บทที่ 24 ยังมีใครอีกที่ต้องตอบแทนบุญคุณ ทำให้เสร็จทีเดียวเถอะ
“ที่รัก ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้อีกแล้วล่ะคะ วางลงเถอะ มาให้ฉันทำเอง” ผู้หญิงร่างบางเดินออกมาจากในบ้าน ใบหน้าของเธอกรำแดด ผิวพรรณหยาบกร้านขาดการบำรุง ดูแล้วค่อนข้างมีอายุ แต่เค้าโครงใบหน้าอ่อนโยนของเธอพอจะบอกได้ว่าเมื่อก่อนเป็นผู้หญิงงามสง่าคนหนึ่ง ตอนนี้อายุน่าจะยังไม่มากนัก
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่อยากอยู่ว่างๆ หลายปีมานี้คุณก็ลำบากมากแล้ว ”
“พูดอะไรอย่างนั้น เมื่อก่อนฉันไม่ได้มีความสุขหรอกเหรอคะ ฉันพอใจมากแล้ว แต่ว่าคนดีมักไม่ได้รับการตอบแทน สวรรค์ก็เลยให้คุณต้องมาพิการแบบนี้…” หญิงสาวพูดพลางน้ำตานองหน้า
ฟางหนิงที่ยืนอยู่ที่ลานบ้านมองภาพนี้อย่างเงียบงัน
“ลงมือตอนนี้ไหม” ระบบถามเขา
“เดี๋ยวก่อน”
“เมื่อกี้โฮสต์เป็นคนบอกให้รีบลงมือ ตอนนี้ก็ให้รออีก พวกมนุษย์ช่างน่าปวดหัวจริงๆ” ระบบเริ่มหงุดหงิดแล้ว
“หยุดพล่ามก่อน” โอตาคุตัวพ่ออย่างฟางหนิงที่น้อยครั้งจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เวลานี้มีน้ำตาเอ่อคลอ
“พวกเขาคือพ่อแม่ที่พลัดพรากกันหลายปีใช่ไหม” ระบบเอ่ยถาม
“พูดมั่วๆ ปีนี้ฉันเพิ่งจะยี่สิบแปด ผู้หญิงคนนั้นอายุไม่ถึงสี่สิบด้วยซ้ำ” ฟางหนิงโต้กลับ
ตอนนั้น สองสามีภรรยาที่ลานบ้านก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ชายคนนั้นเอ่ย “ทำไมทำดีไม่ได้ดีนะ สวรรค์ให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อทรมานคุณเหรอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราเก็บเงินได้มากพอแล้ว รอหลังปีใหม่เราจะไปที่โรงพยาบาลใหญ่แล้วใส่ขาเทียมนำเข้าที่ดีที่สุดให้คุณ ถึงตอนนั้นคุณจะกลับมายืนได้อีกครั้งค่ะ”
ตอนแรกชายคนนั้นดีใจมาก ต่อมาสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมอีก “คุณได้เงินมาจากไหนตั้งมากมาย เงินที่หามาได้หลายปีนี้ก็ทยอยชดใช้ให้คนพวกนั้นไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าไม่ตอบกลับ
“ทำไมคุณไม่พูดล่ะ คุณแอบทำเรื่องนั้นลับหลังผมหรือเปล่า ถ้าใช่ละก็ ผมขอโขกหัวตายดีกว่า!” ชายคนนั้นเลื่อนรถเข็นทำท่าจะออกไปข้างนอก
“คุณคิดฟุ้งซ่านอะไรคะ” ผู้หญิงคนนั้นจับรถเข็นเอาไว้ “ฉันไม่ได้บอกเพราะกลัวว่าคุณจะคืนเงินอีก หลายปีมานี้มีคนส่งเงินมาทุกเดือน ตอนแรกน้อย ตอนหลังก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดจู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาก ฉันใช้คืนเงินทั้งต้นและดอกเบี้ยครบแล้ว เงินที่เหลือยังพอช่วยคุณใส่ขาเทียมได้ค่ะ”
“คนนั้นเป็นใคร ผมไม่เห็นจำได้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นจะยังมีเพื่อนหรือญาติคนไหนจำผมได้” ชายคนนั้นไม่ยอมเชื่อ
“เขาเคยฝากข้อความไว้ บอกว่าเป็นนักเรียนที่คุณเคยช่วยเหลือค่ะ”
“นักเรียนงั้นเหรอ” ใบหน้าของชายผู้นี้ดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงความทรงจำเนิ่นนาน จากนั้นเขาก็ส่ายหัวพลางเยาะเย้ยตนเอง “ผมจำได้ว่าสมัยนั้นเป็นคนใจดีมาก เงินทองหามาได้ง่ายดาย ผมเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือนักเรียนและช่วยอุปถัมภ์พวกเขาห้าคน แต่ตลอดช่วงเวลาอุปถัมภ์ ทั้งห้าคนไม่เคยโทรหรือส่งข้อความหาผมสักครั้ง จนกระทั่งผมเกิดเรื่องถึงได้หยุดอุปถัมภ์ มีแค่คนเดียวที่โทรมาหา คุณรู้ไหมว่าเขาพูดอะไร”
หญิงสาวร่างเล็กเพียงแต่ส่ายหน้า
“เขาแค่ถามประโยคเดียว ไม่ได้ตกลงกันไว้ว่าจะอุปถัมภ์จนกว่าเขาจะเรียนจบมหาวิทยาลัยหรอกเหรอ”
“ตอนนี้คุณจะบอกว่านักเรียนที่ผมเคยอุปถัมภ์ส่งเงินมาให้ตลอดหลายปี ผมจะเชื่อไหมล่ะ”
ชายคนนั้นส่ายหน้า เมื่อครู่ที่เขาพูดว่าคนทำดีย่อมได้ดีก็แค่ปลอบใจภรรยาเท่านั้น หลังเกิดเรื่องตลอดหลายปีมานี้ ยามมีอำนาจก็มีคนประจบ ยามสูญเสียอำนาจก็ไม่มีใครแยแส ทำให้เขาเลิกคิดเรื่องนี้ไปโดยปริยาย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่มีจิตใจเมตตา ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่ปลงได้ทุกอย่าง
หญิงสาวรีบกลับเข้าไปในห้องเพื่อค้นหาโปสการ์ดเก่าใบหนึ่งทันที บนโปสการ์ดปรากฏใบหน้าชายหนุ่มคนหนึ่งและข้อความสั้นๆ เพียงประโยคเดียว “ผมทำงานแล้ว”
ชายคนนั้นรับโปสการ์ดมา ใบหน้าของเขาฉายแววสงสัย จากนั้นดวงตาก็ทอประกาย หวนนึกถึงเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นนานมากมาแล้ว “เป็นเขาได้ยังไง เป็นเขาได้ยังไงกัน ก็แค่เสื้อคลุมทหารตัวเดียวและฉันก็ใส่มันจนเก่ากึกแล้วด้วย”
ความทรงจำของเขาย้อนกลับไปในอดีตแสนไกล เมื่อตอนที่เขายังหนุ่มแน่น ในช่วงเวลาอันเหนื่อยล้าและหิวโหย ตอนนั้นเขากำลังขับรถบรรทุกคันใหญ่แวะจอดบนถนนเส้นหนึ่งที่ไม่รู้จัก พยายามหาโรงแรมราคาถูกใกล้ๆ เพื่อพักผ่อน อากาศคืบคลานเข้าฤดูหนาวแล้ว ตอนนั้นเองเขาเห็นนักเรียนมัธยมข้างถนนที่กำลังรีบไปโรงเรียน เขาเรียกเด็กคนนั้นเพื่อถามทาง และอีกฝ่ายก็ใจเย็นแนะนำโรงแรมราคาประหยัดใกล้ๆ มาให้
เขาเห็นว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมบางๆ ตัวเดียว จึงถามสั้นๆ ว่าหนาวไหม จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมทหารในรถให้อีกฝ่าย เด็กคนนั้นดูท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพียงรับไปแล้วเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะถามชื่อเขาอีกครั้งแล้วจากไป แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหันมาดูเลขทะเบียนรถของเขานานหน่อย
เมื่อมองรูปภาพใบนี้ นอกจากเค้าหน้าจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วก็แทบจะเหมือนกับเค้าหน้าของนักเรียนในตอนนั้นทุกประการ
แน่นอนว่าชายคนนั้นไม่รู้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ฟางหนิงผ่านฤดูหนาวโดยที่ไม่ต้องทนหนาวจนตัวแข็ง
“เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาเจริญก้าวหน้าแล้วสินะ ดูท่าคงจะไม่เลวเลย ทำดีย่อมได้ดีจริงๆ…” ชายคนนั้นยังรำพึงไม่ทันจบ ทั้งตัวก็หงายไปข้างหลังทันที
“ที่รักคะ” หญิงสาวเพิ่งจะเอ่ยเรียกเขาเท่านั้น แต่แล้วก็ทรุดลงไปพร้อมกัน
…
“บ้าเอ๊ย ทำไมไม่ฟังกันบ้าง” ขณะที่ฟางหนิงกำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ระบบก็ลงมือแล้ว…
“ขืนปล่อยให้พวกเขาพล่ามไร้สาระต่อไป ทนรอจนถึงเช้าก็ยังไม่ได้ลงมือ รีบทำให้เสร็จๆ เถอะ ยังต้องไปจับปีศาจอีก!”
เอาล่ะ ละครดราม่าสะเทือนอารมณ์เมื่อครู่ถูกระบบที่ไม่ใช่มนุษย์ขัดจังหวะดื้อๆ เสียแล้ว
อารมณ์ของฟางหนิงที่เมื่อครู่ไม่ง่ายกว่าจะกลั่นออกมาหายวับไปทันที ตอนนี้เขากลอกตามองบน ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพเอยเวลาเอย ระบบไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยจริงๆ แต่เพราะมันไม่ใช่คน จึงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ได้
เขาได้แต่มองระบบเอาเลือดจากชายคนนั้นมา ทำขาเทียม จากนั้นก็ประกอบเข้าไป…
“แค่นี้เองเหรอ” ฟางหนิงตกตะลึง ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ มันเร็วเกินไป เร็วจนเหลือเชื่อ
“รับรองว่าไม่มีปัญหา ระบบใช้ปราณแท้และค่าประสบการณ์มากทีเดียว ปราณแท้ยังพอว่า แต่ค่าประสบการณ์สิใช้ไปไม่น้อย นี่เท่ากับทำงานฟรีๆ เลยนะ ไม่รู้ว่าต้องจับปีศาจกี่วันถึงจะชดเชยได้…”
ระบบยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ มันก็ต้องชะงัก
หลังจากนั้นฟางหนิงก็รู้แล้วว่าทำไมระบบถึงนิ่งเงียบไป
ระบบแจ้งเตือน: โฮสต์ตอบแทน ‘บุญคุณเสื้อหนึ่งตัว’ และกระตุ้นความสำเร็จของอัศวินที่กำหนดเฉพาะหนึ่งเดียว ‘บุญคุณเพียงหยดน้ำ ตอบแทนดั่งน้ำพุ’ : ระบบเปิดโมดูลพลังปราณล่วงหน้า ปัจจุบันได้รับสล็อตพลังปราณเริ่มต้น ทุกๆ ห้าสิบระดับจะได้รับหนึ่งสล็อต ระบบได้รับผลเพิ่มขึ้นถาวร: หากคุณเลือกใช้สล็อตพลังปราณพร้อมกันเมื่อเริ่มการเคลื่อนไหว พลังจะเพิ่มขึ้น 100% และใช้ร่วมกับสล็อตความโกรธได้
ก่อนฟางหนิงจะทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกเจ้าระบบงี่เง่าถามทันที
“โฮสต์ ลองคิดดูให้ดีสิว่ามีใครอีกไหมที่ต้องตอบแทนบุญคุณ พวกเราทำคืนนี้ให้เสร็จเลยทีเดียวเถอะ!”
“พูดบ้าๆ จะมีที่ไหนอีกล่ะ ที่เหลือก็แค่รู้จักกันตามปกติเท่านั้น” ฟางหนิงตอบอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อก่อนเขาจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของคนทั่วไป แบ่งเงินเดือนจำนวนมากส่งให้คนที่เคยมีบุญคุณแต่ต้องเผชิญกับหายนะจนสิ้นหวัง เขามีสารพัดข้อบกพร่องมากมาย แต่จากประสบการณ์ในวัยเด็ก ทำให้ฟางหนิงรู้เหตุผลของการรู้บุญคุณและตอบแทนบุญคุณ ในวัยที่เขาขาดความรัก การมีคนเข้ามาช่วยเหลือได้มอบประสบการณ์ชีวิตให้เขามากขึ้น ทำให้ฟางหนิงอยากจะตอบแทนคุณให้มากเป็นเท่าตัว
“จริงสิ เห็นแกตกใจขนาดนี้ ความสำเร็จครั้งนี้เจ๋งมากเลยเหรอ”
“ในสถานการณ์ปกติ เงื่อนไขการเปิดโมดูลพลังปราณต้องสะสมชื่อเสียงก่อนและเปิดโมดูลอัศวิน กลายเป็นอัศวินที่มีชื่อเสียงระดับโลก จากนั้นอัปเกรดระบบเป็นเลเวล 50 ขึ้นไป ถ้าใช้ค่าพลังปราณจะทรงพลังมาก… ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลทวีคูณ แต่ค่าพลังปราณต่างกับค่าความโกรธ ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ มีแต่ผดุงคุณธรรมถึงจะได้รับและได้มาน้อยมาก ต่างจากค่าประสบการณ์ ค่าพลังปราณจะได้รับเท่าไรก็ต้องดูระดับความผิดของอีกฝ่าย ไม่ใช่ระดับความแข็งแกร่ง”
ฟางหนิงเข้าใจชัดเจนแล้ว ค่าพลังปราณเป็นอะไรที่เจ๋งสุดๆ ไปเลย แม้แต่ระบบเองก็ยังตกตะลึง ดูท่าผู้มีพระคุณจะพูดถูกแล้ว คนทำดีย่อมได้ดี ถ้าหากตัวเองเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่มีทางที่จะเปิดโมดูลที่มีข้อกำหนดสูงอย่างนี้ได้ล่วงหน้าแน่นอน ใครก็ตามที่เล่นเกมมานานจะรู้ว่าเลเวล 10 ที่มีความสามารถเทียบเท่าเลเวล 50 หมายความว่าอย่างไร
เขาอยากจะเข้าใจรายละเอียดจึงซักถามเพิ่มเติม “ถ้าแกใช้ทักษะขั้นสูงตามคำเตือน โดยใช้ทั้งค่าพลังปราณและค่าความโกรธจะเพิ่มอานุภาพถึงระดับไหน”
“นั่นไม่ใช่การคำนวณเพิ่มพลังง่ายๆ เอาอย่างนี้ละกัน ตราบใดที่ถูกโจมตีด้วยศิลปะการต่อสู้ที่ใช้ความชอบธรรม หากอีกฝ่ายมีความคิดชั่วร้ายแม้แต่น้อย ก็จะถูกทำร้ายต่อเนื่องจนกระทั่งพลังปราณหมดลง หากสิ่งชั่วร้ายตามธรรมชาติอย่างภูตผีปีศาจมีพลังอ่อนแอก็จะจุดชนวนให้สังหารทันที! ไม่ต้องตัดสินว่ายังมีค่าอันตรายอะไรบ้าง
ภูตผีที่มีพลังแข็งแกร่งก็จะตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอถาวร ตอนนี้มีผลเพิ่มเติมของการโจมตีเป็นเท่าตัว หากผีปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าไม่มีวิธีป้องกันพิเศษ ก็จะถูกสังหารทันที” คำตอบของระบบสุดยอดมาก
ฟางหนิงกลัวพวกภูตผีเป็นที่สุด โดยเฉพาะตอนนี้ที่พวกมันเพิ่งปรากฏตัวขึ้นมา โชคดีที่ระบบมีความสามารถกำหนดเป้าหมายพวกมันได้โดยเฉพาะ จึงทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นไม่น้อย และรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น…
เขานึกถึงคำถามของระบบเมื่อครู่นี้จึงถามอีก “แกได้รับความรู้จากความทรงจำของฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ”
“ไม่รู้หรอก แต่ละวันโฮสต์มีความคิดนับร้อยนับพัน และความทรงจำก็ซับซ้อนยิ่งกว่าอะไร ระบบอ่านแต่เรื่องสามัญสำนึกพื้นฐานเท่านั้น กลัวว่าอ่านมากไปจะทำให้โฮสต์เป็นบ้า” ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ฟางหนิงแอบสบายใจขึ้นหน่อย ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าเรื่องน่าอายของตนเองจะถูกหมอนี่ขุดออกมา แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว
……………………………………………………..