ไม่รอให้กู้ชูหน่วนพูดจา คนใช้ผู้หนึ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก กระซิบข้างหูกู้ชูหน่วนไม่กี่คำ กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว ความเย็นยะเยือกบนตัวแฉลบผ่าน
จิตใจของเวินเส้าหยีและเย่จิ่งหานตึงเครียดเล็กน้อย หรือว่าเผ่าหยกจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นอีกแล้ว?
กู้ชูหน่วนโบกมือ คนรับใช้เข้าใจและรีบถอยไปทันที
กู้ชูหน่วนชำเลืองมองเวินเส้าหยีและเย่จิ่งหานอย่างเย็นชา หัวเราะเยาะทีหนึ่งแล้วกล่าวอย่างเย็นชา “คิดบัญชีอะไร ระหว่างพวกเรามีบัญชีให้คิดตั้งมากมาย”
“พูดถึงเวินเส้าหยีก่อนละกัน เจ้าเข้ามาที่เผ่าหยกก็เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว คำสาปโลหิตของเผ่าหยกกำเริบเจ็บปวดทรมานมากขนาดไหน อีกทั้งพวกเหล่าประชาชนได้ใช้ชีวิตในนรกกันอย่างไร คิดว่าเจ้าก็น่าจะเห็นแล้วสินะ”
เวินเส้าหยีก้มศีรษะลง ตรงหางตาที่ดำสนิทดั่งหมึกมีแววความเห็นใจแวบผ่าน
เพียงแต่ความเห็นใจนี้ถูกเขากดไว้จนต่ำมาก ต่ำจนไม่มีใครมองเห็น
เผ่าหยกน่าสงสารจริงๆ ทั้งยังน่าสงสารกว่าที่เขาเคยคิดไว้พันเท่าหมื่นเท่า
เพียงแต่นางพูดสิ่งเหล่านี้กับเขาเพื่ออะไร?
เอาความเจ็บปวดทรมานทั้งหมดที่บรรพบุรุษของเผ่าเทียนเฟิ่นได้ก่อไว้บนตัวของพวกเขา เอาทั้งหมดนั่นมาคิดบัญชีกับเขางั้นหรือ?
“พันปีมานี้เผ่าเทียนเฟิ่นฉวยโอกาสที่เผ่าหยกมีคำสาปโลหิตติดตัว รีบเร่งสังหารเผ่าหยกให้สิ้นซาก จากเผ่าหยกที่เป็นเผ่าใหญ่มีอานุภาพเกรียงไกร เปลี่ยนไปจนตอนนี้ทำได้เพียงแค่กล้าหลบซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของม่านอาคม ใช้ชีวิตเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง”
“เพื่อต่อสู้แย่งชิงมุกมังกรเม็ดที่เจ็ด ยังปล่อยข่าวเรื่องมุกมังกรอยู่ในมือของพวกเราออกไปอีก ยุยงให้กองกำลังที่ยิ่งใหญ่แต่ละกองในโลกเข้ามาแย่งชิง ทำร้ายจนเผ่าหยกได้รับความสูญเสียอย่างน่าอนาถ”
“เจ้าพูดสิ่งเหล่านี้กับข้าเพื่ออะไร?” เวินเส้าหยีเหลือบตาขึ้น เอ่ยถามโดยตรง
กู้ชูหน่วนหัวเราะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง “เพื่ออะไร? หนี้ของพ่อลูกต้องชำระ เจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่น เจ้าว่าข้าอยากทำอะไร?”
“ดังนั้น……เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ?”
เสียงของเวินเส้าหยีแฝงด้วยความแหบพร่าเล็กน้อย ดวงตาอันอ่อนโยนทั้งคู่จ้องมองกู้ชูหน่วนติดๆ เหมือนอยากจะรู้ว่ากู้ชูหน่วนมีความคิดจะฆ่าจริงๆหรือไม่
ตอนนั้นที่เขาถูกล่ามโซ่ เป็นนางที่ส่งอินเอ๋อร์มาปกป้องเขา
วันนั้นที่หนองน้ำ ขณะที่เขามีอันตราย ก็เป็นนางที่พาเขาออกมาโดยสัญชาตญาณ
แม้ว่าพวกเขาจะมีความแค้นกันมายาวนานหลายชั่วอายุคน แต่ระหว่างพวกเขาทั้งสองก็ยังมีมิตรภาพต่อกันอยู่บ้าง
นางจะฆ่าเขาได้อย่างไร?
กู้ชูหน่วนยังคงไม่แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ เพียงแค่กล่าวช้าๆว่า “ข้าคือหัวหน้าเผ่าหยก เป็นธรรมดาที่จะต้องยืนพิจารณาในมุมมองของเผ่าหยก เจ้าอย่าโทษข้า หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่น”
ประโยคนี้เทียบเท่ากับการประกาศโทษประหารชีวิตของเวินเส้าหยี
ฝ่ามือของเวินเส้าหยีสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าไม่สู้ดีนัก
แต่ก็ยังฟังกู้ชูหน่วนกล่าวต่อไป “เจ้ามีสติปัญญาฉลาดปราดเปรียว พรสวรรค์ในการเรียนรู้วิทยายุทธก็สูงส่ง แม้ว่าตอนนี้จะร่วงลงไปอยู่ระดับหนึ่ง แต่เพียงแค่เจ้ายอมที่จะมานะบากบั่น ไม่ช้าไม่เร็ววันหนึ่ง ก็จะกลับมาสู่ระดับหกได้อีกครั้ง กระทั่งยังไปถึงระดับเจ็ดได้ ข้าไม่สามารถปล่อยความอันตรายที่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงเช่นนี้ต่อเผ่าหยกไว้ได้”
“ข้าทำได้เพียงแค่ทำลายวิทยายุทธของเจ้าซะก่อน แล้วกักขังเจ้าไว้ในเหวลึกอนันต์ของเผ่าหยกไปชั่วนิจนิรันดร์”
กู้ชูหน่วนเน้นย้ำคำว่าทำลายวิทยายุทธสี่คำนี้อย่างหนักแน่น
ได้ยินประโยคนี้ ไม่ว่าจะเป็นเวินเส้าหยีหรือเย่จิ่งหานก็ทั้งล้วนตกตะลึงแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ฝึกฝนศิลปะต่อสู้ก็คือวิทยายุทธ
ทำลายวิทยายุทธของเขา สู้ฆ่าเขาไปโดยตรงเลยยังจะดีซะกว่า
เดิมทีวิทยายุทธของเขาก็ร่วงลงมาอยู่ระดับหนึ่งแล้ว ก็เหมือนตายทั้งเป็นพอแล้ว หากว่าต้องทำลายวิทยายุทธอีก กลัวเพียงแค่เวินเส้าหยีเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
เวินเส้าหยียิ้มด้วยความขมขื่น “ในเมื่อเจ้ากลัวข้าเพียงนี้ ทำไมไม่ฆ่าข้าไปซะเลยล่ะ”
“นิสัยจิตใจของเจ้าไม่ได้เลวร้าย ทั้งยังเคยช่วยข้าหลายครั้ง ข้าจะตอบแทนบุญคุณด้วยการชำระแค้นได้ยังไง”
เวินเส้าหยียิ้มเป็นรอยยิ้มอันเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างทันที
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองกู้ชูหน่วน แววตาแฝงไปด้วยความหวังรำไร
“หากข้าไม่ใช่หัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่นล่ะ พวกเรายังจะเป็นเพื่อนกันได้หรือไม่?”
กู้ชูหน่วนเบือนหน้าหนี ไม่แม้แต่จะมองเวินเส้าหยี “น่าเสียดายที่เจ้าเกิดมาก็เป็นคนของเผ่าเทียนเฟิ่น และเป็นหัวหน้าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่นแล้ว”
เงียบ……
ในห้องขังเงียบงันอย่างน่าประหลาด เงียบจนสามารถได้ยินเสียงเลือดหยดในหัวใจของเวินเส้าหยีได้
กู้ชูหน่วนโบกมือ ผู้อาวุโสสองคนของเผ่าหยกเข้ามาทันที
“ดึงกระดูกสะบัก ทำลายวิทยายุทธของเขา”
“ขอรับ……”
ผู้อาวุโสแทบอยากจะหักกระดูกสะบักของเขาไปโดยสมบูรณ์ซะเดี๋ยวนี้ แล้วค่อยบดกระดูกของเวินเส้าหยีให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ทว่าเหมือนกับเย่จิ่งหานจะไม่รู้จักผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เลย
เขากล่าวเตือน “อาหน่วน เจ้ารู้หรือไม่ว่าการดึงกระดูกสะบักหมายความอย่างไร?”
“รู้สิ ชั่วชีวิตก็ไม่สามารถฝึกซ้อมวิทยายุทธได้อีก นับจากนี้ไปเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง”
คนธรรมดาอะไร เป็นคนไร้ประโยชน์สิไม่ว่า……
ทำลายวิทยายุทธเขาแบบธรรมดาง่ายๆ บางทีเขาอาจจะยังสามารถเริ่มฝึกซ้อมได้ใหม่
แต่ถ้ากระดูกสะบักถูกดึงหักแล้ว ทั้งชีวิตนี้ของเวินเส้าหยีก็ไม่มีทางจะฝึกวิทยายุทธได้อีกโดยสิ้นเชิง
นางพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่แยแส แต่กลับทำลายทั้งชีวิตของเวินเส้าหยีไปแล้ว
“ฆ่าคนก็เพียงแค่พยักหน้า เจ้าทำเช่นนี้โหดร้ายเกินไปหรือไม่?”
“ข้าโหดร้าย? เหอะ……เย่จิ่งหาน ท่านไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับเวินเส้าหยีหรือ? ทำไมถึงได้พูดแทนเขาเช่นนี้? ท่านลืมไปแล้วหรือว่าไม่กี่ปีมานี้เขาตามไล่ฆ่าท่านยังไง?”
“การฆ่าฟันกันบนสนามรบ บาดเจ็บล้มตายก็เป็นธรรมดาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สถานการณ์ไม่เหมือนกัน การโต้แย้งถกเถียงก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ อยู่บนสนามรบ ข้าสามารถฆ่าเขาได้อย่างเปิดเผย แต่จะไม่ใช้วิธีเช่นนี้มาดูหมิ่นเหยียดหยามคน”
“ท่านคือท่าน ข้าคือข้า ท่านสามารถที่จะไม่เอาความกับการกระทำทุกอย่างที่เผ่าเทียนเฟิ่นได้ทำกับท่านได้ แต่ข้าไม่มีทางอภัยให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เผ่าเทียนเฟิ่นกระทำต่อเผ่าหยกได้ ยังไม่ลงมืออีก”
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสทั้งสองจับเวินเส้าหยีไว้ทั้งซ้ายและขวา บังคับให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ยกมือขึ้นแล้วคิดจะหักกระดูกสะบักของเขาโดยไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย
เวินเส้าหยีมองตรงไปที่กู้ชูหน่วนอยู่ตลอด ราวกับกำลังรอให้นางเปลี่ยนใจ แต่ผู้หญิงตรงหน้า นอกจากไร้ความรู้สึกแล้วก็คือการไร้ความรู้สึก
นางไม่มีความรู้สึกสงสารแม้สักนิด เย็นชาเหมือนดั่งเป็นคนแปลกหน้า
ทุกสิ่งในอดีตสะท้อนก้องอยู่ในสมองของเขา จนท้ายที่สุดเวินเส้าหยีก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ากู้ชูหน่วนจะให้คนทำลายวิทยายุทธของเขาจริงๆ
ด้วยกระดูกสะบักที่ถูกหักไปทีละนิ้ว ความเจ็บปวดอย่างมหาศาลนี้ทำให้เขาต้องสูดหายใจด้วยความเจ็บปวดอย่างควบคุมไม่ได้ กระทั่งเปล่งเสียงร้องอย่างอัดอั้นออกมา
เจ็บปวด……
เจ็บปวดมาก…….
เหงื่อเย็นของเวินเส้าหยีหลั่งริน ไม่ง่ายกว่าเสื้อผ้าจะแห้งแล้วก็ถูกทำให้เปียกด้วยเหงื่อเย็นอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด เขาก็ไม่กะพริบตาสักนิด เพ่งมองสีหน้าท่าทางของกู้ชูหน่วนโดยตลอด
แต่สายตาของกู้ชูหน่วนมองออกไปทางอื่น จนสุดท้ายก็ไม่ได้เหลือบมองมาที่เขาสักแวบเดียว
ร่างกายจะเจ็บปวดแค่ไหน ก็เทียบกับความเจ็บปวดในหัวใจไม่ได้
เวินเส้าหยีหัวเราะเสียงดังด้วยความเปล่าเปลี่ยวใจ เมื่อผู้อาวุโสทั้งสองปล่อยมือ เขาก็ล้มลงที่พื้นด้วยความไร้เรี่ยวแรง
สูญสิ้นแล้ว…..
วิทยายุทธของเขาสูญสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว……
ไม่มีเหลือแม้แต่น้อย…..
ชาตินี้ชีวิตนี้ เขาก็ไม่มีโอกาสได้ฝึกวิทยายุทธอีกแล้ว……
เย่จิ่งหานหายใจเร็วขึ้น
เรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว เขายังคงคิดว่าอยู่ในความฝัน
ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งหานก็คิดไม่ถึงว่า กู้ชูหน่วนจะทำลายวิทยายุทธของเขาจริงๆ ทั้งยังกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เอาเขาไปขังที่เหวลึกอนันต์ ห้ามปล่อยออกมาอีกทั้งชีวิต”
“ขอรับ หัวหน้าเผ่า”
เวินเส้าหยีถูกลากออกไป
กระดูกสะบักที่หักมีเลือดไหลออกมา ทิ้งเป็นเลือดสีแดงสดไว้บนพื้น
ยอดฝีมือระดับหก วิทยายุทธลดลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายถูกทำลายวิทยายุทธจนหมดสิ้น
นี่ไม่พูดไม่ได้ว่าเป็นความเศร้าใจอย่างหนึ่ง