เมื่อผมโดนระบบครองร่าง – บทที่ 155 สู่โลกภายนอกอันกว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด

บทที่ 155 สู่โลกภายนอกอันกว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด

บทที่ 155 สู่โลกภายนอกอันกว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด

ฟางหนิงสงสัยใคร่รู้มานานแล้วว่าพลังจิตมนุษย์คืออะไรกันแน่

ในยุคแรกๆ เมื่อระบบกลายร่างเป็นมังกรครั้งแรกก็มีบางคนเข้าใจผิดว่ามันเป็นมังกรแท้ อีกทั้งการแจ้งเตือนของระบบก็ปรากฏข้อความ ‘ระดับการเพิ่มขึ้นของความโปรดปรานของเทพเจ้ามังกรแท้’ หลายครั้ง

เขารู้ว่าเทพเจ้ามังกรตัวจริงองค์นี้เกิดขึ้นจากการรวบรวมพลังจิตมนุษย์ของชาวเสินโจว แต่ไม่รู้ว่าวิธีรวบรวมพลังจิตคืออะไรกันแน่ เขาไม่รู้อะไรเลย และไม่อาจสืบถามเรื่องนี้ได้ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาขี้เกียจที่จะสอบถาม…

ตอนนี้มีตัวอย่างตัวเป็นๆ อยู่ใกล้ๆ และแน่นอนว่าเขาต้องมองมันให้ละเอียด

เมื่อฟางหนิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนึ่งนกอินทรีหนึ่งมังกรก็บินขึ้นไปบนหน้าผาสูง

บนยอดผามีรังนกอินทรีมหึมาขนาดเท่ากับห้องนอนใหญ่ของบ้านทั่วไป

อินทรีสวรรค์ “พี่มังกรรอสักครู่ ข้าจะไปหยิบของสำคัญที่ช่วยข้าซึมซับพลังจิตมนุษย์ ข้าเตรียมมันไว้นานแล้ว”

เมื่อพูดจบ มันก็กระโจนเข้าไปในรังนกอินทรีมหึมา หลังจากหายเข้าไปนาน มันก็คาบของชิ้นหนึ่งบินออกมา

ฟางหนิงสงสัยมากเหลือเกินว่าของสำคัญนั้นคืออะไร หรือจะเป็นของล้ำค่าบางอย่าง

กระทั่งนกอินทรียักษ์อ้าปากคายของที่มันคาบมาและผลักออกไป ของนั้นก็ลอยไปด้านหน้าและด้านหลังร่างของมังกรเพลิง เมื่อเห็นมัน ฟางหนิงก็ตกตะลึง

เห็นแค่ว่ามันเป็นหินแต่ไม่รู้ว่าไปได้หินก้อนนี้มาจากไหน และมันก็ถูกแกะสลักรอบด้าน

ฟางหนิงพยายามมองอยู่นาน กว่าจะแยกออกว่าด้านบนสลักจงอยปากนก กรงเล็บสองอันและปีกคู่หนึ่ง ทำให้เขานึกถึงไก่ย่างอย่างบอกไม่ถูก…

พูดไปแล้วเขาเองไม่ได้กินข้าวมานานแล้ว และตอนนี้เขาก็รู้สึกค่อนข้างหิว

มังกรเพลิง “นี่อะไร”

อินทรีสวรรค์ “มันคือของที่ข้าใช้เวลาสร้างถึงสิบปี หนึ่งกรงเล็บและหนึ่งจงอยปาก ข้าแกะสลักรูปเอง พี่มังกรโปรดดูมันประณีตและเหมือนมีชีวิตมากแค่ไหน”

มังกรเพลิง “มองไม่ออกเลยจริงๆ…”

ระบบ “ตกลงแล้วมันสร้างอะไรกันแน่”

ฟางหนิง “ฉันว่ามันดูเหมือนไก่ย่าง ระบบ แกคิดว่ายังไง”

ระบบตอบ “ฉันเห็นด้วย…”

ฟางหนิง “ช่างเถอะ แกรู้ศิลปะเล่นพิณ หมากล้อม พู่กันจีนและวาดภาพไม่ใช่เหรอ แค่วาดภาพให้มันก็พอแล้ว ฉันคิดว่าความหมายของมันน่าจะต้องการให้ใช้รูปแกะสลักเป็นสื่อกลางการถ่ายทอด ภาพเหมือนก็น่าจะได้ผลเหมือนกัน คนทั่วไปก็กราบไหว้บูชารูปเหมือนของเทพเจ้าและพระพุทธเจ้าได้”

การแจ้งเตือนของระบบ: (ระบบใช้ค่าประสบการณ์ 500 แต้มเพื่อใช้ทักษะการวาดภาพระดับต้นวาดภาพเหมือน ‘อินทรีสวรรค์’)

ระบบ “คุณไปหลอกเจ้านกโง่ตัวนี้ให้เปลี่ยนเป็นรูปนี้ ฉันรู้สึกว่ารูปแกะสลักนั้นไม่น่าเชื่อถือเกินไป”

ฟางหนิงเข้าครอบครองร่างกายแล้วเอ่ยขึ้น “สหาย รูปแกะสลักของเจ้านั้นงดงามมาก แต่เจ้าใช้เวลาทำตั้งสิบปี ควรเก็บรักษามันไว้ให้ดี ข้าเพิ่งใช้พลังเวทไปมากเพื่อวาดภาพเหมือนให้เจ้า เห็นไหมว่ามันใช้แทนรูปแกะสลักที่วิจิตรเหมือนมีชีวิตของเจ้าได้”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ภาพวาดขนาดใหญ่ยาวสิบเมตรและกว้างสามเมตรพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ

ภาพวาดทุ่งหญ้าขุนเขาสูง นกอินทรีตัวหนึ่งเกาะบนยอดเขา แลดูมีสง่าราศีและหล่อเหลาเป็นพิเศษจากการแสดงออกที่ร่าเริง

นกอินทรียักษ์มองดูม้วนภาพเพียงแวบเดียวก็ตกตะลึงไปในทันที และไม่อาจละสายตาได้อีก

มันบินขึ้นๆ ลงๆ และหัวของมันก็เข้ามาใกล้เป็นระยะๆ พลางร้องอุทาน “นกอินทรียักษ์ช่างงามสง่าน่าเกรงขามเสียนี่กระไร ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าจะหล่อเหลาได้ขนาดนี้”

ระบบ “เอ๊ะ ดูไอ้เจ้านี่สิ เหลือเชื่อ แป๊บเดียวกลายเป็นสีเขียวแล้ว”

ฟางหนิงมองดูแผนที่ระบบ วงกลมที่เป็นตัวแทนของนกอินทรียักษ์กลายเป็นสีเขียวแล้วจริงๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นพันธมิตร

ฟางหนิงวางใจ “ดูเหมือนหมอนี่จะซับซ้อนน้อยกว่างูจงอางตัวนั้นมาก สมองไม่คิดสลับซับซ้อน กลายเป็นสีเขียวง่ายมาก… แต่ฉันต้องรีบเรียกสติมันให้เร็ว ดูจากความหลงตัวเองของมัน ไม่ว่าจะพูดอะไร คงจะดูไปได้ทั้งวัน”

ฟางหนิงกล่าวต่อ “สหายคิดยังไงกับภาพนี้”

อินทรีสวรรค์พยักหน้า “ยอดเยี่ยมมากๆ”

ฟางหนิงถามว่า “สามารถทดแทนรูปแกะสลักของสหายได้หรือไม่”

จากนั้นอินทรีสวรรค์ก็หันศีรษะมองย้อนกลับไปที่รูปแกะสลักไก่ย่างที่ลอยอยู่ในอากาศ มันใช้เวลาถึงสิบปีทำงานหนักแกะสลักรูปแกะสลักไก่ย่างอย่างระมัดระวัง แลดูน่าเกลียดรับไม่ได้ ยิ่งมองยิ่งไม่ชอบ ไม่เปรียบเทียบไม่เจ็บใจ…

“ใครแกะสลักมันน่ะ ไม่เอาแล้ว” มันพูดพร้อมกับกระพือปีก รูปแกะสลักไก่ย่างก็กระเด็นขึ้นไปบนฟ้า กลายเป็นจุดดำหายลับตาไป

ฟางหนิงถึงกับพูดไม่ออก “สหายเด็ดขาดจริงๆ”

อินทรีสวรรค์อาลัยอาวรณ์มองดูม้วนภาพเป็นครั้งสุดท้าย “เป็นเรื่องยากสำหรับพี่มังกรที่จะใช้พลังเวทมากมายวาดภาพที่ทำให้โลกตะลึงนี้ให้ข้า เพราะภาพวาดนี้ ข้าอยากช่วยพี่มังกรสักครั้ง ม้วนภาพอันล้ำค่านี้เป็นของสำคัญในการซึมซับพลังจิตมนุษย์ดีกว่าอะไรทั้งนั้น แสดงท่วงท่าสง่างามน่าเกรงขามของข้าออกมาได้เต็มที่ เกรงว่าจะได้ผลเพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่เท่าตัว รอจนข้าใส่ตราพลังจิตลงไปก็ใช้ได้”

ขณะที่พูดสายตาของมันก็จ้องมองม้วนภาพ ‘อินทรีสวรรค์’ อีกครั้ง ครู่หนึ่งภาพลวงตาบางๆ ของนกอินทรียักษ์ก็ลอยออกมาจากตัวของมันช้าๆ แล้วโถมตัวเข้าไปในภาพ ‘ฟึ่บ’ สองร่างรวมเป็นหนึ่ง

ฟางหนิงมองดูด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นรูปนกอินทรีสวรรค์ที่เดิมทีเพียงแต่วิจิตรงดงามมากและมีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้หลังจากที่นกอินทรียักษ์เข้าไปแล้วก็มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นทันที ในภาพวาดนกอินทรียักษ์ดูเหมือนกำลังกระพือปีก อยู่ในอากัปกิริยาที่กำลังโบยบิน

หลังจากนั้นไม่นานฟางหนิงก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกนกอินทรียักษ์ในภาพกำลังบินอยู่ระหว่างภูเขาและทุ่งหญ้าในภาพวาดจริงๆ เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล เดี๋ยวต่ำเดี๋ยวสูง โฉบเฉี่ยวไปมา ราวกับแอนิเมชัน

สมกับที่เป็นอินทรียักษ์ที่ชอบ ‘โบยบินอย่างอิสระ’ จริงๆ อยู่ในภาพวาดก็ยังอยากจะบิน…

เพียงแต่เหลือเชื่อมันเต็มใจที่จะรับคำสั่งจากตนเองที่เป็นมังกรเพื่อได้รับการบูชาพลังจิตมนุษย์จากคนภายนอก คิดดูแล้วน่าจะมีเรื่องอะไรอย่างอื่นอีก เมื่อฟางหนิงคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่าบางทีหมองูเซ่อถีอาจจะไม่รู้ถึงความลึกลับที่แท้จริง งูจงอางตัวนั้นไม่มีทางพูดความจริงกับเขา บางทีงูนั้นอาจไม่ได้ทำไปเพื่อเลื่อนขั้นเท่านั้น ถึงได้ต้องการให้ชาวเทียนจู๋บูชามัน

“เอาล่ะ พี่มังกร ท่านส่งภาพนี้ไปยังดินแดนลับของท่านให้คนกลุ่มนั้นบูชามัน อี้สือซานเค่อ ข้าจะสัมผัสได้ถึงพลังจิต มนุษย์ที่บูชาจะมีประโยชน์กับข้าหรือไม่…”

ฟางหนิงพยักหน้าแล้วบอกให้ระบบเก็บรูปไปวางใน ‘เรือนจำพลังมังกร’ และให้แอนเดอร์สัน แบ่งปันให้ทุกคนได้ชมและบูชา โดยบอกว่านี่เป็น ‘อินทรีเทพพิทักษ์เรือนจำ’ เพิกเฉยมิได้

อี้สือซานเค่อ จะพูดว่าเร็วก็เร็วมาก ช้าก็ช้ามาก

ฟางหนิงกับระบบไม่รีบร้อน แต่นกอินทรียักษ์ก็กระพือปีกบินขึ้นลง ท่าทางดูกระวนกระวายมากแต่ก็พยายามจะยับยั้งชั่งใจ

ฟางหนิงอาศัยจังหวะนี้เอ่ยถาม “ข้าเห็นท่านฝึกฝนสำเร็จ มีอิสระเสรีในดินแดนมรดกแห่งนี้ แล้วทำไมถึงพยายามเลียนแบบงูจงอางนั่น อยากได้รับพลังจิตมนุษย์จากภายนอกล่ะ”

อาจเป็นเพราะความจริงที่ว่าเขากลายเป็นพันธมิตร นกอินทรียักษ์เพียงแต่ลังเลนิดหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “คนอย่างพี่มังกร ไม่ช้าก็เร็วคงจะต้องรู้ความลับนี้ อันที่จริงก็เป็นอย่างนี้น่ะ ท่านรู้ไหมว่าดินแดนมรดกแห่งนี้ เหตุใดจึงเรียกว่าดินแดนมรดก”

ฟางหนิงไม่รู้จริงๆ

เขาจึงเอ่ยถาม “คนเสินโจวเรียกแบบนี้กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ข้าเห็นว่าพวกเขาปลูกสมุนไพรที่นี่ และบุกเบิกสถานที่เพื่อฝึกฝน ดูท่าจะอยากใช้ที่นี่เป็นฐานที่มั่นส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น”

อินทรีสวรรค์ส่ายหัว “เราบอกชื่อนี้กับพวกเขาต่างหาก พวกเขาต้องการที่จะส่งต่อดินแดนนี้ก็ไม่เป็นไร โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาไม่ได้ฝึกฝนอยู่ที่นี่จนถึงระดับของเรา ตามคำพูดของชาวเสินโจว ก็คืออย่าฝึกฝนที่นี่จนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับ A”

ฟางหนิงตกตะลึง ไม่รู้ว่าสำนักงานสัจธรรมรู้ความลับนี้หรือไม่

“ทำไมล่ะ”

อินทรีสวรรค์ถามขึ้น “พี่มังกร รู้ไหมว่าบรรดาสัตว์ปีศาจกลายพันธุ์บ้าเลือดที่ถูกงูจงอางขับเคลื่อนนั้นมาจากไหน”

ฟางหนิงคิดในใจ มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติเหมือนในเกมหรอกเหรอ

มังกรเพลิงส่ายหัวเพื่อแสดงว่าไม่รู้

อินทรีสวรรค์เล่าต่อไป “อันที่จริงพวกมันคือผู้แข็งแกร่งระดับ A เหมือนข้าที่กลายพันธุ์ไป เมื่อถึงระดับเดียวกับข้าก็จะเริ่มกังวลว่าสักวันหนึ่งภัยพิบัติใหญ่จะเกิดขึ้น สูญเสียจิตใต้สำนึกและความทรงจำ กลายเป็นสัตว์ปีศาจบ้าเลือดชั้นดี…”

ทันทีที่มันพูดแบบนี้ ใบหน้าก็มีความสุขขึ้นมาทันที “สำเร็จแล้ว เหลือเชื่อที่จะรวดเร็วขนาดนี้ ม้วนภาพที่พี่มังกรวาดเจ๋งมากจริงๆ! ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ถึงเสียงเพรียกหาจากโลกภายนอกแล้ว! ช่างดีเหลือเกิน ในที่สุดข้าก็จะได้หลุดพ้นจากที่คับแคบแห่งนี้ ไปยังโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุดได้”

ฟางหนิงรีบแสดงความยินดีและซักถามต่อไป “ยินดีด้วยสหาย โปรดเล่าต่อ ‘ภัยพิบัติใหญ่’ อะไรที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปได้หรือไม่”

อินทรีสวรรค์ยังคงไม่ตอบคำถามทันที ตอนนี้มันดูผ่อนคลายมาก ถามด้วยรอยยิ้ม “พี่มังกรรู้ไหมว่าท้องฟ้าสูงแค่ไหนและแผ่นดินกว้างใหญ่แค่ไหน” ฟางหนิงรู้สึกเซ็ง นึกไม่ถึงว่าหมอนี่จะมีนิสัยชอบอ้อมค้อม “ตอนที่มาถึงครั้งแรก ข้าไม่มีเวลาบินไปดูรอบหนึ่ง แต่ข้าได้ยินจากชาวเทียนจู๋พูดว่าดินแดนมรดกแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล แถมยังมีสัตว์ปีศาจมากมาย”

อินทรีสวรรค์หัวเราะร่า “คนสายตาสั้นที่โง่เขลาพวกนั้นก็จะพูดว่ามันกว้างใหญ่ ความสามารถคนพวกนั้นคงจะแย่มาก ถูกกลุ่มสัตว์ปีศาจขวางกั้นตลอด ไม่เคยไปถึงพรมแดนของดินแดนมรดกแห่งนี้ ดินแดนแห่งนี้นี้แคบมาก ไม่อาจเทียบได้กับโลกภายนอก”

ฟางหนิง “ไม่ทราบสหายพอจะบอกได้หรือไม่ดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่แค่ไหนกันแน่”

อินทรีสวรรค์ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ข้ารู้ขนาดที่แน่นอน หลังจากเรียนรู้วิธีการคำนวณและหน่วยการวัดของชาวเสินโจวแล้ว เมื่อสองสามปีก่อนข้าก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนบินไปกลับที่นี่”

“เมื่อคำนวณตามวิธีของพวกเขา ดินแดนมรดกแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 160,000 ตารางกิโลเมตร ข้าบินได้ 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้าใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงบินจากตะวันออกไปตะวันตก และใต้ไปเหนือ”

ฟางหนิงถึงกับพูดไม่ออก พี่ชายช่างอดทนมากจริงๆ…จากนั้นเขาก็ผงกหัวมังกร แม้ว่าไอ้หมอนี่จะพูดอ้อมไปอ้อมมาไม่เข้าประเด็นสักที

แต่มันกลับช่วยไขข้อสงสัยของตัวเองอีกข้อ นั่นก็คือตอนที่เขาดูแผนที่ระบบ ฟางหนิงเคยพบว่าสามารถเห็นขอบเขตของดินแดนมรดกแห่งนี้ได้จากแผนที่ระบบ และถูกเมฆหมอกสีขาวปกคลุม

ต่อมาเมื่อสอบปากคำวิญญาณของชาวเทียนจู๋ พวกเขาก็บอกว่าสถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุดระบบแปลงร่างเป็นมังกรบินได้ก็จริง แต่มันไม่มีวันเสียเวลาบินไปรอบๆ เพียงเพื่อวัดขนาดของแผ่นดิน ที่บอกว่างานอดิเรกของนกอินทรีตัวนี้คือ ‘โบยบินอิสระเสรี’ นั้นเป็นเรื่องจริง…

อย่างไรก็ตาม ดินแดนมรดกแห่งนี้ดูแล้วอาจจะคับแคบไปหน่อยสำหรับงานอดิเรกของนกอินทรีที่ชอบ ‘โบยบินอิสระเสรี’

แต่พื้นที่ 160,000 ตารางกิโลเมตรใหญ่กว่ามณฑลที่เมืองฉีตั้งอยู่เล็กน้อย หากครอบครองได้อย่างสมบูรณ์ก็เท่ากับเป็นการบุกเบิกดินแดนใหม่ในยุคใหม่

ไม่น่าแปลกใจที่สำนักงานสัจธรรมฟังคำแนะนำแล้วยอมรับในทันที เลือกที่จะสร้างเมืองเพื่อปิดกั้นทางเข้าของชาวเทียนจู๋โดยสิ้นเชิง จริงๆ แล้วคือต้องการที่จะผูกขาดมันต่อไป

นี่อาจเป็นเรื่องใหญ่ที่จะจารึกในประวัติศาสตร์ตลอดไป

ในยุคสมัยก่อน เป็นเพียงประโยชน์ด้านชื่อเสียงของตัวบุคคลเท่านั้น แต่ในยุคใหม่แห่งการฟื้นฟูพลังชีวิต เป็นยุคที่การสถาปนาเทพนั้นเป็นไปได้ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของชาวเสินโจวนี้ ถ้าไม่ได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์บางอย่าง ฟางหนิงก็ไม่เชื่อ

ฟางหนิงถามต่อ “เมื่อกี้ยังพูดไม่จบ สหาย อะไรที่เรียกว่าภัยพิบัติจากฟากฟ้างั้นเหรอ”

…………………………………………..

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

Status: Ongoing

จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย

แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ

เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า

และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!?

...

จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ

กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย

ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท