อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม – บทที่ 850 จะตายก็ตายด้วยกัน

บทที่ 850 จะตายก็ตายด้วยกัน

“บอกจุดประสงค์หรือเงื่อนไขของท่านมาเถอะ” เวินเส้าหยีสวมชุดสีขาวทั้งตัว หลังตรงราวกับต้นสนและลำไม้ไผ่เช่นนั้น บนร่างเป็นความอบอุ่นอ่อนโยนเช่นเคย

เพียงแต่เสื้อผ้าสีขาวของเขาเปื้อนเลือดไปไม่น้อย และไม่รู้ว่าเป็นของเขาเอง หรือว่าของผู้อื่น

แววตาของเขาไม่ได้มีความอ่อนโยนความเมตตาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นความอ่อนโยนที่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก

เผชิญหน้ากับรองหัวหน้าเผ่าซือคง คำพูดที่เกินจำแม้สักคำเขาก็ไม่คิดจะพูด

รองหัวหน้าเผ่าซือคงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “สิ่งที่ข้าต้องการนั้นง่ายมาก บอกทางเข้าของเผ่าหยก มอบมุกมังกรทั้งเจ็ดเม็ดรวมทั้งหัวหน้าเผ่าออกมาซะ”

“เผ่าหยกมีทางเข้าหลายทาง ทางเข้าที่ข้าเข้าไปนั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว ตรงสถานที่ออกมานั้นที่สุดยอดผู้อาวุโสอั้นเฮยเผาพลังแห่งจิตวิญญาณส่งข้าออกมา ก็เข้าไปที่เผ่าหยกไม่ได้”

“มุกมังกรทั้งเจ็ดเม็ดยังอยู่ที่เผ่าหยก สำหรับอยู่ตรงไหนในเผ่าหยก ก็ต้องให้รองหัวหน้าเผ่าไปถามหัวหน้าเผ่าหยกเองแล้ว”

“ส่วนเงื่อนไขที่สาม ขออภัยข้าไม่สามารถยอมรับได้”

สุดยอดผู้อาวุโสตงหลิงกล่าว “นี่เจ้าพูดก็เหมือนกับไม่ได้พูด”

รองหัวหน้าเผ่าซือคงหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้ากับกู้ชูหน่วนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันขนาดนั้น ให้เจ้าไปขู่เข็ญเอามุกมังกรกับนาง หรือเอามุกมังกรทั้งเจ็ดมาจากตัวนาง ก็น่าจะไม่ยากสินะ”

เวินเส้าหยีหัวเราะเยาะทีหนึ่ง

มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกู้ชูหน่วน?

หากว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดี นางก็คงไม่จะสังหารคนสนิทและคนในเผ่าของเขาด้วยมือของตัวเอง

ยิ่งจะไม่ทำลายวิทยายุทธของเขา และดึกกระดูกสะบักของเขาให้หักไปหรอก

แค่คิดถึงกู้ชูหน่วน เพียงเวินเส้าหยีหายใจก็รู้สึกลำบากแล้ว

เวินเส้าหยีกล่าวอย่างเย็นชา “ทำไม่ได้”

“รองหัวหน้าเผ่า กับคนประเภทนี้ยังมีอะไรให้พูดอีก ฆ่าไปโดยตรงก็ได้แล้ว”

“เงื่อนไขสามข้อเจ้าทำไม่ได้แม้สักข้อเดียว เส้าหยีเอ๊ยเส้าหยี ทีแรกข้าคิดจะให้โอกาสเจ้าทำคุณความดีลบล้างความผิด แต่เจ้าก็ไม่ร่วมมือ เจ้าก็อย่าหาว่าข้าใจดำอำมหิตล่ะ อย่างไรเสียเจ้าก็แอบอ้างเป็นหัวหน้าเผ่าน้อยก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ทรยศหักหลังเผ่าเทียนเฟิ่น ให้คนมา คุมตัวเวินเส้าหยีไว้”

“ข้าตายแล้ว คนทั้งตำหนักเทียนตูก็จะต้องตายตามไปด้วย”

“เจ้าหมายความว่าอะไร?”

เวินเส้าหยีเงยหน้าขึ้นในทันที มุมปากเป็นรอยยิ้มอันเฉยเมย

“รองหัวหน้าเผ่าน่าจะรู้ว่าตำหนักเทียนตูเป็นสถานที่อะไรสินะ? ตำหนักเทียนตูเป็นสถานที่เซ่นไหว้ป้ายชื่อของอดีตหัวหน้าเผ่าในแต่ละสมัย และเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเผ่าเทียนเฟิ่น ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไม?”

สีหน้าของรองหัวหน้าเผ่าซือคงเคร่งขรึมทันที

รู้สึกได้โดยปริยายว่าในคำพูดของเวินเส้าหยีมีความนัย

เวินเส้าหยีกวาดมองไปทางทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ “เพราะที่นี่ก็คือสถานที่ที่หัวหน้าเผ่าและหัวหน้าเผ่าน้อยแต่ละสมัยในอดีตสิ้นชีพไปพร้อมกัน”

ห๊ะ……

ฝูงชนแตกตื่นแล้ว ผู้คนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา

เวินเส้าหยีไม่แยแสการวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขา กล่าวต่อทีละคำทีละประโยค “ในนี้มีค่ายกลสังหารชั้นยอดที่หัวหน้าเผ่าแต่ละสมัยในอดีตจัดวางและเสริมให้มั่นคงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากว่าเริ่มการทำงานของกลไก ทั้งตำหนักเทียนตูก็จะกลายเป็นผุยผงไปทั้งหมด คนสัตว์ก็ไม่เหลือ”

“เหลวไหล ข้ามีฐานะเป็นรองหัวหน้าเผ่า จะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร”

“รองหัวหน้าเผ่ายังไงซะก็เป็นเพียงแค่รองเท่านั้น ไม่ใช่ตัวจริงสักหน่อย ความลับที่ผ่านมาของแต่ละสมัยในอดีตของเผ่าเทียนเฟิ่น ยังมีอีกเยอะเชียวล่ะที่ท่านไม่รู้ วันนี้ข้ามีเพียงแค่เงื่อนไขเดียว ปล่อยทุกคนที่นี่ซะ แล้วข้าจะยอมให้ท่านลงโทษ ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ตายไปพร้อมกันซะเถอะ”

ซือคงไม่เชื่อ

ตงหลิงก็ไม่เชื่อ

พวกเขาคนหนึ่งเป็นรองหัวหน้าเผ่า คนหนึ่งเป็นสุดยอดผู้อาวุโส เป็นไปไม่ได้ที่เวินเส้าหยีรู้แล้วพวกเขากลับไม่รู้

เวินเส้าหยียกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอันโหดร้ายและจนปัญญา เห็นเพียงแค่เขาโบกมือ

เกิดการระเบิดดังขึ้นปังปังปังทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พระราชวังหลายแห่งถูกทำลายในพริบตา

ผู้คนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในพระราชวังไม่มีกี่แห่งนั้น ไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูกเพียงชิ้นเดียว

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก

หรือว่าในนี้จะมีค่ายกลสังหารชั้นยอดอยู่จริงงั้นหรือ?

แต่ว่าทิศตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ห่างจากที่นี่มากขนาดนั้น ทำไมถึงได้…..

“ลืมบอกรองหัวหน้าเผ่าไป นอกจากตำหนักเทียนตูแล้ว ทุกหนแห่งของเผ่าเทียนเฟิ่นที่ยิ่งใหญ่นี้ล้วนมีกลไกที่สามารถควบคุมได้ เพียงแค่เริ่มการทำงานของกลไก ก็ทำลายได้ในชั่วพริบตา หากว่าเริ่มการทำงานของกลไกทั้งหมด ทั้งเผ่าเทียนเฟิ่นนี้ก็จะหายสาบสูญไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์”

“เจ้าคุยโวไร้ยางอาย”

“ท่านสามารถลองได้เต็มที่”

เวินเส้าหยีปรบมือ ก็มีสถานที่อีกหลายแห่งพังถล่มดังสะเทือนเลื่อนลั่นอีกครั้ง จมลงสู่พื้นดินเป็นร้อยจั้ง กลายเป็นซากปรักหักพัง

ครั้งสองครั้งเป็นอุบัติเหตุ

แต่อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นหลายครั้งขนาดนั้นได้อย่างไร

จิตใจของผู้คนเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว มีบางคนถึงกับคิดที่จะรีบออกจากตำหนักเทียนตูไป อย่างไรเสียวิธีการตายไปพร้อมกันเช่นนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว

แต่ทว่าคำพูดอันเย็นชาของเวินเส้าหยีก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“แม้ว่าพวกเจ้าจะออกจากตำหนักเทียนตูไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะพวกเจ้าทุกคนล้วนถูกนาบประทับตราไว้หมดแล้ว เวทมนตร์ของเผ่าเทียนเฟิ่น พวกเจ้าคงจะรู้กระจ่างมากกว่าข้าสินะ”

ผู้อาวุโสหลินกล่าว “รองหัวหน้าเผ่า หากสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงจะทำอย่างไรล่ะ?”

“ค่ายกลสังหารชั้นยอดของขั้นสูงสุดระดับเจ็ดทำลายได้ไม่ง่าย ไม่รู้ว่าสุดยอดผู้อาวุโสและรองหัวหน้าเผ่าร่วมมือกันจะสามารถทำลายได้หรือไม่?”

สีหน้าของซือคงเปลี่ยนไปจนไม่น่าดู

ทำลาย?

ทำลายยังไง?

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่ายกลอยู่ที่ไหน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตาของค่ายกลเหล่านั้นแล้ว และจะไปทำลายได้อย่างไร?

“กรวยกรองน้ำหมดเวลาแล้ว”

“ฉึบ…..”

น่าหลันหลิงลั่วไม่ได้สนใจว่าพวกเขาพูดอะไร รู้เพียงแค่ถึงเวลากรวยกรองน้ำหนึ่ง เขาก็ฆ่าคนหนึ่ง

ท่าทางที่เย็นชาไร้ความปรานีนั่น กลับเหมือนดั่งว่าต้องการจะฆ่าทุกคนในเผ่าเทียนเฟิ่นให้หมดไปเช่นนั้น

เวินเส้าหยีมองดูศีรษะที่ยังคงกลิ้งอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง สองหมัดกำไว้แน่น น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นอีกหลายระดับ

“ความอดทนของข้ามีจำกัด ก่อนที่จะถึงเวลาของกรวยกรองน้ำครั้งต่อไป หากพวกท่านไม่ตัดสินใจ พวกเราก็ตายไปพร้อมกัน ตายไปด้วยกันตรงนี้ซะเถอะ”

“รองหัวหน้าเผ่า…..”

หลายคนล้วนวิตกกังวลแล้ว มีบางคนเกลี้ยกล่อมรองหัวหน้าเผ่าซือคง เพราะกลัวว่าเวินเส้าหยีจะทำทุกเรื่องออกมาได้

บางคนเกลี้ยกล่อมน่าหลันหลิงลั่ว อ้อนวอนให้น่าหลันหลิงลั่วหยุดฆ่าคนชั่วคราว

รองหัวหน้าเผ่าซือคงไม่ยอม

ไม่ง่ายที่จะได้สถานการณ์ดีๆเช่นนี้มาแล้วจะต้องพลาดไปโดยเปล่าประโยชน์เหรอ

สิ่งสำคัญที่เขาต้องการคือต้องการเอามุกมังกรทั้งเจ็ดและพลังอิทธิฤทธิ์ของหัวหน้าเผ่ามาโดยผ่านเวินเส้าหยี

แต่บังเอิญตอนนี้ยังไม่ได้สักอย่าง

ชั่งน้ำหนักสิ่งที่เวินเส้าหยีพูดแล้ว ซือคงก็ยังเลือกที่จะเชื่อ

อย่างไรเสียเวินเส้าหยีก็เป็นคนที่พูดความจริงมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยพูดเกินจริง และไม่เคยหลอกลวงผู้ใดมาก่อน

เขากัดฟัน “ได้ ข้ารับปากเจ้า ให้คนมา ปล่อยพวกเขาทั้งหมดไปซะ ปล่อยให้พวกเขาออกไป”

“รองหัวหน้าเผ่า นี่คงไม่ได้……”

“ให้เจ้าทำเจ้าก็ทำ”

คุมตัวเวินเส้าหยีไว้ก่อน คนที่เหลือก็แค่ทหารพิการเท่านั้น คิดจะฆ่าพวกเขายังไม่ง่ายอีกหรือ

“หัวหน้าเผ่าน้อย……” ซ่งอวี่พูดด้วยความกังวล

อยู่ต่อและรอไม่ได้ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย

“พวกเจ้าออกไปก่อน นี่เป็นคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดอะไรมาก”

เวินเส้าหยีส่งสายตาให้เขา ดูเหมือนซ่งอวี่จะเข้าใจอะไรบางอย่าง

เมื่อเขาโบกมือ ให้เหล่าพี่น้องในตำหนักและเหล่าลูกศิษย์ที่ถูกจับเป็นเชลยแยกย้ายออกไปด้วยความรวดเร็ว
ลูกน้องของรองหัวหน้าเผ่าซือคงก็ติดตามไปทันทีแล้ว

เวินเส้าหยีกล่าวเตือน “รองหัวหน้าเผ่า ข้าขอเตือนท่านว่ายังไงก็รอให้พวกเขาออกไปจากเผ่าเทียนเฟิ่นอย่างปลอดภัยซะก่อนแล้วค่อยว่ากัน ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ ก็เป็นธรรมดาที่จะเหลือคนควบคุมกลไกไว้”

“ปล่อยให้พวกเขาออกไป ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดขวาง”

“ขอรับ”

ซ่งอวี่และคนอื่นๆเพิ่งจะออกไปจากตำหนักเทียนตู ด้านนอกก็มีเสียงร้องอย่างน่าอนาถดังมาเป็นระยะ

ทุกคนต่างพากันมองไปทางด้านนอก

กลับเห็นคนของน่าหลันหลิงลั่วควงมีดขึ้น คนมากมายนับพันหมื่นพรั่งพรูเข้าไป เห็นคนก็ฆ่า บีบคั้นให้ซ่งอวี่และคนอื่นๆต้องถอยกลับมาที่ตำหนักเทียนตู

แต่เมื่อถอยกลับมาที่ตำหนักเทียนตูแล้ว ลูกน้องของน่าหลันหลิงลั่วก็ต่างพากันเข้าไป ขนาบโจมตีพวกเขาทั้งทางด้านหน้าและหลัง

เวินเส้าหยีเดือดดาล

รองหัวหน้าเผ่าซือคงก็เดือดดาลเช่นกัน

“เจ้าหุบเขาน้อยน่าหลัน นี่ท่านกำลังทำอะไร?”

“พวกเรามาครั้งนี้ ก็เพื่อช่วยหัวหน้าเผ่าออกมา หัวหน้าเผ่ายังโดนพวกเขาจับเป็นตัวประกันอยู่ จะปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร?”

ซือคงเตือน “ที่นี่มีค่ายกลสังหาร หากว่าทำไม่ดี ทุกคนก็จะต้องตายกันหมด”

“ตายก็ตายเถอะ ยังไงซะเวินเส้าหยีเองก็ต้องตายไปด้วยไม่ใช่เหรอ”

คนเสียสติ

น่าหลันหลิงลั่วก็คือคนเสียสติ

ตัวเองคิดจะตายไม่ว่า ยังจะลากคนไปอีกเป็นกลุ่ม

แม้ว่าซือคงจะไม่พอใจ เวลานี้ก็ไม่กล้าฉีกหน้าเขาตรงๆ ไม่ว่าอย่างไรคนที่น่าหลันหลิงลั่วนำมา ก็มากพอประมาณจริงๆ

หากต้องต่อกรกับเขาอีก เขาก็เสียหายหนักเกินไปแล้ว

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

Status: Ongoing

กู้ชูหน่วน เดิมทีเป็นอัจริยะแพทย์สาวยุคปัจจุบัน การข้ามภพหนึ่ง พาเธอย้อนเวลาไปที่ยุคโบราณที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม สิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงก็คือ เพิ่งจะมาถึงสถานที่แปลกหูแปลกตานี้แท้ๆ เธอก็ต้องเสียตัวให้กับชายแปลกหน้าอย่างไม่มีทางเลือก หลังจากมีการพัวพันซึ่งกันและกัน เดิมทีกู้ชูหน่วนคิดว่าแต่นี้ต่อไป ต่างคนต่างไป จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก สุดท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เย่จิ่งหานกลับคอยตอแยเธอไม่เลิก โชคชะตาฟ้าลิขิต เธอค่อยๆครอบครองใจของเย่จิ่งหานไปเรื่อยๆ จนทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์แห่งความรัก อย่างโงหัวไม่ขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท