อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1080 หน้าไม้
เบาะแสของเย่จิ่งหานไม่ชัดเจนก็ทำให้พวกเขาร้อนใจจนอยู่ไม่สุขแล้ว
คิดไม่ถึงว่าค่ายกลด่านที่สองจะรั้งไว้ได้ไม่ถึงห้าวัน แค่วันที่สองก็ถูกทำลายแล้ว
ได้ยินว่าค่ายกลถูกทำลาย กู้ชูหน่วนก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“เป็นไปไม่ได้ ค่ายกลที่สองดูเรียบง่าย แต่ความจริงแล้วมีค่ายกลซ่อนอยู่ด้านในนับสิบประเภท ประเภทหนึ่งยากขึ้นกว่าอีกประเภทหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีทักษะความสามารถในการจัดค่ายกลสูงเพียงใด อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาห้าวันในการทำลาย พวกเขาสามารถทำลายค่ายกลในเวลาอันสั้นได้เช่นไร เป็นไปได้ไหมว่าในหมู่ของพวกเขาจะมียอดฝีมือระดับหกอยู่?
“ระดับหก? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในทวีปปิงหลิงจะมียอดฝีมือระดับหก เป็นเวินเส้าหยีงั้นหรือ?” ชิงเฟิงกล่าว
“รายงานท่านรองหัวหน้า ไม่น่าจะเป็นเวินเส้าหยีขอรับ ข้าน้อยและคนอื่นๆไม่ได้พบเห็นเวินเส้าหยี คนที่ทำลายค่ายกลเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดดำทั้งตัว ผ้าปิดหน้าสีดำ เห็นเพียงแค่ดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นโหดร้ายมาก มองเพียงแค่แวบเดียวก็ทำให้จิตใจของคนรู้สึกเย็นยะเยือก อายุน่าจะประมาณสี่สิบ เป็นหญิงวัยกลางคนขอรับ”
“พอจะสืบได้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”
“ตอนนี้ยังสืบไม่ได้ขอรับ รู้เพียงแค่นางไม่ใช่คนของสี่ตระกูลใหญ่ และไม่ใช่คนของพรรคใดๆ น่าจะเป็นเพียงแค่คนในยุทธภพที่ฝึกฝนมาด้วยตัวเองและไม่ได้มีกองอำนาจใดขอรับ”
“แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหนล่ะ?” กู้ชูหน่วนอดพูดแทรกเข้าไปไม่ได้ สัญชาตญาณบอกนางว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา
ค่ายกลที่นางจัดวาง นางรู้ดีกว่าใครๆว่ามันทรงพลังแค่ไหน
แค่เวินเส้าหยีคนเดียวก็ปวดหัวพอแล้ว
หากมีระดับหกเพิ่มมาอีกคน เช่นนั้นพวกเขาจะทำงานหนักแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ต้องตายโดยไร้ข้อกังขาเป็นแน่
“พูดไปแล้วก็แปลก หลังจากที่นางทำลายค่ายกลเสร็จสิ้นก็หายตัวไปแล้ว และไม่รู้ว่าหนีไปที่ไหน”
กู้ชูหน่วนสบตากับชิงเฟิง จิตใจรู้สึกไม่สงบสุขอยู่รางๆ
“ไม่ต้องไปสนใจนางก่อน หารถเข็น เข็นข้าออกไปดูหน่อย”
นางบาดเจ็บหนักเกินไป ไม่มีปัญญาลุกขึ้นได้โดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงอาศัยรถเข็น
“ขอรับ”
รถเข็นมาแล้ว คนรับใช้ประคองกู้ชูหน่วนขึ้นนั่งรถเข็น ชิงเฟิงหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่รู้ว่าตัวเองทำเช่นนี้ไปถูกต้องหรือไม่ นายท่านกลับมาแล้วจะตำหนิเขาหรือไม่ ที่ปล่อยให้มู่หน่วนวิ่งวุ่นไปทุกที่ด้วยอาการบาดเจ็บ
“แม่นางมู่ ไม่เช่นนั้น ท่านอย่าออกจะดีกว่า ชิงเฟิงหยุดยั้งนาง”
“เพ้อเจ้อให้น้อยๆหน่อย ถ้าไม่อยากให้ทุกคนตายอยู่ที่นี่กันหมดก็เข็นข้าออกไป”
น้ำเสียงเฉียบขาด แฝงด้วยการไม่ยอมให้ขัดขืน
ชิงเฟิงได้แต่กัดฟัน เข็นนางจากไปด้วยตัวเอง
นายท่านไม่อยู่ พวกเขาทำได้เพียงพยายามทำให้ดีที่สุด
สู้จนชนะแล้ว บางทีพวกเขายังอาจจะมีโอกาสรอด แม้ว่าโอกาสนี้จะริบหรี่มากก็ตาม
ภูเขาที่พวกเขาอยู่เรียกว่าภูเขาหัวสุนัข ตำแหน่งที่ตั้งอยู่บนแนวร่องน้ำ เฝ้าระวังง่ายโจมตียาก ทั้งสี่ด้านของภูเขาล้อมรอบด้วยหน้าผา กู้ชูหน่วนและคนอื่นอยู่ในฝ่ายได้เปรียบ
แต่ละพรรคคิดจะขึ้นภูเขาหัวสุนัขมา จำเป็นจะต้องปีนขึ้นมาบนหน้าผา
ทุกด้านของหน้าผาก็มีคนของเย่จิ่งหานคอยคุ้มกันอยู่
ชิงเฟิงเข็นกู้ชูหน่วนออกมา ถูกภาพเหตุการณ์ด้านหน้าทำให้ตกใจแล้ว
เห็นเพียงแค่แต่ละพรรคปีนตามหน้าหลังขึ้นมาโจมตีอย่างต่อเนื่องเหมือนดั่งมด คิดจะปีนขึ้นมาบนหน้าผา แต่กลับถูกเจี่ยงเสวียและคนอื่นๆใช้หน้าไม้ยิงไปทีละดอกจนเจ็บบ้างตายบ้าง
พวกเขาเคยเห็นหน้าไม้
พูดให้ถูกต้อง น่าจะเป็นธนูปลอกแขน สามารถยิงติดกันได้สองอัน
แต่ทว่าหน้าไม้ที่เจี่ยงเสวียใช้นั้นกลับสามารถยิงติดต่อกันได้เก้าอัน
หน้าไม้มีขนาดเล็กพกพาสะดวก มีพลังฆ่าล้างที่ร้ายกาจกว่าคันธนูและธนูปลอกแขนธรรมดามาก
ธนูเก้าดอกยิงออกไปพร้อมกัน ทั้งเก้าดอกล้วนสามารถปลิดชีพศัตรูได้
หากใช้หน้าไม้ชนิดนี้ในสนามรบ เช่นนั้นรบร้อยครั้งจะไม่ชนะร้อยครั้งได้หรือ?
ในที่สุดชิงเฟิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมกู้ชูหน่วนถึงได้ให้คนไปตัดไม้ไผ่มามากมายขนาดนี้ และทำเป็นธนูไม้ไผ่
ภายใต้หน้าไม้ แต่ละพรรคล้วนบาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัส
คนที่เป็นผู้นำโกรธจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ขับเคลื่อนกำลังภายในเปลี่ยนเป็นแรงสังหารที่แท้จริงพลังหนึ่งโจมตีไปทางมือหน้าไม้เหล่านั้น
กำลังภายในของพวกเขาล้วนแข็งแกร่งมาก แต่อยู่กั้นด้วยหน้าผาที่อยู่ห่างไปเกือบยี่สิบเมตร พลังฝ่ามือก็ถูกบั่นทอนจนอ่อนแรงไปมาก