ฮัวฉีหลัวตกใจจนรีบเอาป้ายประกาศิตคืนให้กู้ชูหน่วน แทบอยากจะสะบัดตัวปัญหาที่เป็นดั่งมันร้อนลวกมือทิ้งไปซะ
“ท่านเอาป้ายประกาศิตให้ข้าทำไม ข้ายังเด็กอยู่ ไม่เข้าใจอะไรเลย จะค้ำจุนเผ่าน้ำแข็งได้อย่างไร”
“พี่หน่วนยังมีอีกหลายสิ่งที่จำเป็นต้องทำที่เผ่าหยก ไม่สามารถดูแลเผ่าน้ำแข็งได้ชั่วคราว อีกทั้งบรรดาพี่น้องของเผ่าน้ำแข็งก็เสียชีวิตไปมากมายขนาดนั้นอีก แม้กระทั่งทูตศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ก็ตายไปแล้วสามคน เหลือเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น หากว่าเจ้าไม่ค้ำจุนขึ้นมา แล้วผู้ใดจะสามารถค้ำจุนไว้ได้ล่ะ ที่เผ่าน้ำแข็งก็มีเจ้าเพียงผู้เดียวที่พี่หน่วนสามารถเชื่อใจได้”
“แต่ว่า…..แต่ว่าข้าไม่เข้าใจอะไรเลย ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในเผ่าน้ำแข็ง ข้าก็สนใจเพียงแค่กินดื่มเที่ยวเล่นเท่านั้น……”
“เดี๋ยวก็จะค่อยๆเข้าใจ เจ้าถือซะว่าเป็นการช่วยพี่หน่วนละกัน” กู้ชูหน่วนยัดป้ายประกาศิตไว้ในมือของนางอีกครั้ง
“เอ่อ…..งั้นก็ได้ ข้าจะช่วยท่านดูแลเผ่าน้ำแข็งชั่วคราว รอจนท่านกลับมา ท่านก็มาเป็นหัวหน้าเผ่าต่อ ถึงเวลานั้นข้าค่อยเอาป้ายประกาศิตคือให้ท่าน”
“ดี”
รอยยิ้มของกู้ชูหน่วนไม่ได้ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
นางก็อยากไปดูเผ่าน้ำแข็งเช่นกัน
น่าเสียดาย…..
เกรงว่านางคงจะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว
“จอมมารไปหาสุดยอดผู้อาวุโสแล้ว เจ้าก็ไปหาเขาเถอะ สุดยอดผู้อาวุโสจะส่งเจ้าออกไปจากเผ่าหยกอย่างปลอดภัย”
“ไปตอนนี้เลยหรือ?”
“อืม ไปตอนนี้เลย”
“แต่ข้าทำใจไปจากท่านไม่ได้ และเป็นห่วงท่านด้วย พี่หน่วน รอจนท่านทำธุระเสร็จสิ้นแล้ว ก็รีบมาหาข้าให้เร็วที่สุดได้หรือไม่?”
“ได้”
“เช่นนั้นข้ากลับไปที่เผ่าน้ำแข็งก่อน”
“ไปเถอะ จำไว้ ต้องปกป้องดูแลตัวเองให้ดี เอาความปลอดภัยของตัวเองเป็นสำคัญ”
ฮัวฉีหลัวเดินก้าวหนึ่งหันกลับมาสามครั้ง ปุ้ยปากน้อยๆรอให้กู้ชูหน่วนเรียกนางกลับไป
แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงกู้ชูหน่วนที่อมยิ้มมองส่งนางกลับไป
ฮัวฉีหลัวกัดฟันแล้วกัดฟันอีก ก็ยังคงตัดสินใจไปดูเผ่าน้ำแข็งแทนกู้ชูหน่วนก่อนแล้ว
หลังจากส่งฮัวฉีหลัวกลับไป กู้ชูหน่วนก็เหยียบเข้าไปในห้องศิลาอย่างเป็นทางการ
ห้องขังในห้องศิลา ขาขวาของเวินเส้าหยีและเย่จิ่งหานล้วนถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยโซ่หมื่นปีชั้นดี มีความหนาเท่าปากชาม ข้างหนึ่งเชื่อมต่อกับสิงโตตัวใหญ่มหึมาตัวหนึ่งในห้องศิลา
และเจี่ยงเสวียถูกขังอยู่ในห้องศิลาด้านข้างอีกห้องหนึ่ง
เท้าของเขาไม่ได้ถูกล่ามโซ่ แต่ประตูใหญ่ของห้องศิลาทำให้เขาไม่สามารถออกไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว
เสื้อผ้าสีขาวทั้งตัวของเวินเส้าหยีถูกย้อมเป็นสีแดงนานแล้ว บนตัวเป็นบาดแผลนับไม่ถ้วน มือขวาของเขาห้อยอยู่ครึ่งหนึ่ง คิดว่ากระดูกที่หักไปนั้นคงยังไม่ได้ต่อ
เขาสวมหน้ากากผีเสื้อ มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง ทว่าผิวพรรณบนใบหน้าที่เผยออกนั้นกลับซีดเผือดไร้สีเลือด รวมทั้งคนทั้งคนก็พิงอยู่ที่กำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง
เห็นนางปรากฏตัว จึงได้มีจิตวิญญาณขึ้นมา นั่งตัวตรง
แล้วมองดูเย่จิ่งหาน แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีบาดแผลภายนอกมากมายนัก แต่การบาดเจ็บภายในไม่ได้น้อยไปกว่าเวินเส้าหยีมากนัก
สีหน้าซีดขาวเหมือนกัน ไร้เรี่ยวแรงเหมือนกัน พิงอยู่ที่กำแพงเหมือนกัน เมื่อเห็นนางก็ดีดตัวตรงเหมือนกัน
ไม่ได้พบเจอกันเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง ดวงตาทั้งสองคู่ของกู้ชูหน่วนและเย่จิ่งหานผสานกัน ราวกับถูกกั้นขวางด้วยเทือกเขานับพันลูกสายน้ำนับหมื่นสาย ไม่เหมือนในอดีตที่เคยมองกันอีกแล้ว ที่ถ้าหากไม่ทะเลาะกันจนวุ่นวาย ก็รักกันด้วยความรักใคร่อันเร่าร้อน
สีหน้าของเย่จิ่งหานซีดเซียว
กู้ชูหน่วนก็ดูซีดเซียวยิ่งกว่า
บนแขนของนาง บนขา กระทั่งบนตัวของนางล้วนพันด้วยผ้าพันแผลไว้หนาๆ ก็ไม่รู้ว่าเฉือนไปกี่มีด เลือดไหลไปมากน้อยเพียงใด
ผู้ชายสองคนผู้หญิงหนึ่งคนยืนอยู่ด้วยกัน คนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าเป็นแหล่งชุมนุมของประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ
“เจ้า…..เจ้ายังสบายดีหรือไม่?”
มุมปากของเย่จิ่งหานแห้งผาก เอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
สวรรค์รู้ว่าเขาปวดใจมากเพียงใด ขณะที่ได้เห็นบาดแผลเหล่านั้นบนตัวของนาง
กู้ชูหน่วนกล่าวเบาๆ “ก็ดี”
น้ำเสียงที่นิ่งเรียบอีกทั้งไม่แยแสเช่นนี้ ทำให้เย่จิ่งหานงงงันอย่างฉับพลัน
กู้ชูหน่วนไม่สนว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจบ้าง ให้คนเอาเก้าอี้มาตัวหนึ่ง นั่งอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา
“บัญชีของพวกเราสามคนควรจะคิดกันได้แล้วหรือไม่”
“คิดบัญชี? คิดบัญชีอะไร?”