อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม – บทที่ 1079 ร่วมกันต้านทานศัตรู

บทที่ 1079 ร่วมกันต้านทานศัตรู

ตรงนี้น่าจะถูกจัดวางค่ายกลสังหารไว้แล้ว คนเหล่านั้นจะเข้ามาไม่ได้ชั่วขณะ

แต่……

ค่ายกลถูกทำลาย ก็เป็นเรื่องของความช้าเร็วแล้วเท่านั้น

ทันทีที่พังทลาย จากสถานการณ์ของนางและเซียวหยู่เซวียนในตอนนี้ จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่มีเวลาไหนที่นางอยากจะฟื้นฟูร่างกายให้ได้โดยสมบูรณ์เท่านี้มาก่อน

ชิงเฟิงร้อนใจจนหัวหมุนนั่งไม่ติด

“ทางกลับไปแคว้นเย่ถูกเวินเส้าหยีสกัดกั้นแล้ว แม้ว่าพวกเราจะมีขวานผานกู่ ก็ไปถึงภูเขาลูกนั้นไม่ได้ ฉีกมิติเวลาให้แยกออกก็ต้องใช้เวลา นี่จะทำอย่างไร?”

เสียงการฆ่าฟันด้านนอกสั่นสะเทือนฟากฟ้า กลิ่นคาวเลือดลอยมาตามลม การต่อสู้กันกลางอากาศก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

กู้ชูหน่วนกล่าว “เจ้าอยากช่วยนายท่านของเจ้าหรือไม่?”

“อยากแน่นอนอยู่แล้ว แต่สงครามใหญ่ระดับสุดยอดเช่นนี้ ข้าเข้าไปก็เป็นแค่การเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆเท่านั้น”

“สงครามของเย่จิ่งหานและเวินเส้าหยีเจ้าช่วยไม่ได้ แต่เจ้าสามารถช่วยกำจัดความกังวลเบื้องหลังได้”

“ท่านหมายถึงการร่วมมือกันโจมตีของทุกๆพรรคใหญ่หรือ? ค่ายกลมากมายที่นายท่านวางไว้ ถูกทุกพรรคใหญ่แต่ละพรรคทำลายเกือบหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ค่ายสุดท้ายด่านเดียว ด่านสุดท้ายมีเจี่ยงเสวียเฝ้าคุ้มกันอยู่ ทันทีที่ถูกทำลาย เกรงเพียง……”

ชิงเฟิงไม่กล้าพูดอะไรต่อไปอีก พูดเพียงแค่ “นายท่านสั่งไม่ให้ข้าไปไหน ให้อยู่ที่นี่เพื่อปกป้องพวกท่าน”

“เจ้าน่าจะรู้ว่าค่ายกลถูกทำลาย หมายความว่าอะไรสินะ”

“ท่านต้องการจะพูดอะไร?”

“หยิบพู่กันและกระดาษมา”

แม้ว่าชิงเฟิงจะไม่ค่อยเข้าใจว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่ก็ให้คนหยิบกระดาษและพู่กันมาอย่างรวดเร็วแล้ว มองดูกู้ชูหน่วนวาดๆเขียนๆบนกระดาษ

“จัดค่ายกลตามตำแหน่งบนรูป ต้องเร็ว หากช้าก็จะไม่ทันแล้ว”

ชิงเฟิงรับกระดาษมา ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินการตามคำสั่งของนาง

“แม่นางมู่ ท่านก็เคยเรียนวิธีจัดค่ายกลหรือ?”

“คงเคยเรียนล่ะมั้ง” กู้ชูหน่วนหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาหนึ่งแผ่น วาดๆเขียนๆต่อ

“ความจำเสื่อมแล้ว สิ่งต่างๆมากมายจำไม่ได้ แต่ข้าน่าจะเข้าใจวิชาการจัดค่ายกล”

“วิธีการจัดค่ายกลของพระชายาของข้าก็เก่งกาจเช่นกัน เก่งกาจซะยิ่งกว่านายท่านของข้าซะอีก”

“นี่เป็นรูปเค้าโครงค่ายกลด่านที่สอง นี่เป็นสูตรของสมุนไพรปรุงยา ให้คนจัดตามสัดส่วนให้ดี โรยไว้บนค่ายกลที่สอง”

ชิงเฟิงตะลึงไปเล็กน้อย

นางวางค่ายกลก็วางค่ายกลสิ ยังจะทำสมุนไพรปรุงยาอะไรอีก

“นิ่งทำอะไรอยู่ รีบไปสิ”

“ขอรับ ให้คนมา รีบดำเนินการตามรูปในกระดาษของแม่นางมู่ แม่นางมู่ ทรัพยากรที่นี่มีจำกัด และก็ไม่รู้ว่าสมุนไพรปรุงยาเหล่านี้ที่ท่านเขียนมานี่จะรวบรวมได้หรือไม่”

“วางใจเถอะ ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาสิบเอ็ดวันแล้ว ที่นี่มีอะไรข้ารู้ดีกว่าเจ้า ที่นี่พวกเรายังมีคนอีกมากมายเท่าไหร่?”

“มีเพียงแค่ยี่สิบกว่าคน ที่เหลืออยู่ด้านนอก”

“ยี่สิบกว่าคนน้อยไปหน่อย ทำได้เพียงพยายามสุดความสามารถแล้ว นี่คือหน้าไม้ พิมพ์เขียวของอาวุธลับ เจ้าสั่งให้คนไปประดิษฐ์เดี๋ยวนี้ ประดิษฐ์ทั้งวันทั้งคืน ยิ่งมากยิ่งดี”

“ขอรับ”

เพิ่งจะมอบงานทั้งหมดออกไป ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งก็เข้ามารายงานด้วยความรีบร้อน

“รายงาน…..ค่ายกลด่านสุดท้ายถูกทำลายแล้ว ผู้นำเจี่ยงเสวียและเหล่าพี่น้องทำสงครามด้วยเนื้อตัวอาบเลือด บาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัส ยังดีที่แม่นางมู่สร้างค่ายกลขึ้นใหม่อีกด่านหนึ่ง ผู้นำเจี่ยงเสวียถอยมาอยู่บนค่ายกลของแม่นางมู่แล้ว”

“เจี่ยงเสวียบาดเจ็บอย่างไรบ้าง?”

“แผ่นหลังถูกฟันไปหนึ่งดาบ แผลลึกมาก จำเป็นต้องพักผ่อนเพื่อรักษาบาดแผล แต่ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตขอรับ”

ในดวงตาของชิงเฟิงปิดบังความเป็นห่วงไว้ไม่ได้

หากไม่ใช่เพราะนายท่านสั่งว่าแม้ตายก็ให้เขาอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องพวกเขาทั้งสอง เขาก็พุ่งออกไปช่วยนานแล้ว

ค่ายกลที่นายท่านสร้างนั้นร้ายกาจมาก เขาใช้เวลาไปหลายวัน จัดตั้งค่ายกลขึ้นมาด้วยความลำบากแล้วก็ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ แล้วค่ายกลของแม่นางมู่จะสามารถยืนหยัดได้นานเพียงไร

ในทวีปปิงหลิง พวกเขาแปลกถิ่นแปลกหน้า

กองกำลังที่นำมาทั้งหมดก็อยู่ที่นี่แล้ว

หากการต่อสู้ครั้งนี้พ่ายแพ้ ก็จะไม่มีใครมาช่วยเหลือเป็นกองหนุนพวกเขาได้

“รองผู้นำชิงเฟิง ค่ายกลของแม่นางมู่ร้ายกาจมาก แต่ละพรรคเข้ามาทำลายค่ายกลครั้งแล้วครั้งเล่า ล้วนไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ แม้แต่ผู้อาวุโสของสี่ของตระกูลใหญ่ก็ออกมาแล้ว แต่ก็ไม่มีคนทำลายได้” หน้าตาของคนที่มารายงานเต็มไปด้วยความดีใจ

พวกเขาคิดว่าค่ายกลถูกทำลาย ทุกคนก็จะจบเห่แล้ว

คิดไม่ถึงว่ายังจะมีอีกฉากกำบังหนึ่งที่คุ้มกันพวกเขาไว้

“แม่นางมู่ ค่ายกลของท่านสามารถยืนหยัดได้นานแค่ไหน?”

ฝนตกหนักลงมาอย่างฉับพลัน คนที่เข้าใจเวินเส้าหยีล้วนรู้ว่า ทันทีที่ฝนตกสำหรับเขาแล้วก็เหมือนดั่งเสือที่มีพละกำลังเพิ่มมากขึ้น เกรงว่าสถานการณ์ของนายท่านจะอยู่ในอันตรายเป็นอย่างยิ่งแล้ว

เพียงแค่นายท่านมีหนทาง ก็จะไม่ยอมปล่อยให้พยับเมฆดำนั่นโปรยปรายฝนลงมา

เพราะนั่นไม่ใช่ฝนที่ตกลงมาจริงๆ

แต่เป็นการที่เวินเส้าหยีที่ใช้กำลังภายในขับเคลื่อนออกมา

กู้ชูหน่วนกล่าวว่า “ต้องดูว่าระหว่างพวกเขาจะมียอดฝีมือในการทำลายค่ายกลหรือไม่ หากว่าไม่มี น่าจะรั้งไว้ได้เจ็ดวัน หากว่ามี อย่างมากก็รั้งไว้ได้สามวัน และดูจากที่พวกเขาทำลายค่ายกลของเย่จิ่งหาน ก็เห็นได้ชัดว่าในหมู่ของพวกเขามีนักลายทำค่ายกลชั้นยอดอยู่ และไม่ได้มีแค่คนเดียวด้วย”

สามวัน……สามวันก็รั้งได้เป็นเวลานานมากแล้ว อย่างไรเสียเวลาในการจัดทำค่ายกลก็น้อยมาก

ค่ายกลของนายท่านถ่วงเวลาของพวกเขาได้แค่เพียงสิบวันเท่านั้น

สามวันนี้ก็ยากพอทนแล้ว

ดวงตาสองข้างของกู้ชูหน่วนปิดสนิท พยายามฝืนตัวเองให้พักผ่อนดีๆ พยายามใช้เวลาอันสั้นนี้ในการฟื้นฟูร่างกายของตัวเอง

แต่ทันทีที่นางหลับตาก็เป็นภาพการตายอันน่าอนาถของตระกูลมู่ โดยเฉพาะพ่อของนางและเจ้าบ้านมู่

จะต้องเป็นความเกลียดแค้นอย่างสุดซึ้งใหญ่หลวงอย่างไรถึงสามารถใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนี้มาทรมานคนให้ตายไปทั้งเป็นได้

เฉือนเลือดเนื้อบนร่างกายจนเกลี้ยงไปทีละมีด เหลือแค่ซากศพ ช่วงเวลาระหว่างนั้นจะเจ็บปวดเพียงใด สุดท้ายตายไปแล้ว แม้แต่ศพทั้งร่างก็ไม่มีให้ หัวก็ถูกตัด

ยังมีพ่อของนางอีก กระดูกทั้งร่างถูกหักไปทีละท่อน……..

นอนก็นอนไม่หลับ กู้ชูหน่วนจึงถือโอกาสวาดรูปอีกสองสามรูป ให้ชิงเฟิงสั่งให้คนไปหาวัสดุตามรูป ยิ่งมากยิ่งดี แล้วตัวเองก็ก้มหน้าก้มตาทำไป

เวลาผ่านไปทีละวันๆ

เย่จิ่งหานก็ยังไม่กลับมาสักที

ระยะห่างมีความห่างไกลเกินไป พวกเขาก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์สงครามของนายท่านและเวินเส้าหยีเป็นอย่างไรบ้าง

ได้ยินเพียงแค่เสียงดั่งร้องของหงส์และมังกรคำรามอันไพเราะเสนาะหูดังมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น

หากไม่ผิดไปจากที่กู้ชูหน่วนคาดการณ์ไว้ วันที่สามค่ายกลน่าจะถูกทำลายแล้ว

“แม่นางมู่ ค่ายกลที่สองของท่านสามารถรั้งไว้ได้นานเพียงใด?”

“ไม่เกินห้าวัน”

“แล้วด่านที่สามล่ะ?”

“ไม่รู้ อาจจะครึ่งวัน อาจจะหนึ่งวัน หรืออาจจะสองสามวัน ด่านที่สามไม่มีค่ายกล ทำได้เพียงสู้ตายอย่างสุดกำลังเท่านั้น”

สีหน้าของทุกคนซีดขาวทันที

นี่หมายความว่า ค่ายกลที่สองแตกแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อแล้วเท่านั้นหรือ?

“เย่จิ่งหานออกไปนานเพียงใดแล้ว?”

“สี่วันแล้ว”

“สี่วันยังสู้ไม่รู้แพ้รู้ชนะอีกหรือ?” กู้ชูหน่วนกล่าวพึมพำ

ฉับพลันนั้น สงครามใหญ่ที่เป็นโดมขนาดใหญ่ก็สิ้นสุดลงแล้ว ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ

จิตใจของพวกเขาตึงเครียดพะว้าพะวังอย่างที่สุด

ชิงเฟิงกล่าวด้วยความร้อนใจ “รีบออกไปตรวจดูซิว่านายท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

“รองผู้นำ พวกเราออกไปไม่ได้ ทันทีที่ออกไป ค่ายกลของแม่นางมู่ก็จะถูกทำลายแล้ว”

“…….”

“กลิ่นอะไร ทำไมมันเหม็นเช่นนี้” ชิงเฟิงปิดปากแล้วกล่าว

นอกประตู ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งเข้ามารายงานด้วยความรีบร้อน

“รองหัวหน้า ค่ายกลด่านที่สองของแม่นางมู่เป็นค่ายกลซ้อนค่ายกล พวกเขาคิดว่าทำลายค่ายกลได้แล้ว ผลสุดท้ายในค่ายกลอบอวลไปด้วยยาพิษ ยาพิษชนิดนั้นไม่ทำให้คนถึงตาย แต่สามารถทำให้คนท้องเสียไม่หยุดได้ หลายๆคนของแต่ละพรรคล้วนกำลังท้องเสียขอรับ”

คำพูดหนึ่งออกมา ทุกคนต่างอึ้งไปแล้ว

ยังมียาชนิดนี้อยู่ด้วยหรือ

ยังมีค่ายกลเช่นนี้ด้วยหรือ?

เป็นการเปิดประสบการณ์จริงๆ

ไม่เพียงแค่ชิงเฟิงที่มีความเลื่อมใสกู้ชูหน่วนมากขึ้นสองสามระดับ

องครักษ์ลับเหล่านั้นก็ต่างถาโถมแววตาเลื่อมใสไปทางกู้ชูหน่วนกันหมด

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

Status: Ongoing

กู้ชูหน่วน เดิมทีเป็นอัจริยะแพทย์สาวยุคปัจจุบัน การข้ามภพหนึ่ง พาเธอย้อนเวลาไปที่ยุคโบราณที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม สิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงก็คือ เพิ่งจะมาถึงสถานที่แปลกหูแปลกตานี้แท้ๆ เธอก็ต้องเสียตัวให้กับชายแปลกหน้าอย่างไม่มีทางเลือก หลังจากมีการพัวพันซึ่งกันและกัน เดิมทีกู้ชูหน่วนคิดว่าแต่นี้ต่อไป ต่างคนต่างไป จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก สุดท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เย่จิ่งหานกลับคอยตอแยเธอไม่เลิก โชคชะตาฟ้าลิขิต เธอค่อยๆครอบครองใจของเย่จิ่งหานไปเรื่อยๆ จนทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์แห่งความรัก อย่างโงหัวไม่ขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท