อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม – บทที่ 787 ไร้ประโยชน์แล้ว

บทที่ 787 ไร้ประโยชน์แล้ว

เหวลึกมืดมาก กู้ชูหน่วนจุดตะบันไฟ ใช้แสงสว่างของตะบันไฟเดินไปด้านหน้าตลอดทาง

ข้างหูในทุกๆที่ล้วนได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูร

และอีกหลายตัวก็ยังเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนอีกด้วย แต่ไม่รู้ทำไม สัตว์อสูรเหล่านี้ถึงไม่ได้โจมตีนาง

ตอนที่เห็นนางจากระยะไกล ทีแรกก็อยากจะฉีกนาง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในตัวของนางมีเลือดของเผ่าหยกไหลเวียนอยู่หรือไม่ สัตว์อสูรเพียงแค่ดม แล้วก็รวมกลุ่มกันเดินจากไป

ตลอดทางที่ผ่าน มีซากศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีบางศพถูกทิ้งไว้ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว มีบางศพถูกทิ้งไว้ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา เห็นแล้วน่าสยดสยอง

และไม่รู้ว่าในห้องขังนี้มีคนตายไปมากน้อยเพียงใดแล้วกันแน่

ในที่สุดนางก็ได้เห็นเวินเส้าหยีตรงสุดเส้นทาง

สีหน้าของกู้ชูหน่วนเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก นั่นเป็นสถานการณ์เช่นไร

สัตว์อสูรไม่กี่ตัวกำลังฉีดกัดเวินเส้าหยีอย่างต่อเนื่อง กัดจนเลือดสดบนร่างกายของเขาไหลริน

บนตัวของเขามีเลือดเนื้อหลายที่ที่ถูกกัดออกมาเป็นชิ้นๆ ดูแล้วทำให้คนโกรธจนตาแทบจนถลน

กู้ชูหน่วนโกรธจัด ทันทีที่ชัดกระบี่ออกมาก็เปลี่ยนเป็นดาบบุปผาสองสามดอก กวาดไปทางสัตว์อสูรเหล่านั้น

ทีแรกสัตว์อสูรคิดอยากจะสู้กลับ แต่เมื่อเห็นนางก็ถอยไปทีละตัว สุดท้ายก็วิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง

“เวินเส้าหยี…..เจ้าฟื้นสิ….”

ไม่รู้ว่าเจ็บปวดเกินไปหรือไม่ หรือว่าเสียเลือดมากเกินไป เวินเส้าหยีจึงหมดสติไปแล้ว

มืออันสั่นเทาของกู้ชูหน่วนช่วยเขาห้ามเลือดไว้

นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง นางจะทำร้ายเวินเส้าหยีจนน่าอนาถได้เพียงนี้

ผู้อาวุโสหกเพิ่งจะจัดการค่ายกลสังหารเสร็จสิ้น วิ่งหอบเข้ามาไม่หยุด พูดพล่ามตลอดทาง

“ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แทบจะเอาชีวิตแก่ๆนี่พ่วงเข้าไปด้วย ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนจัดตั้งค่ายกลสังหารเหล่านั้น ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว หากว่าข้าไม่เคยเรียนรู้เคล็ดวิชาการฝึกฝนค่ายกลมาบ้าง วันนี้เจ้าก็ไม่ได้เห็นข้าแล้ว เอ๊ะ……ทำไมเจ้าหมานั่นถึงได้บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ คงไม่ได้ถูกสัตว์อสูรกินไปแล้วหรอกนะ”

“ท่านไม่ได้บอกว่าใต้เหวลึกอนันต์นี้เป็นห้องศิลาคุมขังเป็นห้องๆ และไม่ได้มีอันตรายอะไรหรอกหรือ?”

ทำไมถึงได้มีสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้มาฉีกกัดเขาได้?

หากว่านางมาช้าไปอีกหน่อย เวินเส้าหยีก็ถูกกลืนกินเข้าท้องไปโดยตรงแล้วใช่หรือไม่?

ผู้อาวุโสหกรู้สึกน้อยใจเป็นที่สุด

“ใช่แล้ว แม้ว่าเหวลึกอนันต์จะน่ากลัว แต่การคุมขังคน ทุกคนที่ถูกคุมขังล้วนถูกขังเพียงลำพังในห้องศิลา ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้เป็นข้อยกเว้น”

“……”

จิตใจของกู้ชูหน่วนกำลังมีเลือดออก

พันบาดแผลของเวินเส้าหยีได้แล้ว แต่ชิ้นเลือดเนื้อมากมายบนร่างหายของเขาที่ถูกกัดออกมา เขาจะต้องเจ็บปวดมากเพียงใด และจะต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะสามารถงอกออกมาใหม่ได้

ถึงกระทั่ง….

เลือดเนื้อเหล่านั้นอาจจะไม่สามารถงอกกลับออกมาได้อีกแล้ว…..

ฉีกเสื้อที่เป็นเลือดของเขาออก นางเริ่มดูกระดูกสะบักของเวินเส้าหยี

กระดูกสะบักของเขาผู้อาวุโสหกออมมือแล้ว ไม่ได้ดึงหักทั้งหมด เหลือโอกาสเล็กน้อยให้สามารถต่อกระดูกและฝึกซ้อมวิทยายุทธได้ใหม่อีกครั้ง

แต่ว่า……

ด้วยการฉีกกัดของสัตว์อสูร กระดูกสะบักของเขาก็ถูกกระชากหักไปโดยสมบูรณ์แล้ว

เวินเส้าหยี……

กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ผู้หนึ่งไปจริงๆแล้ว

กระดูกสะบักหักจนหมดสิ้น ทั้งชีวิตนี้ของเขาไม่มีความเป็นไปได้ใดที่จะสามารถฟื้นฟูวิทยายุทธได้อีกแล้ว……

สีหน้าของผู้อาวุโสหกไม่น่าดูขึ้นมาในพริบตา

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าข้าออมมือแล้ว…..อาหน่วน ข้าไม่รู้จริงๆว่าเบื้องล่างของเหวลึกอนันต์จะมีสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้ หากข้ารู้ ตีให้ตายข้าก็ไม่แนะนำให้เจ้าเอาเจ้าหมานี่มาขังที่นี่”

“เหวลึกอนันต์ไม่มีสัตว์อสูรจริงๆ มีเพียง……ชั้นล่างสุดเท่านั้น”

และชั้นล่างสุด ก็มีไว้คุมขังคนของเผ่าเทียนเฟิ่นโดยเฉพาะ

ผู้อาวุโสหกมองดูโครงกระดูกที่อยู่ทั่วทุกหนแห่ง

โครงกระดูกเหล่านี้บางโครงยังมีเสื้อผ้าที่สามารถเห็นได้ชัดเจน เสื้อผ้าบนร่างศพทุกศพล้วนเป็นแบบของเผ่าเทียนเฟิ่น

และท่าทางการตายของพวกเขา ส่วนใหญ่ก็เพราะถูกฉีกกัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายมือแขนขาและร่างกายก็ถูกกระชากขาดและตายทั้งเป็น

ความสำนึกผิดและความรู้สึกผิดชนิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของผู้อาวุโสหก

เขากระวนกระวายเล็กน้อยแล้ว

“อาหน่วน……ขอโทษ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะเป็นเช่นนี้…….หากเจ้าอยากจะดุด่าข้าด่าเถอะ ข้าสมควรโดนด่า”

กู้ชูหน่วนพยุงเวินเส้าหยีขึ้น แบกเขาไว้บนหลัง เรียกเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์มา บรรทุกพวกเขาขึ้นไป

บนใบหน้าของนางเย็นยะเยือก ความอบอุ่นสักนิดก็ไม่มี

ยิ่งไม่ได้ไปด่าผู้อาวุโสหกด้วย

เพราะด่าก็ไปก็ไร้ประโยชน์ กระดูกสะบักของเวินเส้าหยีก็ไม่สามารถงอกกลับมาได้

หากว่าจะด่าจริงๆ ก็ทำได้เพียงด่าตัวเองเท่านั้น

อย่างไรซะก็เป็นนางที่ออกคำสั่ง

นางสิถึงจะเป็นตัวการหลักในการทำผิด

ผู้อาวุโสหกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตามขึ้นหลังของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไป อาศัยให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไต่ขึ้นไปบนยอดเหว

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์บ่นว่าด่าทอด้วยความไม่พอใจ

“นายหญิงท่านร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆแล้ว ไม่ให้ข้ากินของอร่อยไม่ว่า มีอันตรายอะไรก็ให้ข้ามาขวางไว้ ตอนนี้ยังให้ข้าเป็นพาหนะอีก”

“ที่สำคัญที่สุดคือ ท่านไม่ถามสักนิดว่าเมื่อครู่ต่อสู้กับเจ้างูตัวน้อยนั่นข้าบาดเจ็บหรือไม่ เสียเปรียบหรือไม่ และสุดท้ายใครเป็นผู้ชนะ”

ถึงแม้ว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะบ่นพร่ำไม่หยุด แต่ความเร็วก็เร็วมาก พริบตาเดียวก็ไปถึงยอดเหวแล้ว

มันยังอยากจะบ่นพร่ำต่อไปอีก

ประโยคต่อไปของกู้ชูหน่วนทำให้มันตะลึงไปแล้ว

“นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าไม่ใช้สัตว์เลี้ยงของข้า ข้าก็ไม่ใช่นายหญิงของเจ้าอีกต่อไป”

“น…นายหญิง…..เมื่อครู่ท่านพูดอะไร?”

“ต่อจากนี้ไปเจ้าไม่ต้องติดตามข้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว”

“นายหญิง ท่านคงไม่ได้พูดเป็นเล่นใช่หรือไม่?”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์โยกหัวอันใหญ่โตมองซ้ายมองขวา สีหน้าของกู้ชูหน่วนนิ่งเฉย ในดวงตาไม่มีความอยากไร้ความปรารถนา แม้แต่อารมณ์สักนิดก็ไม่มี กระทั่งดูไม่เหมือนว่ากำลังล้อเล่น

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เกิดความลนลานในพริบตาแล้ว

“นายหญิง ข้าผิดไปแล้ว หลังจากนี้ข้าจะไม่บ่นจู้จี้ ไม่โอดครวญแล้ว ท่านอย่าไล่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไปเลยได้หรือไม่”

“ท่านเลี้ยงเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์มาตั้งแต่เล็กจนโต ไปจากท่านแล้ว เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน”

“ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล เจ้าไปได้ตามใจชอบ”

กู้ชูหน่วนแบกเวินเส้าหยีเดินไปด้านหน้า
บนขาของนางโดนตัวเองกรีดไปหลายมีดเพื่อปล่อยเลือด ทุกก้าวที่เดินเจ็บปวดแสนสาหัส บาดแผลบางแผลก็ปริออกแล้วด้วย เลือดสดไหลรินลงมาจากส่วนขาของนางไม่หลุด สุดท้ายก็หยดลงบนพื้น

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะจากไปได้อย่างไร เหมือนว่ามันไร้ยางอายเช่นนั้นเปลี่ยนเป็นตัวเล็กลงแล้วพันขึ้นไปที่ข้อมือของนางใหม่อีกครั้ง

แต่คิดไม่ถึงว่า มันเพิ่งจะพันขึ้นไป กู้ชูหน่วนก็โยนมันทิ้งแล้ว มันเกือบจะถูกกระแทกจนตาย

แล้วมันก็พันขึ้นไปใหม่อีกครั้ง กู้ชูหน่วนก็ทิ้งมันอีก ไปๆมาๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“นายหญิง เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์รู้ว่าผิดไปแล้ว หลังจากนี้จะไม่ยั่วโมโหท่านอีก ท่านอย่าเมินเฉยกับข้าได้หรือไม่”

“อย่างมาก…….หลังจากนี้ข้าจะไม่รบเร้าให้ท่านย่างเนื้อแล้ว และจะไม่ขี้เซาอีก ข้าจะเป็นลูกงูที่มีคุณภาพ เพียงแค่ท่านเรียก ข้าจะออกมาทันที”

“นายหญิง ขอร้องท่านล่ะนะ อย่าทอดทิ้งข้า หากว่าท่านไม่ต้องการเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์แล้ว เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็จะเสียใจมาก”

ผู้อาวุโสหกฟังคำพูดของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่รู้เรื่อง เห็นเพียงแค่มันร้องฟ่อฟ่อฟ่อด้วยความน้อยใจและประจบประแจงอยู่ไม่หยุด….

แต่กู้ชูหน่วนกลับฟังออก

นางก็อยากให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยู่ต่อ

เพียงแต่นางจำเป็นต้องหลอมรวมมุกมังกร นางไม่สามารถทำให้คนมากมายขนาดนั้นต้องตายไปโดยเปล่าได้

ดังนั้น…..

นางไม่มีหนทางที่จะอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ได้อีกต่อไป

“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เด็กดี เจ้าไปหาเจ้านายคนใหม่เถอะ ข้าไม่ได้มีความรังเกียจเจ้า เพียงแต่ข้าไม่อยากเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแล้ว”

“นอกจากนายหญิง ข้าไม่เอาใครทั้งนั้น หากว่านายหญิงไม่อยากเห็นข้า ต่อจากนี้ไปข้าติดตามท่านอยู่ไกลๆก็ได้ จะไม่รบกวนท่านเด็ดขาด”

ท่าทีของกู้ชูหน่วนเปลี่ยนไปทันที กล่าวอย่างเฉียบขาด “ไป ไปไกลได้มากเท่าไหร่ก็ไปให้ไกลเท่านั้น หากว่าตามข้าอีก ระวังข้าจะย่างเจ้ากิน”

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

Status: Ongoing

กู้ชูหน่วน เดิมทีเป็นอัจริยะแพทย์สาวยุคปัจจุบัน การข้ามภพหนึ่ง พาเธอย้อนเวลาไปที่ยุคโบราณที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม สิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงก็คือ เพิ่งจะมาถึงสถานที่แปลกหูแปลกตานี้แท้ๆ เธอก็ต้องเสียตัวให้กับชายแปลกหน้าอย่างไม่มีทางเลือก หลังจากมีการพัวพันซึ่งกันและกัน เดิมทีกู้ชูหน่วนคิดว่าแต่นี้ต่อไป ต่างคนต่างไป จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก สุดท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เย่จิ่งหานกลับคอยตอแยเธอไม่เลิก โชคชะตาฟ้าลิขิต เธอค่อยๆครอบครองใจของเย่จิ่งหานไปเรื่อยๆ จนทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์แห่งความรัก อย่างโงหัวไม่ขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท