ผู้อาวุโสโหลวและคนอื่นๆตกตะลึง
กระดูกสะบักของเวินเส้าหยีถูกดึง ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวแล้ว
แต่คำพูดเช่นนี้ของเขากลับมีพลังทำลายล้างแข็งแกร่งมาก
หากว่าเผยแพร่ออกไป แล้วเขาจะอยู่ในเผ่าเทียนเฟิ่นได้อย่างไรอีก
ผู้อาวุโสโหลวรีบกล่าว “หัวหน้าเผ่าน้อยอย่าได้พูดจาเหลวไหล ข้าจะก่อกบฏได้อย่างไร และจะกล้าก่อกบฏได้เช่นไร”
“ใช่หรือ เช่นนั้นทำไมท่านถึงได้ละเลยต่อกฎบัญญัติของหัวหน้าเผ่า สังหารคนในเผ่าเป็นการส่วนตัว? นี่ไม่ได้เป็นการขัดขืนต่อกฎของเผ่า ขัดขืนต่อคำสั่งของเผ่าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้นหรือ?”
“ข้า……”
ตำหนักเฉินอวี่มีคนมุงล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ
เผชิญหน้ากับคำพูดที่กดดันของเวินเส้าหยี ผู้อาวุโสโหลวก็ไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร ทำได้เพียงพูดว่า
“อย่างไรสวีชิงก็เป็นผู้นำในการก่อเรื่องนี้ โทษตายไม่อาจเลี่ยงได้ โทษเป็นก็หลบไม่พ้น โบยอย่างหนักร้อยครั้งไปก่อน แล้วค่อยพาไปรับการไต่สวนที่ห้องโถงพิจารณาคดี”
“ผู้อาวุโสโหลว ข้าเกรงว่าท่านคงจะลืมอีกแล้ว ท่านเป็นเพียงผู้อาวุโสระดับเจ็ดผู้น้อยเท่านั้น ตามกฎของเผ่าเทียนเฟิ่น มีเพียงผู้อาวุโสระดับห้าขึ้นไป ถึงกระทั่งสุดยอดผู้อาวุโสจึงจะสามารถลงโทษศิษย์ในเผ่าได้โดยตรง หรือท่านคิดอยากเกินเลยอีกเช่นนั้นหรือ? หรือว่าที่ท่านพูดว่าไม่กล้าแย่งชิงบัลลังก์เมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่คำโกหก?”
“บังอาจ ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสของห้องโถงพิจารณาคดี ท่านกล้าพูดเช่นนั้นกับข้าได้อย่างไร”
“ท่านสิบังอาจ ข้าเป็นหัวหน้าเผ่าน้อย ไม่ว่าจะด้วยฐานะตำแหน่งก็อยู่ห่างไกลและท่านก็ไม่อาจจะเทียบได้ ท่านพบข้าไม่เพียงไม่ทำความเคารพ ยังกล้าหยาบคายกับข้าอีก นี่ท่านจะบังคับให้ข้าต้องปลดตำแหน่งผู้อาวุโสระดับเจ็ดของท่านใช่หรือไม่?”
ใบหน้าอันเย็นชาของผู้อาวุโสโหลวแตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว
ตั้งแต่เวินเส้าหยีกลับมาจากเผ่าหยก เขาเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจา ไม่สนใจกิจการใดในเผ่ามาโดยตลอด ไม่ว่าลูกศิษย์ในเผ่าจะรังแกเขาอย่างไร เขาก็ไม่ตอบกลับ ไม่โต้แย้ง ปล่อยให้รังแก
วันนี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ?
คิดไม่ถึงว่าจะตอกกลับเขาทุกอย่าง
บังเอิญที่ตอนนี้เขายังเป็นหัวหน้าเผ่าน้อย เพียงแค่เขาอยากจะปลด ตำแหน่งผู้อาวุโสเจ็ดของเขาก็มีความเป็นไปได้มากที่จะรักษาไว้ไม่ได้
ในใจของผู้อาวุโสโหลวมีความหวาดกลัว
แม้ว่าเวินเส้าหยีจะถูกดึงกระดูกสะบัก รองหัวหน้าเผ่าก็แอบสั่งการเป็นการลับ ให้คนในเผ่าเหยียดหยามเวินเส้าหยี
แต่……
ในเผ่ายังมีสุดยอดผู้อาวุโสอีกหลายท่านที่ยืนอยู่ฝั่งเวินเส้าหยี
หากว่าถูกข่มเหงจนร้อนใจแล้ว ยั่วยุให้สุดยอดผู้อาวุโสไม่กี่ท่านนั้นเดือดดาล หรือว่ากดดันให้หัวหน้าเผ่าออกจากการเข้าฌานล่วงหน้า เช่นนั้น…..
วันดีๆของเขาก็สิ้นสุดแล้ว
ผู้อาวุโสโหลวกลัว
แต่ หยางเสียวโก่วกลับไม่กลัว
เพราะว่าในเผ่าเทียนเฟิ่นมีข่าวลือแพร่สะพัดว่า การนิพพานของหัวหน้าเผ่าล้มเหลว มีความเป็นไปได้มากที่จะเสียชีวิตอยู่ในห้องต้องห้ามแล้ว มิฉะนั้นยอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับหกของเผ่าห้าคน สุดยอดผู้อาวุโสสี่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว หัวหน้าเผ่ายังจะไร้การเคลื่อนไหวได้อย่างไร และยังไม่ออกจากฌานอีก
หยางเสียวโก่วกล่าวว่า “ถุย คนไร้ประโยชน์ที่ถูกดึงกระดูกสะบักไปแล้วผู้หนึ่ง เจ้ายังคิดว่าเจ้ายังเป็นผู้ที่เคยอยู่อย่างสูงส่ง มีความสามารถค้ำฟ้ายิ่งใหญ่อย่างไร้ขอบเขตอีกจริงๆหรือ? เวินเส้าหยี ข้าจะบอกเจ้า ตอนนี้ตำแหน่งเจ้าที่อยู่ในเผ่า เทียบไม่ได้แม้แต่สุนัขตัวหนึ่ง เผ่าเทียนเฟิ่นรังเกียจเหยียดหยามคนที่มีวิทยายุทธต่ำต้อยเป็นที่สุด และเจ้า ตอนนี้เกรงว่าเจ้าก็คงจะเป็นได้เพียงทาสรับใช้ชั้นต่ำที่สุดผู้หนึ่งในเผ่าเทียนเฟิ่นเท่านั้น อ๋อไม่ เพราะสุนัขชั้นต่ำที่สุด เจ้าก็สู้ไม่ได้ เจ้ายังมีหน้ามาพูดพร่ำอยู่ตรงนี้อีก”
“หยางเสียวโก่ว เจ้าบังอาจ หัวหน้าเผ่าน้อย หยางเสียวโก่วบังอาจพูดจาสามหาวกับท่าน ข้าน้อยขอให้รีบประหารเขาทันทีขอรับ” สวีชิงทำมือเคารพแล้วกล่าว
ไม่เพียงแค่สวีชิง รวมไปถึงลูกน้องของสวีชิงด้วย แต่ละคนมีความแค้นเคืองใจอยู่เต็มอก
หลายวันที่ผ่านมานี้ นินทากันลับหลังเขาก็ไม่ว่ากัน
แต่ตอนนี้กลับพูดคำเหล่านี้ต่อหน้าหัวหน้าเผ่าน้อย
นี่ไม่ใช่การจงใจทำให้หัวหน้าเผ่าน้อยอับอายหรือ?
หากเป็นไปได้ ใครจะยอมให้ดึงกระดูกสะบักกัน
ขนตาที่งอนลงของเขากระดิกเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
สีหน้าของเวินเส้าหยีนิ่งสงบ อบอุ่นอ่อนโยนเหมือนดังปกติ ราวกับว่าที่หยางเสียวโก่วพูดนั่นไม่ใช่เขา
เพียงแต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่รอยยิ้มจางๆที่มักจะแขวนอยู่ตรงมุมปากของเขา ได้หายสาบสูญไปพร้อมกับกระดูกสะบักของเขาที่ถูกดึงไปก่อนหน้านี้