บทที่ 66 เสแสร้งถึงตัวเราก็ต้องสู้กลับ
ฟางหนิงพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้ระบบที่กำลังง่วนกับการจับหัวขโมยเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะการไปเมืองจี้เพื่อเข้าร่วมสโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐี
“ถึงเวลาที่จะออกไปดูระดับปีศาจในใต้หล้าแล้ว”
ตอนแรกฟางหนิงประหลาดใจที่โมดูลอัศวินเปิดแล้วและชื่อเสียงถึงขั้น ‘ชื่อเสียงขจรขจาย’ เพราะฉะนั้นไม่มีทางเกิดปัญหาชื่อเสียงหายไปหลังจากเปลี่ยนสถานที่ ทำไมหัวหน้าระบบไม่เคยเสนอเปลี่ยนสถานที่จับปีศาจล่ะ
ระบบเอ่ยต่อ “สถานที่อื่นไม่ได้เปิดแผนที่จึงมองไม่เห็นปีศาจ ต้องให้ปีศาจเข้าใกล้ ระบบจะอาศัยพลังงานรับรู้ แผนที่ถึงจะแสดงปีศาจได้
ขณะที่ไปจับในสถานที่อื่น ถ้าหากจับได้ถึงระดับมิตรภาพขั้นความนับถือในพื้นที่ ก็จะกลายเป็นเจ้าของพื้นที่ สามารถยับยั้งคู่ต่อสู้ที่ใช้จิตใจของคนเป็นพื้นฐานการฝึกบำเพ็ญได้มาก อย่างเช่นเฉียวจื่อซานที่ฝึกบำเพ็ญพลังปราณ ถ้าหากเป็นศัตรูกับพวกเราต่อสู้ที่เมืองฉีละก็ ความสามารถของพวกเขาจะลดฮวบลง”
ฟางหนิงฟังถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นมาก ใครกันจะไม่อยากได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านในชนบท อีกทั้งยังหมายความว่าได้เพิ่มความสามารถการต่อสู้ มีทางหนีทีไล่เพิ่มขึ้น
เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “แกเหมือนยาสีฟันจริงๆ ถามนิดนึงก็ตอบนิดนึง ครั้งที่แล้วแกก็พูดชัดแล้ว ฉันวางแผนให้ได้ไม่ใช่หรือ”
ไม่รอให้ระบบได้โต้ตอบ เขาก็ถามต่อไป “งั้นแผนที่ระบบของสถานที่อื่นจะเปิดได้อย่างไร”
ระบบ “แผนที่ใกล้เคียงสถานที่เกิดมอบให้ฟรี แผนที่สถานที่อื่นไม่ใช่เดินรอบๆ แล้วจะแสดงสถานการณ์ที่นั่นได้แบบเรียลไทม์ และต้องถึงระดับมิตรภาพที่เกี่ยวข้องกับในพื้นที่นั้นถึงจะได้รับ
ระดับมิตรภาพในพื้นที่มีห้าขั้นตอน ได้แก่ ความเกลียดชังในพื้นที่, ความเป็นกลางในพื้นที่, มิตรภาพในพื้นที่, ความไว้ใจในพื้นที่, ความนับถือในพื้นที่ บางทีอาจมีระดับมิตรภาพที่แอบซ่อน ซึ่งต้องอาศัยคุณแอคติเวท ต้องถึงระดับความไว้ใจในพื้นที่ถึงจะได้รับแผนที่ในพื้นที่แห่งนั้น ต่อไปถึงจะค้นหาภูมิประเทศและสถานการณ์ปีศาจที่นั่นได้แบบเรียลไทม์”
ตอนแรกฟางหนิงรู้สึกประหลาด แต่จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง ดูท่าการตั้งค่ากฎของนายท่านระบบจะเกี่ยวข้องกับอัศวินทุกจุด เช่น ถ้าทำผิดในที่หนึ่งก็จะไม่อำนวยความสะดวกใดๆ ให้ ต้องทำความดีถึงจะเปิดแผนที่ในพื้นที่นั้นให้ เพื่อสะดวกในการค้นหาคนที่ทำชั่ว
ฟางหนิง “งั้นระดับมิตรภาพในเมืองฉีของพวกเราอยู่ระดับไหนแล้วล่ะ”
ระบบ “เพิ่งผ่านระดับความไว้ใจพื้นที่ ยังห่างกับขั้นนับถืออีกมากโข”
ฟางหนิงพยักหน้า เมื่อเทียบกับเรื่องที่ทำที่นี่ น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณนี้
ฟางหนิง “งั้นพวกเราต้องไปเมืองจี้ ระดับมิตรภาพในพื้นที่นั้นอยู่ที่ขั้นตอนไหนแล้วล่ะ”
ระบบ “จัดอยู่ในขั้นมิตรภาพในพื้นที่ หลังจากกำจัดมารร้ายตระกูลไป๋ได้ ช่วยพวกเขากำจัดกลุ่มมารกินคน”
ฟางหนิง “ห่างจากขั้นความไว้ใจอีกไกลไหม”
ระบบ “น่าจะต้องจับอย่างน้อยสองเดือนกระมัง”
ฟางหนิงครุ่นคิด เมืองฉีห่างกับเมืองจี้ไม่มากนัก ถ้าหากระบบแปลงเป็นมังกรบินไปกลับ ใช้ความเร็วเหนือเสียงก็จะไม่ถึง 20 นาที ใกล้กว่าคนส่วนใหญ่ออกจากบ้านไปทำงานเสียอีก
อีกอย่างที่นั่นมีประชากรมากถึง 20 กว่าล้านคน และยังเป็นมหานครนานาชาติ ใช้เป็นฐานทัพจับปีศาจสาขาสองได้ สล็อตพลังปราณที่ใช้ไปคาดว่าจับแค่ไม่กี่วันก็คงได้คืนแล้ว แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ วิ่งด้วยความเร็วสูงในรูปลักษณ์คนก็ไม่ถึงสองชั่วโมง
ฟางหนิงเอ่ยขึ้น “งั้นไปครั้งนี้ พวกเราจะไปอยู่ชั่วคราว ให้มนุษย์กลไกตัวแสดงแทนกลับมาก็ได้ ร่องรอยกิจกรรมระหว่างสองสถานะจะได้ไม่เหมือนกันเกินไป ฟางหนิงไปที่ไหน อัศวิน A ก็ตามไปที่นั่น ฟางหนิงกลับมา อัศวิน A ก็กลับมา”
ระบบ “ตกลง”
…………
วันรุ่งขึ้นฟางหนิงกับประธานจ้าวพร้อมคนติดตามก็เร่งเดินทางไปที่เมืองจี้ ถึงจุดหมายแล้วพวกเขาก็ตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับไปยังวิลล่าเทียนฮุ่ยในเขตชานเมืองแห่งหนึ่งของเมือง แต่เมื่อลงรถประธานจ้าวก็ขมวดคิ้วทันที
ประธานจ้าว “ทำไมถึงดูรกร้างอย่างนี้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่น่าเชื่อถือมากแนะนำมา แถมป้าของเธอก็บอกว่าไม่มีปัญหา ฉันคงคิดว่าเป็นพวกต้มตุ๋นแน่นอน สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งอันตรายมากด้วย ต้องระวังมากขึ้นหน่อยแล้ว”
ฟางหนิงลงรถตามมา ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ ที่นี่เหมือนกับสำนักงานใหญ่หน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีที่ตั้งอยู่ในเขตภูเขา ทั้งสี่ด้านโอบล้อมด้วยเนินเขาสูงต่ำเป็นทิวแถว สีเขียวบนภูเขาในฤดูใบไม้ร่วงต่างจากฤดูหนาวไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้เหี่ยวแห้ง มีเพียงถนนสายเดียวที่ผ่านภูเขาเพื่อเข้ามาที่แห่งนี้
วิลล่าเทียนฮุ่ยใช้รั้วเตี้ยล้อมรอบเนินเขาหลายลูก ด้านในมีอาคารสองสามชั้นหลายหลัง นอกจากนี้ยังมีทุ่งขนาดใหญ่ที่ปลูกพืชไม่รู้จักชื่อ บางส่วนมีโรงเรือนพลาสติกคลุม ถ้าหากไม่รู้มาก่อนว่าเป็นวิลล่า จะต้องเข้าใจว่าที่นี่คือฟาร์มชานเมืองขนาดใหญ่แน่นอน ไม่ใช่สถานที่ฝึกบำเพ็ญแต่อย่างใด
ฟางหนิงไม่สนใจว่าที่นี่จะรกร้างหรือไม่ เขาปลอบใจ “บางทีถ้ามันตั้งอยู่ในภูเขา อาจทำให้พลังชีวิตมากขึ้น และอาจจะสะดวกต่อการฝึกบำเพ็ญของเราก็ได้นะครับ”
คิ้วประธานจ้าวถึงค่อยคลายออกจากกัน “คงจะเป็นเพราะเหตุนี้จริงๆ พวกเราตามพวกเขาเข้าไปเถอะ แต่ต้องคอยระวังตลอดนะ”
ฟางหนิงพยักหน้า ประธานจ้าวไม่ใช่คนกลัวความลำบากแน่นอน เพราะเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากมือเปล่า เขาเคยพูดกับฟางหนิงว่าตนเคยลำบากมากกว่านี้
ที่พักและอาหารที่นี่ก็ดีทีเดียว เพียงแต่คงเป็นเพราะประธานจ้าวเคยชินกับฝีมือปรุงอาหารของมนุษย์กลไกตัวแสดงแทนฟางหนิง จึงแสดงท่าทางไม่ชอบใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่เพราะเป็นผู้มาเยือน เขาคงแอบบอกให้ฟางหนิงไปแสดงฝีมือแล้ว
วันรุ่งขึ้นคือวันเข้าเรียนอย่างเป็นทางการ
เมื่อฟางหนิงกับประธานจ้าวเดินตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับไปถึงห้องเรียน ด้านในก็มีเสียงสนทนาเบาๆ ดังขึ้น
“ประธานกัว สวัสดีๆ”
“ประธานเซี่ยก็มาด้วยหรือ ช่างบังเอิญจริงๆ”
บทสนทนาทำนองนี้ทยอยดังมาไม่ขาด แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่อยากเปิดเผยสถานะ เสียงพูดจึงเบามาก
เมื่อสองคนเข้าไปก็มีคนทักทายพวกเขาเช่นกัน แต่ครั้งนี้เสียงไม่เบาเลย
“เหล่าจ้าว แกมาจริงๆ ด้วย! รู้อยู่แล้วว่าแกจะต้องมาก็เลยไม่ได้เรียก”
เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าที่มุมหนึ่งของห้องเรียนมีชายร่างอ้วนคนหนึ่งส่วนสูงราว 160 เซนติเมตร และน้ำหนัก 200 กิโลกรัมกำลังร้องทักทายมาทางประธานจ้าว ทำให้คนที่อยู่รอบๆ ส่งสายตาไม่พอใจ
ประธานจ้าวส่งสายตาขอโทษขอโพยคนรอบข้าง ก่อนจะโบกไม้โบกมือแสดงท่าทางว่าไม่รู้จักชายอ้วนคนนี้
“แกจะแกล้งไปทำบ้าอะไรก็เศรษฐีใหม่บ้านๆ เหมือนกันหมอดนั่นแหละ จะแกล้งทำเป็นคนมีการศึกษาไปทำไมกัน” ตาอ้วนหลิวไขมันกระเพื่อมดึงประธานจ้าวไปนั่งข้างตัวเอง
ฟางหนิงรู้ดีว่าสองคนเป็นเพื่อนซี้เก่าแก่กัน จึงย่อมไม่อาจปฏิเสธตาอ้วนหลิวได้ แม้ว่าการทำเรื่องนี้จะง่ายมากก็ตาม
ประธานจ้าวสีหน้ากังวล ก่อนหย่อนกายลงนั่งข้างตาอ้วนหลิว จากนั้นก็รีบเรียกฟางหนิงไปนั่งด้วย
“คนนี้คือว่าที่ลูกเขยที่แกหามาหรือ ใช้ได้ๆ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนเก่ง หมู่นี้ฉันแวะไปร้านอาหารตระกูลฟางของคุณหลายครั้ง เจ๋งจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่คุณลงมือทำอาหารเอง ไม่มีใครเทียบได้เลย น่าเสียดายที่จองยากเหลือเกิน” ตาอ้วนหลิวเป็นกันเองกับฟางหนิงยิ่งกว่ากับประธานจ้าวเสียอีก เอ่ยชมเขาไม่ขาดปาก
ฟางหนิงรู้ดีว่าเรื่องที่เขาพูดถึงจะเป็นมนุษย์กลไกที่แสดงแทนตัวเอง แต่ระบบไม่มีทางลงครัวทำอาหารต้อนรับแขกที่ไม่เกี่ยวข้อง
“สวัสดีครับประธานหลิว” ฟางหนิงทักทายด้วยความสุภาพ
ขณะที่ทั้งสามคนสนทนากัน ตอนนั้นเองก็มีผู้ชายคนหนึ่ง สีผิวคล้ำ รูปร่างกำยำแข็งแรงเดินเข้ามาในห้องเรียน
ผู้ชายคนนั้นยืนบนเวทีพลางกวาดตามองเหล่าเศรษฐีที่นั่งอยู่ด้านล่างเวที สายตาฉายแววดูแคลนแวบหนึ่ง
“อืม” เสียงของเขาไม่ดังมากนัก แต่ก็ทำให้ทุกคนตะลึง เสียงนั้นราวกับมีพลังทะลุจิตใจคน
เสียงซุบซิบในห้องเรียนเงียบกริบลงทันที
“ฉันแซ่สวี่ เรียกว่าครูฝึกสวี่ก็ได้ ตลอดหนึ่งสัปดาห์นี้ฉันจะรับผิดชอบสอนพวกคุณ พูดตามจริงแล้ว สอนพวกคุณเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก แต่ใครใช้ให้ฉันแพ้เจ๊ไห่ที่สอนห้องข้างๆ ล่ะ เธอได้สอนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ได้รับคัดเลือกจากโรงเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายทั่วประเทศ แต่ฉันกลับได้รับมอบหมายแค่ให้ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์กับพวกคุณ”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ชายวัยกลางคนสวมแว่นตากรอบทองก็ยกมือขึ้นแสดงความต้องการว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“คุณมีมารยาทมาก ก็ได้ ลุกขึ้นพูดเถอะ ”ครูฝึกสวี่ยืนพิงโต๊ะบรรยายเอ่ยเสียงเนือยๆ
ชายวัยกลางคนสวมแว่นยิ้มบาง “ครูฝึกสวี่ครับ ฉันคิดว่าการเคารพควรจะเกิดขึ้นจากสองฝ่าย ในเมื่อพวกเราจ่ายเงินค่าสมาชิกก้อนใหญ่มาเรียนที่นี่ เวลาคุณพูดขอให้ระวังน้ำเสียงหน่อยด้วยครับ”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ทุกคนฟังแล้วรู้สึกเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิ จิตใจพลันสงบทันที
ทว่าครูฝึกสวี่คล้ายกับไม่รู้สึกอะไร เพียงส่งยิ้มบางกลับไปให้ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดปัญหานี้ เอาล่ะ นี่คือครั้งแรกที่ฉันจะอธิบายและจะเป็นครั้งเดียวด้วย”
เขาพูดต่อไปเรื่อยๆ “เมื่อครู่ที่ฉันพูดนั้นก็คือบทเรียนแรกสำหรับพวกคุณ”
“บทเรียนแรกก็คือ การเรียนรู้ว่าจะเคารพผู้แข็งแกร่งยุคใหม่อย่างไร!”
เขาพูดพลางยกมือขึ้นจัดทรงผมไถเรียบ ใบหน้าชายหนุ่มสวมแว่นกรอบทองที่นั่งอยู่ห่างจากเขาไปเจ็ดแปดโต๊ะพลันมีฝ่ามือขนาดเท่าพัดใบลานฟาดลงบนหัวทันที!
ชายคนนั้นตกตะลึง เพียงแต่ฝ่ามือกลับหยุดอยู่ห่างจากใบหน้าเขาเพียงไม่กี่คืบ แต่สายลมที่กระพือเข้ามาก็เกือบจะพัดแว่นตาของเขาร่วงลงพื้น
ครูฝึกสวี่มองไปทางเขาพลางเอ่ย “ว่าไง คุณคงไม่คิดว่าฉันแค่ขู่ให้กลัวใช่ไหม ฉันบอกทุกคนได้เลย ถ้าหากฟาดจริงๆ ละก็ นักเรียนคนนี้สมองหายแน่นอน ต่อให้มีกล้องวงจรปิดก็ไม่มีทางที่ใครจะใช้กฎหมายปัจจุบันฟ้องฉันได้หรอก”
“เกินไปแล้ว”
“กล้าทำแบบนี้กับพวกเราได้ยังไง”
คนกลุ่มหนึ่งไม่พอใจเช่นกัน ชายคนนี้ช่วยพูดแทนพวกเขา จุดยืนของพวกเขาย่อมชัดเจน
ครูฝึกสวี่ส่ายหน้าท่าทางผิดหวัง “ทำไมหลายคนถึงยังไม่เข้าใจอีก ตอนนี้ฉันคือคนที่เบื้องบนยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่แล้วส่งมาสอนพวกคุณ ถึงได้ใจเย็นและไม่ตบหน้าเขาจริงๆ แต่น้ำเสียงเขาเมื่อครู่กลับปีนเกลียว ถ้าหากเจอกับผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณคิดว่าอีกฝ่ายจะยั้งมือไหมล่ะ”
ชายสวมแว่นกรอบทองคนนั้นค่อยๆ นั่งลง ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา แต่ไม่มีใครเห็นว่าหลังจากนั่งลงแล้ว แววตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าสว่างวาบแล้วหายไป
เวลานี้เองฟางหนิงเองที่ขุ่นเคืองเช่นกันก็ได้ยินระบบเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเมื่อครู่มีจุดแดงกะพริบแวบหนึ่ง หรือว่ามีปีศาจผ่านมา”
ฟางหนิงพูดไม่ออก “ตอนนี้กำลังเรียน เงียบหน่อย อย่าเพิ่งครองร่างฉันก่อน บนเวทีมีคนกำลังเสแสร้งบางอย่าง พวกเราต้องให้ความร่วมมือกับเขาหน่อย…”
ระบบ “ถ้าเขาเสแสร้งใส่พวกเราบ้างจะทำไงล่ะ”
ฟางหนิง “สู้กลับ! อย่าเปิดเผยสถานะเป็นใช้ได้”
…………………………………………………….