ทันทีที่เย่จิ่งหานดีใจ ก็อยากจะลุกขึ้นโดยสัญชาตญาณ แต่ขาของเขาไม่สามารถค้ำยันให้เขาลุกขึ้นได้โดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่เพราะชิงเฟิงเจี่ยงเสวียพยุงไว้ กลัวว่าเขาก็คงจะล้มไปนานแล้ว
“อาหน่วน……”
“นายท่าน…….นางคือมู่หน่วน”
ชิงเฟิงเจี่ยงเสวียคิดว่าเจ้านายของตัวเองเข้าใจผิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นพระชายา จึงได้กล่าวเตือน
เย่จิ่งหานหยิบเส้นผมปอยหนึ่งออกมาจากหน้าอกด้วยความสั่นเทา
เส้นผมปอยนั้นก็เปล่งแสงประหลาดออกมาด้วยเช่นกัน
ชิงเฟิงเจี่ยงเสวียดีใจเป็นอย่างมาก กล่าวอย่างสั่นเครือ “นายท่าน ดวงวิญญาณของพระชายาอยู่ใกล้ๆงั้นหรือขอรับ?”
ผู้อาวุโสเผ่าหยกได้สอนวิชายุทธพิเศษให้กับเย่จิ่งหาน เพียงแค่ดวงวิญญาณของกู้ชูหน่วนปรากฏขึ้น เย่จิ่งหานก็จะสามารถรับรู้ได้ทันที
“ฉึบ…….”
ไม่รอให้เย่จิ่งหานพูดจา ดวงวิญญาณทั้งสองดวงนั้นก็กลับเข้าไปที่หน้าผากของกู้ชูหน่วนอีกครั้ง
กู้ชูหน่วนรู้สึกเพียงแค่มีสิ่งของสองอย่างพุ่งพรวดเข้าไปในร่างกายของนาง
“อาหน่วน…..”
เย่จิ่งหานคิดจะหยุดยั้ง แต่ก็น่าเสียดายที่แรงไม่พอ ดวงวิญญาณทั้งสองดวงจมเข้าไปในร่างกายของนางแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าไม่เคยได้ปรากฏตัวมาก่อน
ผู้หญิงตรงหน้ายังคงเป็นผู้หญิงคนนั้น ใบหน้านั้นไม่มีความเหมือนกับกู้ชูหน่วนแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่เพราะปอยผมที่อาหน่วนทิ้งไว้ยังมีแสงกะพริบแล้วกะพริบอีก เขาก็คงคิดว่าอยู่ในความฝัน
กู้ชูหน่วนก็รู้สึกประหลาดใจ
แต่นางเข้าใจกระจ่างแจ้งยิ่งนัก เพียงแค่ดวงวิญญาณทั้งสองดวงสองดวงนั้นไม่ได้ออกไปจากร่างกายของนาง เย่จิ่งหานก็จะไม่ฆ่านาง
นางกล่าวด้วยความอ่อนแอ “ดูท่า คนในใจของท่านก็ขัดหูขัดตาที่ท่านโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้”
เย่จิ่งหานจ้องมองศพที่ถูกเคล็ดวิชากลืนพลังดูดเลือดไปจนแห้งของไป๋หลี่เจิ้นที่อยู่บนพื้น ดวงตาอันเคร่งขรึมราวกับสระน้ำลึกคู่นั้น ทำให้คนมองไม่ออกจริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เพราะการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของดวงวิญญาณทั้งสอง ทำให้แรงสังหารบนร่างกายของเย่จิ่งหานค่อยๆสลายไป
สุดท้ายก็แค่ทำมือบอกใบ้อย่างเดียวเท่านั้น
ชิงเฟิงเจี่ยงเสวียเข้าใจ เข็นรถเข็นออกไปจากป่าไผ่ช้าๆ เหลือไว้เพียงเงาอันสง่างามสามเงาร่าง
กู้ชูหน่วนฝืนทนความเจ็บปวด พิงที่ไม้ไผ่แล้วหอบอย่างหนัก ตะโกนกล่าวออกมาด้วยเสียงอันไพเราะแต่อ่อนแอว่า
“ไม่เพียงแค่ท่านฆ่าข้าไม่ได้ แต่ท่านยังจะต้องปกป้องข้าด้วย ไม่เช่นนั้นท่านก็รู้ผลที่จะตามมา…..”
ทั้งสามคนที่เดินไปไม่ได้อยู่ต่อ
ฝนห่าใหญ่ยังคงกระหน่ำเทลงมา
กู้ชูหน่วนกวาดตามองศพของไป๋หลี่เจิ้นที่ถูกนางดูดเลือดเนื้อจนแห้งเหือดแวบหนึ่ง
นางกลัวว่าคนของตระกูลไป๋หลี่จะมาหาถึงที่ จึงทำได้เพียงเดินโซซัดโซเซจากไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บ
ในสถานที่ที่ห่างไกล
ชิงเฟิงเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “นายท่าน พวกเราทำได้แค่เพียงถูกผู้หญิงคนนั้นข่มขู่เช่นนี้หรือขอรับ?”
“ปล่อยข่าวออกไป ไป๋หลี่หมิง ไป๋หลี่เจิ้นล้วนถูกมู่หน่วนสังหาร”
“นายท่าน……ปล่อยข่าวออกไปแล้ว หากว่าคนตระกูลไป๋หลี่สังหารนางแล้วจะทำเช่นไรขอรับ?”
ทันทีที่ดวงตาอันดุดันกวาดมา ชิงเฟิงตัวสั่นเล็กน้อย รีบรับคำสั่งแล้วจากไปทันที
เจี่ยงเสวียกล่าว “นายท่าน เวินเส้าหยีสั่งให้คนปิดกั้นป่าไผ่อย่างเข้มงวด ข้าน้อยไม่มีทางสืบให้กระจ่างได้เลยว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ และไม่รู้ว่าทำไมเวินเส้าหยีถึงได้ปล่อยแม่นางมู่ไป แต่ว่าการตายของไป๋หลี่เจิ้นเป็นเพราะเคล็ดวิชากลืนพลังจริงๆขอรับ”
เคล็ดวิชากลืนพลังในโลกนี้มีเพียงพระชายาเท่านั้นที่รู้จัก
เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้รู้จักเคล็ดวิชากลืนพลังอย่างไรกัน?
หรือว่าดวงวิญญาณทั้งสองดวงของพระชายาสิงอยู่ในร่างของนาง นางจึงได้มีวิทยายุทธของพระชายาด้วย?
นี่ช่างลึกลับเกินไปแล้ว
“สืบต่อไป โดยเฉพาะหลังจากที่นางถูกไป๋หลี่หมิงและคนอื่นสังหารแล้ว ทำไมถึงตายแล้วฟื้นได้อีก เรื่องที่เกี่ยวข้องกับนาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ต้องสืบให้กระจ่างทั้งหมด”
“ขอรับ”
“อีกด้านหนึ่ง”
ชายในชุดขาวสะอาดยืนมือไขว้หลัง ด้านหลังแบกพิณหิมะที่เป็นพิณสีขาวไว้ สวมหน้ากากผีเสื้อบนใบหน้า
ข้างกายของเขามีองครักษ์หนุ่มที่สวมชุดเข้ารูปรายงานอยู่ช้าๆ
“นายท่าน หลังจากที่พวกเราจากไป คนของเย่จิ่งหานได้ทำลายเครื่องส่งสัญญาณของพวกเรา แล้วล้อมรอบป่าไผ่ไว้ ข้าน้อยไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ว่าเย่จิ่งหานก็ไม่ได้สังหารมู่หน่วนเช่นกันขอรับ”