บทที่ 108 ปัญหายังคงต้องโยนให้โฮสต์
ประธานจ้าวได้ยินแบบนั้นก็ลุกจากโซฟาทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าประหม่าและน้ำเสียงร้อนรนว่า “ที่รัก ไม่มีอะไรใช่ไหม?”
คุณนายจ้าวตรวจจับอย่างละเอียด ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็เปี่ยมยิ้ม เธอโบกมือและพูดว่า “อย่ากังวลไป จากสัญชาตญาณสายเลือดนารีมังกรของฉัน ฉันไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ดูเหมือนโอกาสครั้งใหญ่ในเส้นทางแห่งการฝึกฝนของฉันกำลังจะมาถึง!”
หลังจากประธานจ้าวได้ยิน สีหน้าของเขากลับยิ่งประหม่ามากขึ้น
เขาจับใบหน้าที่เริ่มมีกระขึ้น และมองไปที่พุงน้อยๆ ของตัวเอง แล้วมองไปที่โฉมหน้างดงามที่ดูเหมือนสาววัยสามสิบของภรรยา ทันใดนั้นก็รู้สึกกดดันอย่างมาก
เขาคิดในใจว่า ‘หมู่นี้ภรรยามีความเพียรในการฝึกฝนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากยังไม่ลืมที่จะไปทานข้าวที่บ้านของลูกเขยในอนาคตอย่างสม่ำเสมอแล้ว นับวันเธอก็ยิ่งสนใจเรื่องในบ้านและเรื่องนอกบ้านน้อยลง’
คนรับใช้ในบ้านก็ไม่ได้เห็นหน้าเธอนานแล้ว
และนี่ ต้องรอให้ถึงสิ้นปี จึงจะได้เห็นนายหญิงของตัวเอง
แล้วตอนนี้จะได้รับโอกาสครั้งยิ่งใหญ่อีกเหรอ หากภรรยาหมกมุ่นกับการฝึกฝนมากเกินไป เธออาจจะทิ้งสามีและลูกสาวเพื่อไปฝึกตนเป็นเซียนก็ได้…
คุณนายจ้าวไม่รู้ว่าสามีของตนตกอยู่ในความคิดฟุ้งซ่าน ทันทีที่เธอพูดจบ จู่ๆ ก็เหมือนถูกอะไรบางอย่างชนเข้า เธอชะงักและแสดงสีหน้าตกใจ
ในเวลานี้ ดูเหมือนเธอจะพบอะไรบางอย่างเข้าแล้ว จึงรีบหันไปมองทางหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน แต่กลับเห็นเพียงกระถางดอกไม้ไม่กี่กระถาง และไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
“ตาแก่จ้าว เมื่อกี้คุณเห็น ‘แสงสีขาวกะพริบ’ อะไรทำนองนั้นไหม?”
“ไม่ได้สังเกต…” ประธานจ้าวตอบตามสัญชาตญาณ แต่ทันทีที่เขาพูดจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป และรีบวิ่งไปหาคุณนายจ้าว กางแขนออก และขวางทิศทางหนึ่งเอาไว้ “ไม่ ตอนนี้มันปรากฏตัวแล้ว ที่รัก คุณรีบไปเร็ว…”
คุณนายจ้าวมองไปยังทิศทางที่ตาแก่จ้าวขวางอยู่ทันที ก็เห็นเส้นสีขาวเรียวยาวสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง ซึ่งประธานจ้าวไม่สามารถขวางมันได้เลย มันอ้อมมาและพุ่งเข้าหาตนโดยตรง…
“ที่รักรีบไปเร็วเข้า ขึ้นไปเรียกเหยาเหยาแล้วออกไปด้วยกัน ฉันจะขวางมันไว้ก่อน!” ทันทีที่ประธานจ้าวพูดจบ ก็ถูกคุณนายจ้าวที่อยู่ข้างๆ ตบเข้าที่หัวทีหนึ่ง
“ขวางอะไรกัน! นี่ก็คือโอกาสที่มาถึงของฉัน! รีบหลีกไปซะ!” คุณนายจ้าวไม่เห็นค่าเลยสักนิด แต่กลับพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น และยื่นมือผลักสามีตัวเองออกไป
ประธานจ้าวรู้สึกได้ถึงพลังอันแรงกล้าที่มาจากมือของภรรยา จากนั้นก็หมุนตลบไปหลายรอบอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ และสุดท้ายก็ล้มลงบนโซฟาข้างๆ และทำได้เพียงมองภรรยาด้วยแววตาผู้ไร้เดียงสา
เห็นเพียงคุณนายจ้าวมุ่งตรงไปยังเส้นสีขาวสายนั้น ดวงตาเป็นประกาย แววตานั้นเหมือนกับตอนที่เธอเห็นแกะย่างทั้งตัวที่ฟางหนิงยกมาตอนไปงานเลี้ยงครั้งแรก
เส้นสีขาวสายนั้นไหลเข้าไปในร่างกายของคุณนายจ้าว หลังจากนั้น คุณนายเจ้าก็หลับตาลง สีหน้าเปลี่ยนจากความตื่นเต้นเป็นสงบ จากสงบเป็นเคร่งขรึม และสุดท้ายจากเคร่งขรึมก็กลายเป็นศักดิ์สิทธิ์
จังหวะการเปลี่ยนสีหน้านี้ ทำให้ประธานจ้าวรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเหลือเกิน
ประธานจ้าวถามขึ้นด้วยความประหม่า “ที่รัก โอกาสอะไรกันแน่? ทำไมเมื่อกี้รู้สึกว่าคุณตื่นเต้นกว่ากินอาหารมื้อใหญ่ที่ฟางหนิงทำสักอีก?”
“อยู่เงียบๆ ไม่ต้องพูด อย่าเพิ่งรบกวนก่อน ฉันกำลังตระหนักในสัจธรรม…”
คุณนายจ้าวไม่แม้แต่จะลืมตา และไม่ให้คำอธิบายใดๆ
ประธานจ้าวไม่พูดอะไรอีก เพื่อไม่ให้รบกวนภรรยา จึงทำได้เพียงแอบสงสัยในใจ
มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ซ่อนตัวอยู่นอกหน้าต่าง ซึ่งก็เกิดความสงสัยเช่นกันเดียวกัน
ไม่สิ โฮสต์ขี้เกียจสามารถกระตุ้นการตั้งค่าลับได้สองครั้ง และได้รับสองความสำเร็จกล้าหาญพิเศษที่มีเพียงหนึ่งเดียว แม้แต่ในคำชี้แจงเองก็แจ้งว่า “โฮสต์สำเร็จความโหยหา ‘XX’ อะไรทำนองนั้น”
แต่ความโหยหาทั้งสองของโฮสต์นั้นดูลึกลับ แต่จะว่าไปแล้ว ทั้งหมดก็เป็นเรื่องเดียวกัน ก็แค่การต้องทดแทนบุญคุณ ใครดีกับฉัน ฉันก็จะดีกับคนนั้น
จะว่าไปการที่ปีศาจงูตัวนี้ถ่ายทอดทักษะวิชา ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ เบื้องต้นให้กับโฮสต์ก่อนนี้ ระบบจึงสามารถสรุป ‘การเปลี่ยนร่างมังกร’ ฉบับสมบูรณ์ออกมาได้ และหลังจากนั้นถึงจะสามารถชนะศัตรูได้อย่างรวดเร็ว
แม้จะเคยได้ยินโฮสต์บอกว่า ณ ตอนนั้นเธอน่าจะไม่มีจุดประสงค์อื่น แต่ก็ถือได้ว่ามีบุญคุณใหญ่หลวงกับโฮสต์
ตอนนี้เธอเป็นพันธมิตรด้วย ซึ่งได้รับการตัดสินโดยกฎเกณฑ์ความเป็นมิตร ระบบมอบพลังลึกลับโพธิสัตว์ปีศาจแก่เธอ ซึ่งจำต้องเป็นการช่วยโฮสต์ตอบแทนบุญคุณ
แล้วทำไมตอนนี้ยังกระตุ้นตั้งค่าลับไม่ได้ล่ะ? ต้องสำเร็จความโหยหาของโฮสต์อีกหนึ่งสิ่ง และเปิดใช้งานความสำเร็จกล้าหาญอีกหนึ่งความสำเร็จหรือ?
เป็นไปได้ว่าโฮสต์จะปากไม่ตรงกับใจ และไม่มีจิตสำนึกที่จะตอบแทนพระคุณของอาจารย์ปีศาจงูเลย?
ไม่สิ ดูออกว่าแม้โฮสต์จะขี้เกียจ แต่ก็ยังคงรู้สึกขอบคุณครอบครัวอาจารย์ปีศาจงูของเขา ตอนที่ฆ่าปีศาจฝันร้ายครั้งที่แล้ว เขาเป็นคนพูดด้วยว่าจะปล่อยให้ประธานจ้าวหิวไม่ได้
หรือเป็นว่ากฎเกณฑ์คิดว่าความปรารถนาที่คิดจะตอบแทนบุญคุณของระบบไม่แรงกล้าพอ เช่นนั้นจะลองเติมพลังให้เธอมากขึ้นอีกสักหน่อย…
หลังจากเทพแห่งระบบวิเคราะห์อยู่นาน ก็ควบคุมอัศวิน A ให้รวบรวมกำลัง และส่งไอสีขาวที่หนากว่าเดิมไปยังปีศาจงู
ส่วนประธานจ้าวนั้นตะลึงอยู่ข้างๆ เส้นสีขาวนั้นกลับยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหนาเท่าปากถ้วย! ซึ่งมันน่ากลัวไปหน่อย ภรรยาของเขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?
แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าศักดิ์สิทธิ์ของเธอก็ไม่กล้าพูดเตือนเหมือนกัน
…
ถูกต้อง เทพแห่งระบบผู้ตระหนี่แต่ฉลาดแอบขโมยเวลานอนของฟางหนิง มันไม่แม้แต่จะหารือด้วยซ้ำ แต่กลับวิ่งออกมาทำการทดลองอย่างรีบเร่งแล้ว ‘เพียงแค่มาทดสอบสักหน่อยว่าช่วยโฮสต์ตอบแทนบุญคุณจะสามารถกระตุ้นความสำเร็จกล้าหาญอีกหนึ่งประการหรือไม่’
ซึ่งมันเป็นเพราะว่าทักษะในตำนานที่เพิ่งได้รับมานั้นมีค่ามากจริงๆ มันไม่ธรรมดาสำหรับเทพแห่งระบบเลย ไม่ว่าจะฟาร์มบอสใหญ่กี่ตัวก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้
ตอนนั้นฟางหนิงคิดเพียงแค่เรื่องจะช่วยเพื่อนร่วมทีมอะไรทำนองนั้น แต่มันกลับคิดถึงด้านการต่อสู้ อาศัยทักษะนี้ สามารถแสดงลูกไม้ใหม่ๆ ได้จำนวนมาก
นี่ไม่ใช่เพราะไอคิวของฟางหนิงสู้เทพแห่งระบบไม่ได้ เพียงแต่ทั้งสองมีนิสัยการคิดที่แตกต่างกัน ในมุมมองของเทพแห่งระบบ การฝึกวิทยายุทธ์และการอัพเลเวลถึงจะเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะทำอะไรต่างก็ทำเพื่อสิ่งนี้ แน่นอนว่าเมื่อมีอะไรดีๆ ปรากฏ ก็ต้องคิดก่อนว่าจะสามารถใช้ในการฝึกวิทยายุทธ์หรืออัพเลเวลปีศาจได้หรือไม่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าพลังของสารีริกธาตุถูกใช้ไปเกือบครึ่ง ก็ยังไม่มีแจ้งเตือนใดๆ จากระบบปรากฏ ในที่สุดเทพแห่งระบบก็ต้องผิดหวัง ‘หากต้องการเพิ่มแรงปรารถนาในการตอบแทนพระคุณอีก เว้นแต่จะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้ไปเลย หรือมอบของดีอื่นๆ…’
มันจะเป็นไปได้ยังไง… ใช้พลังที่ยังไม่ได้ใช้ชั่วคราวมาทำการทดลอง ลงทุนกับความเสี่ยงครึ่งเดียวยังพอว่า แต่ถ้าต้องมอบของดีที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างมากนี้ออกไปนั้นไม่ได้เด็ดขาด
สำหรับสิ่งที่เป็นทักษะวิชานั้น ไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเทพแห่งระบบเลย ถ้าไม่จำเป็นมันจะไม่เปิดเผยเบื้องลึกของตัวเอง เพื่อไปถ่ายทอดทักษะวิชาให้คนอื่น
จนถึงตอนนี้ มันเคยถ่ายทอดทักษะวิชาที่ไม่มีนัยสำคัญให้กับฉีเยียน ที่เหลือนั้น ก็เป็นเพียงผู้ติดตามที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันได้
สุดท้ายเทพแห่งระบบก็ตัดสินใจยอมแพ้ เดี๋ยวรอโฮสต์ตื่น ค่อยโดยเรื่องยุ่งยากนี้ให้เขาดีกว่า…
อัศวิน A บินออกจากหลังคาบ้านตระกูลจ้าวอย่างเงียบๆ เหลือเพียงคุณนายจ้าวที่ตื่นเต้นจนคุมตัวเองไม่อยู่ และตาแก่จ้าวที่เต็มไปด้วยความสงสัย
คุณนายจ้าวที่ดูดซึมพลังจากสวรรค์ แสดงสีหน้าเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ มีท่าทีว่ากำลังจะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ ทำให้ตาแก่จ้าวรู้สึกไม่สบายใจ
“ฮ่าๆๆๆๆ! ไม่คิดว่าฉันนั่งอยู่ที่บ้านจะได้เจอสมบัติจากสวรรค์!” ทันใดนั้นคุณนายจ้าวก็เอามือเท้าเอว และแหงนหน้าหัวเราะลั่น ไม่มีความสุขุมของสตรีผู้สูงศักดิ์เลยสักนิด “เดิมทีพวกนิยายที่เสี่ยวฟางอ่าน เนื้อหาในนั้นก็เป็นเรื่องโกหก แต่ก็มีพื้นฐานมาจากความเป็นจริงเหมือนกันนะ!”
น้ำเสียงที่คุ้นเคย! ท่าทางที่คุ้นเคย! เมื่อประธานจ้าวเห็นดังนี้ จึงไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไปแล้ว จากท่าทางดีใจจนลืมตัวของภรรยา ไม่สามารถไปเป็นพระโพธิสัตว์ได้หรอก…
หลังจากพูดจบ เมื่อคุณนายจ้าวเห็นว่าสามีกำลังมองตัวเอง จึงตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองค่อนข้างยั้งสติไม่อยู่
เธอส่งเสียงไอ ‘แค่กๆ ’ “คุณจ้าว เมื่อครู่คุณเห็นอะไรไหม?”
ประธานจ้าวพูดตรงๆ ว่า “ไม่เพียงแต่ไม่เห็นอะไร แต่ยังไม่ได้ยินอะไรด้วย”
คุณนายจ้าวแสดงทีท่าพอใจ “แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”
ประธานจ้าวคิดในใจ ‘ผมจะไปรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น? ผมรู้เพียงแค่ว่าคุณจะหมกมุ่นมากเกินไปแล้ว’
แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดแบบนี้ จึงพลั้งปากว่า “คุณทำบุญสร้างกุศลมาโดยตลอด ถือศีลกินเจมาก็ไม่น้อย เมื่อครู่ขณะแสงสีขาวดวงนั้นสัมผัสกับคุณโดยตรง ก็เห็นคุณมีท่าทางเคร่งขรึมขึ้น หรือเป็นความเมตตาจากพระโพธิสัตว์ ที่มาช่วยคุณในการฝึกฝน?”
เมื่อคุณนายจ้าวได้ยินก็ตะลึงในคำพูดทันที และกวาดมองสามีของตนตั้งแต่หัวจรวดเท้า แน่ใจแล้วว่ายังเป็นสามีคนเดิมจึงพูดขึ้นว่า “ไม่เลวนี่ ตาแก่จ้าว ในการฝึกฝนคุณเปิดได้เพียงหกทวารจากทวารทั้งเจ็ด แต่ประสบการณ์ความรู้ของคุณกลับไม่เลวเลย ไม่เสียเงินเปล่าไปกับการซื้อข้อมูลมากมายเช่นนั้นจริงๆ เหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นในวันนี้เกี่ยวข้องกับพระโพธิสัตว์จริงๆ หลิ่วหรูอย่างฉันก็จะสามารถฝึกตนให้กลายเป็นไป๋ซู่ได้… ไม่ ไม่ หมายถึงมีความเป็นไปได้ที่จะบำเพ็ญตบะสำเร็จน่ะ”
ประธานจ้าว “ดูเหมือนผมจะได้ยินชื่นที่ค่อนข้างคุ้นเคย…”
“นั่นเป็นเพราะคุณได้ยินผิด รีบลืมมันไปซะ” คุณนายจ้าวโบกมือ และไม่มีทีท่าปฏิเสธ “เดี๋ยวฉันจะไปดูลูกสาวสักหน่อย และแบ่งปันความเมตตาของพระโพธิสัตว์ให้เธอฟัง คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกฝนเลย รอให้ฉันฝึกจนก้าวหน้าสักนิดค่อยว่ากันอีกที”
ประธานจ้าว “เรื่องนี้ผมรู้ แต่คุณอย่าหักโหมเกินไป ตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องแบกรับความปลอดภัยของครอบครัวไว้ที่ตัวเอง เสี่ยวฟางเจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งมาก แม้แต่มังกรตัวจริงก็กินเพียงอาหารของเขา เท่ากับว่าเรามีคนที่สามารถพึ่งพาได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ที่ผมได้รับการช่วยเหลือครั้งที่แล้วนั้น ล้วนแต่เป็นเพราะเสี่ยวฟาง เพียงแต่ตอนนั้นผมไม่ได้พูดแบบนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงคนของสำนักสัจธรรมไปตรวจสอบเขาอีก เพราะเจ้าเด็กนั่นกลัวความยุ่งยากมากที่สุด”
คุณนายจ้าว “เฮ้อ ตอนนั้นฉันตกใจมากจริงๆ! คุณพูดถูก โชคดีที่มีเสี่ยวฟางอยู่ เราจึงมีคนที่พึ่งพาได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน เขาเก่งมากจริงๆ เมื่อก่อนฉันยังเข้าใจผิดว่าเขาจะเป็นมังกรตัวจริงเสียอีก แต่ไม่คิดว่าข้อมูลที่ซื้อมาได้เร็วๆ นี้นั้น บอกว่าเขาเป็นมังกรตัวจริง น่าเสียดายแม้ว่าเขาจะเป็นเผ่าเดียวกับฉัน แต่เขาอยู่อีกโลกหนึ่ง ความเป็นญาติจึงค่อนข้างไกล ไม่เช่นนั้นสามารถไปทำความรู้จักกันถึงที่โดยตรง…”
“แต่ตอนนี้สถานการณ์คาดเดาได้ยาก ตัวเองต้องแข็งแกร่งจึงจะเป็นผลดี อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอันตรายใกล้เข้ามา มังกรตัวจริงก็ไม่สามารถมาถึงในทันที ดังนั้น ฉันจึงจำเป็นต้องรีบฝึกฝน อย่างน้อยเมื่อเกิดอันตราย จะสามารถยื้อจนรอให้เขามาถึง”
เมื่อประธานจ้าวได้ยินก็รู้สึกตื้นตันใจ จึงเดินมาโอบไหล่ภรรยา “ลำบากคุณแล้วจริงๆ คุณอยากทานอะไรอร่อยๆ ไหม เดี๋ยวให้คนเตรียมวัตถุดิบ ผมจะทำให้คุณทานเอง”
คุณนายจ้าวกลอกตา และพูดอย่างไม่แยแสว่า “เอาเถอะ คุณอย่าทำลายของดีเลย รอพรุ่งนี้เมื่อเสี่ยวฟางมาถึง ให้เขาทำเถอะ”
ประธานจ้าวรู้สึกจนปัญญา “เชิญเสี่ยวฟางมาที่บ้าน เพื่อเป็นแขกรับเชิญ ปีนี้จะผ่านไปแล้ว เขาอยู่บ้านคนเดียวรู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป มีที่ไหนบนโลกที่ให้แขกรับเชิญทำอาหารบ้าง?”
คุณนายจ้าวถลึงตาใส่ตาแก่จ้าว “ทำไม? ฉันเป็นทั้งอาจารย์และว่าที่แม่ยายของเขาเชียวนะ พรุ่งนี้ฉันเองก็จะแบ่งปันรางวัลจากพระโพธิสัตว์นี้ให้เขาด้วย ฉันมองเขาเป็นคนในครอบครัวนานแล้ว ให้เขาเข้าครัวสักหน่อยจะเป็นอะไรไป?”
ประธานจ้าว “เฮ้อ เสี่ยวฟางเป็นคนว่าง่าย ทุกครั้งที่คุณไปทานข้าว พวกเราก็รบกวนเขาไม่น้อยอยู่ไม่น้อย ครั้งนี้ให้เขาพักสักหน่อยเถอะ”
คุณนายจ้าวจนปัญญา “ตกลง คุณพูดแบบนี้แล้ว พรุ่งนี้คุณก็ทำอาหารเองเถอะ ดูสิว่าลูกสาวสุดที่รักของคุณจะกินลงไหม?”
ประธานจ้าวส่ายหน้าไปมา “เป็นไปไม่ได้ที่จะกินไม่ลง เหยาเหยาชอบกินอาหารที่ฉันทำมากที่สุด”
…………………………………………………………………