทางไม่ใช่หรือ? ทางเข้าออกอื่นล่ะ?”
“วางศิลามังกรหักไว้หมดแล้ว”
กู้ชูหน่วนหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง “ฉะนั้น ท่านได้เตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว จงใจบังคับให้ข้าทำให้ไป๋จิ่นอุทิศตัวบูชาใช่หรือไม่?”
ในดวงตาของผู้อาวุโสใหญ่มีแววความเจ็บปวดเศร้าเสียใจแวบผ่าน เขาอยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้แล้ว สุดท้ายก็ถอนใจ ก้มหน้าลง
“แม้ว่าท่านจะกักขังพวกนางไว้ที่นี่ ข้าก็จะไม่เสียสละชีวิตของพวกนาง”
“ปัง…..”
ผู้อาวุโสรองผลักประตูบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน แล้วพูดออกมามากมายก่ายกอง
“หัวหน้าเผ่า ข้าขออภัยเป็นอย่างมาก เมื่อครู่ข้ามาที่โถงยาเพื่อมาเยี่ยมผู้อาวุโสใหญ่ แต่เพราะโรคเก่ากำเริบสลบอยู่ในห้อง ภายหลังจึงได้ยินการสนทนาทั้งหมดของท่านโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว”
“เจ้ารอง…..” ผู้อาวุโสใหญ่โมโหทันที เคลื่อนไหวจนทำให้บาดแผลฉีก เจ็บปวดจนทำให้สูดหายใจด้วยความตกใจ
ผู้อาวุโสรองคุกเข่าลง กล่าวด้วยความเศร้ารันทด “เพื่อรวบรวมมุกมังกร ร้อยปีพันปีมานี้คนเผ่าหยกของเราเสียชีวิตอย่างต่อเนื่องกันมามากมายเพียงใด? แต่ทุกคนก็เต็มใจ เพียงแค่สามารถถอนคำสาปโลหิตได้ ครั้งนี้เพื่อช่วงชิงมุกมังกรเม็ดที่เจ็ด ลูกศิษย์ในเผ่าก็ล้มตายไปมากมาย ตอนนี้ก็ไม่ง่ายที่จะรวบรวมมาได้แต่กลับต้องล้มเลิก ข้าน้อยทำใจยอมรับไม่ได้”
“หากอี้เฉินเฟยและแม่นางไป๋จิ่นรู้ว่าการเสียสละของพวกเขาทั้งสองจะสามารถช่วยชีวิตประชาชนนับพันหมื่นของทั้งเผ่าหยกได้ พวกเขาจะต้องยินดีที่จะกระโดดลงไปในเตาหลอมยา วิงวอนให้หัวหน้าเผ่าได้โปรดเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญด้วยขอรับ”
กู้ชูหน่วนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ค้ำยันขอบหน้าต่างเอาไว้จึงสามารถฝืนร่างกายให้ยืนได้อย่างไร้เรี่ยวแรง
“ด้วยเหตุนี้ พวกท่านจึงบังคับให้ข้าไปฆ่าคนงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่บังคับให้ท่านฆ่าคน แต่ข้าน้อยจะไปขอร้องพวกเขาด้วยตัวเอง หลังจบเรื่อง……ข้าน้อยจะตัดคอตัวเองหน้าเตาหลอมยา ชดใช้ชีวิตให้พวกเขา วิงวอนให้หัวหน้าเผ่าได้โปรดเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญด้วยขอรับ”
ผู้อาวุโสรองกล่าวพลาง ก็โขกศีรษะอย่างรุนแรง โขกจนหน้าผากของตัวเองเลือดไหลแล้ว
เขาเป็นชายสูงอายุ เคราขาวผมขาว แต่กู้ชูหน่วนเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆในวัยไม่ถึงยี่สิบปีที่กำลังอุดมสมบูรณ์เท่านั้น
ชายชราคุกเข่าอ้อนวอนเด็กผู้หญิง จะมองอย่างไรก็ไม่เข้าท่า
แต่เหมือนกับผู้อาวุโสรองจะจับฟางเส้นสุดท้ายได้ ขอร้องวิงวอนไม่หยุด
ผู้อาวุโสใหญ่โมโหจนหายใจอย่างรุนแรงและจ้องมองตาเขม็ง “เจ้ารอง เจ้าลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ จะหลอมรวมมุกมังกรหรือไม่ หัวหน้าเผ่าจะตัดสินใจอย่างไรก็ให้ทำเช่นนั้น ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าก้าวก่ายหัวหน้าเผ่า”
“ผู้อาวุโสใหญ่ พวกเราสู้อย่างเอาเป็นเอาตายทุ่มเทไปมากมายขนาดนั้น ไม่ใช่เพื่อถอนคำสาปโลหิตหรอกหรือ ตอนนี้ความหวังอยู่เบื้องหน้า จะสามารถ……”
“ข้าเคยพูดไว้แล้ว ไม่อนุญาตให้พวกเจ้าทุกคนก้าวก่ายการตัดสินใจของหัวหน้าเผ่า หากว่ายังดึงดันต่อไป ข้าจะขับไล่เจ้าออกจากเผ่าหยกไปซะ”
“ผู้อาวุโสใหญ่……”
น่าขันกู้ชูหน่วนมองออกแล้ว มองออกว่าคนหนึ่งแสร้งเล่นเป็นคนดี คนหนึ่งแสร้งเล่นเป็นคนร้าย
“ข้ายังพูดเหมือนเดิม หากพวกท่านกล้าที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับพี่เฉินเฟยและไป๋จิ่น ก็อย่าโทษว่าข้าเปลี่ยนสีหน้า อย่าลืมว่านอกจากข้าที่สามารถหลอมรวมมุกมังกรได้ คนอื่นก็ไม่สามารถทำได้โดยสิ้นเชิง บังคับให้พวกเขาตาย ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่เป็นสุข”
“หัวหน้าเผ่า เสียสละคนสองคนเพื่อช่วยคนทั้งเผ่า พวกเขาก็เสียชีวิตอย่างมีเกียรติ”
“ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพรากชีวิตของพวกเขาไปได้”
กู้ชูหน่วนกล่าวเตือนอย่างไม่แยแส แล้วพุ่งออกไปนอกประตู ทิ้งผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองที่ทั้งร้อนใจและเจ็บปวดใจไว้
หลังจากที่พวกเขาทะเลาะกัน บรรยากาศของเผ่าหยกก็ดูน่าอึดอัด แม้แต่เหล่าประชาชนก็สังเกตได้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยปกตินัก
ผู้อาวุโสไป๋เฉ่าและคนอื่นก็ยิ่งรู้สึกประหลาดอย่างไม่สามารถอธิบายได้
หลังจากออกไปแล้ว กู้ชูหน่วนกวาดตามองดูซ้ายขวา ไม่เห็นจอมมารเจ้าลูกหมานั่น จึงถือโอกาสเดินไปที่กระท่อมของตัวเอง
เย่จิ่งหานถูกจัดให้อยู่ในกระท่อมของนาง ถูกกักบริเวณไว้โดยคุมด้านนอกสามชั้นด้านในสามชั้น
ที่คาดไม่ถึงก็คือ ไม่รู้ว่าเวินเส้าหยีถูกปล่อยลงมาจากแท่นทำโทษตั้งแต่เมื่อไหร่ และถูกขังไว้ในกระท่อมของนางเช่นกัน
เขาถูกล็อกด้วยโซ่น้ำแข็งหมื่นปี ปลายข้างหนึ่งเชื่อมติดกับขาขวาของเขา ปลายอีกข้างเชื่อมติดอยู่กับศิลามังกรหักแดนต้องห้าม
แดนต้องห้ามถัดจากกระท่อมขอนาง ในแต่ละยุคจะมีเพียงหัวหน้าเผ่าเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในแดนต้องห้ามมีอะไรอยู่กันแน่ รู้เพียงแค่ศิลามังกรหักมั่นคงไม่สั่นคลอน แรงภายนอกไม่สามารถสั่นสะเทือนได้โดยสิ้นเชิง
ทว่าทุกคนก็สามารถเดาได้คร่าวๆว่า แดนต้องห้ามนี้ก็น่าจะเป็นทางลับทางหนึ่งเช่นกัน หากว่ามีศัตรูที่แข็งแกร่งบุกเข้ามาจริงๆ วางศิลามังกรหักลง ก็สามารถหนีออกไปจากด้านในนี้ได้ นี่เป็นแดนต้องห้ามที่มีไว้เพื่อคุ้มกันหัวหน้าเผ่า
ก่อนหน้านี้กู้ชูหน่วนก็คิดเช่นนี้ ทั้งยังได้เข้าไปตรวจดูรอบหนึ่งแล้ว สุดท้ายพบว่าด้านในเป็นสถานที่ฝึกซ้อมวิทยายุทธ เดิมทีก็ไม่ได้มีทางเข้าออกลับอะไรทั้งนั้น
น่าจะเป็นเพราะบรรพบุรุษไม่อยากให้คนอื่นรบกวนการฝึกวิทยายุทธ จึงได้จัดวางศิลามังกรหักไว้
เวินเส้าหยีพิงกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง เลือดบนร่างกายของเขายังคงไหลรินย้อมเสื้อผ้าสีขาวเป็นสีแดง
บนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย แทบจะไม่มีที่ใดสมบูรณ์ แม้แต่หางตาที่เผยออกมาจากหน้ากากที่สวมใส่ไว้บนใบหน้าดั่งเทพเซียนมาจุตินั้นก็ถูกกรีดไปหลายมีด
บาดแผลลึกมาก เลือดยังรินไหลอยู่ และไม่รู้ว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือไม่