“หัวหน้าเผ่า มีฝ่ายตรงข้ามมีคนมากเกินไป พวกเรามีจำนวนน้อยสู้ศัตรูที่มีมากกว่าไม่ได้ ขอให้หัวหน้าเผ่าและหัวหน้าเผ่าน้อยถอยออกไปจากตำหนักเทียนตูก่อนขอรับ”
เวินเฉิงเทียนจิตมารครอบงำใบหน้าสี่เหลี่ยมของเขาบิดเบี้ยวไปนานแล้ว มืออันหยาบกร้านทั้งสองก็กุมศีรษะอยู่ตลอด
สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คนของกู้ชูหน่วนก็พุ่งสังหารเข้ามาไม่หยุด
เวินเส้าหยีฝืนแบกเวินเฉิงเทียนวิ่งไปทางด้านนอกของตำหนักเทียนตู โดยไม่ได้สนใจว่าร่างกายของเขาจะร้อนมากเพียงใด
คนของเผ่าเทียนเฟิ่นวิ่งผ่าฝันอันตรายออกมาเป็นเส้นทางเลือดไปพลาง สกัดอยู่ทางด้านหลังสุดไปพลาง เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยของพวกเขา
ร้อน……
ร้อนเกินไปแล้ว
เหมือนกับเวินเส้าหยีแบกมันร้อนๆไว้บนหลังเช่นนั้น หลังของเขาถูกนาบจนพองหมดแล้ว บนใบหน้าก็มีเหงื่อไหลริน ทั้งยังถูกโจมตีมาจากทางด้านหลังอยู่บ่อยๆอีกด้วย
แต่เขาไม่ยอมปล่อยมือ แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจะทุกคนจะเกลี้ยกล่อมเขา เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือ
คนสนิทของเขาล้วนตายไปหมดแล้ว เหลือท่านพ่อเพียงคนเดียว ต่อให้เขาตาย เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือ
“หัวหน้าเผ่าน้อย ส่งให้ข้าน้อยเถอะขอรับ อุณหภูมิร่างกายของหัวหน้าเผ่าร้อนเกินไปแล้ว”
“หัวหน้าเผ่าน้อย ตรงนี้มีรถเข็น เร็ว วางหัวหน้าเผ่าไว้บนรถเข็น”
“ไปแดนต้องห้าม”
เวินเส้าหยีกล่าวด้วยความเย็นชา
แดนต้องห้ามของเผ่าเทียนเฟิ่นเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของเผ่าเทียนเฟิ่น
ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งเพียงใดก็โจมตีเข้ามาไม่ได้
“แดนต้องห้าม? แต่แดนต้องห้ามมีเพียงหัวหน้าเผ่าเท่านั้นที่เข้าไปได้ พวกเรา……”
“เข้าไปที่แดนต้องห้ามก่อน มีเรื่องอะไรข้ารับผิดชอบเอง เหล่าพี่น้องที่สามารถถอยได้ ก็ให้พวกเขารีบถอยมาที่แดนต้องห้ามพร้อมกัน”
“ขอรับ……”
“หัวหน้าเผ่าน้อย ไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ แดนต้องห้ามเข้าไปตามใจไม่ได้ หากว่า……หากว่า……”
เวินเส้าหยีกล่าวด้วยความโกรธ “เผ่าเทียนเฟิ่นแทบจะไม่มีอยู่แล้ว ยังมีรักษากฎอะไรอีก นอกจากแดนต้องห้าม ท่านคิดว่าในเผ่าเทียนเฟิ่นที่กว้างใหญ่นี้ยังจะมีที่ไหนอีกที่สามารถคุ้มครองเหล่าประชาชนได้ล่ะ?”
บรรดาผู้อาวุโสสะอึก
นอกจากแดนต้องห้ามก็มีเพียงตำหนักเทียนตูแล้ว
แต่ตอนนี้ตำหนักเทียนตูก็แทบจะถูกทำลายจนเกลี้ยงแล้ว ฝืนอยู่ที่นั่นต่อ ค่ายกลสังหารก็ต้านทานได้ไม่นาน
เผ่าเทียนเฟิ่นเกือบจะใช้ซากศพทำเป็นเส้นทางเลือดเส้นหนึ่ง
ตลอดทางที่ผ่านชีวิตก็เป็นเหมือนดั่งฟางเช่นนั้นที่ถูกตัดโค่นลงทีละเส้นๆ
มีคนเสียชีวิตมากมายเกินไป เวินเส้าหยีเจ็บปวดจนชินชาไปแล้ว
หรือจะพูดว่า สภาวะจิตใจของเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
ประชาชนทุกคนที่สละชีวิต ล้วนจารึกอยู่ในจิตใจของเขาอย่างลึกซึ้ง
และได้คิดบัญชีนี้ไว้บนตัวของคนที่ควรจะชำระบัญชีนี้แล้ว
ไม่รู้ว่าฝ่าฟันมานานแค่ไหน ในที่สุดพวกเขาก็ฝ่าฟันออกมาเป็นเส้นทางเลือดและเข้าสู่แดนต้องห้ามแล้ว
เผ่าเทียนเฟิ่นเป็นเผ่าที่มีรากฐานที่มั่นคงมานับพันปีเผ่าหนึ่ง
ประชาชนในเผ่าก่อนหลังรวมเข้าด้วยกันก็มีหลายแสนคน
แต่ตอนนี้ ที่เข้ามาแดนต้องห้ามกลับมีไม่ถึงสองพันคน
และ…..แต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บ ไม่มีสักคนที่อยู่ดี
มีหลายคนที่ถึงขั้นขาดแขนขาด้วน
เวินเส้าหยีวางเวินเฉิงเทียนไว้ในห้องลับห้องหนึ่งในแดนต้องห้าม เขากล่าวด้วยความร้อนใจ “เร็ว ตรวจดูหน่อยว่าหัวหน้าเผ่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หัวหน้าเผ่าน้อย เส้นโลหิตดำของหัวหน้าเผ่าย่ำแย่ จิตมารครอบงำ เลือดอุดตัน อีกทั้งยังโดนพิษปิงหั่วจุ้ยอีกด้วย เกรงว่า…..เกรงว่า……”
“พิษปิงหั่วจุ้ย?”
“ใช่ขอรับ พิษปิงหั่วจุ้ย เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหยก ไร้สีไร้กลิ่น พิษรุนแรง แม้ว่าจะเป็นขั้นสูงสุดระดับเจ็ด เพียงแค่โดนพิษปิงหั่วจุ้ย ก็ต้องตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ขอรับ”
ร่างกายของเวินเส้าหยีโซเซเล็กน้อย
เขาเป็นหัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่น
สำหรับพิษปิงหั่วจุ้ยเขามีความเข้าใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
คนที่โดนพิษปิงหั่วจุ้ย ในร่างกายจะเป็นเหมือนดั่งหินหลอมเหลวที่เดือดพล่าน ร้อนจนทำให้คนทรมานอยากจะตายก็ไม่ได้ อยากมีอยู่ก็ไม่สามารถ”
รอจนถึงระยะสุดท้าย ความร้อนค่อยๆลดลง แทนที่ด้วยความเย็นยะเยือก เย็นจนทำให้คนสั่นเทา อวัยวะภายในเริ่มแข็งตัว จนกระทั่งตาย
“ท่านเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเผ่าเทียนเฟิ่น ท่านจะต้องช่วยเขาได้แน่ใช่หรือไม่?”
เวินเส้าหยีคว้าคอเสื้อของเขาไว้อย่างกะทันหัน เหมือนดั่งคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นหนึ่งไว้เช่นนั้น
“ไร้…..ไร้ประโยชน์ ถือโอกาสตอนที่หัวหน้าเผ่ายังมีสติ หัวหน้าเผ่าน้อยมีอะไรจะพูด ก็รีบพูดกับหัวหน้าเผ่าเถอะขอรับ เมื่อรอจนเขาสูญเสียสติสัมปชัญญะแล้ว เกรงเพียง…เกรงเพียงแค่ว่าจะคลุ้มคลั่ง ไม่ว่าใครก็จำไม่ได้แล้วขอรับ”