บทที่ 208 ตัวเอกที่แท้จริงปรากฏตัว
“ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองฝ่ายได้เข้าสู่สนามประลองแล้ว ท่าทางของสองผู้แข็งแกร่งนั้นเคร่งขรึมจริงๆ ไม่มีใครคิดจะพูดคุยกันเลย ดูเหมือนทั้งคู่จะรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายและให้ความสำคัญกับการแข่งขันต่อจากนี้มากทีเดียว! บัดนี้เรามารอชมการแสดงอันยอดเยี่ยมของผู้แข็งแกร่งทั้งสองกันเลยดีกว่า การแข่งขันเริ่มได้!”
สิ่งที่พิธีกรพูดนั้นถูกต้อง ทั้งคู่ให้ความสำคัญกับมันมาก เพียงแต่เนื้อความที่พวกเขาให้คุณค่านั้นแตกต่างกัน
ชายชราในชุดผ้ากระสอบผู้นี้ ราชครูผู้ทรงอิทธิพลแห่งประเทศกุ่ยฟางได้เตรียมการอย่างครอบคลุมที่สุดสำหรับการแข่งขันครั้งนี้ สิ่งนี้ส่งผลต่อก้าวแรกของเขาในการประกาศศักดาและก้าวเข้าสู่ระดับโลก
ในความคิดของเขาความยากลำบากนั้นสูงลิ่ว อีกฝ่ายเป็นถึงอัศวิน A ผู้ยิ่งใหญ่เลื่องชื่อ มีปีศาจเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือของอีกฝ่ายไปได้ ช่องทางมากมายต่างทำข่าวสังเวียนการต่อสู้ของเขา
จอมมารเจ็ดอารมณ์ ปีศาจฝันร้ายระดับสูง ปีศาจแมลง แอนเดอร์สันนักสู้ระยะประชิดอันดับหนึ่งของโลก หนานคุนปีศาจเต่าผู้มีทักษะป้องกันอันดับหนึ่งของโลกและงูจงอางที่เป็นร่างอวตารของเทพแห่งการทำลายล้าง…พวกเขาเหล่านี้เป็นสัตว์ปีศาจที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่ละตัวมีศักยภาพสูงและพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัว ทว่ากลับพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย
คนผู้เดียวที่สามารถสู้รบปรบมือและหลบหนีไปได้คือผู้อาวุโสตระกูลไป๋ นอกจากนี้ยังมีไป๋ซื่อซินคนสนิทของเขาอีกคน แต่ภายหลังถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ยิ่งพักนี้สถานการณ์ของเขาก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
ดังนั้นแม้จะได้รับการยืนยันว่าฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ชายชราในชุดผ้ากระสอบอย่างราชครูก็เตรียมที่จะโก่งร้องขอยอมจำนนได้ทุกเมื่อ ชนิดที่ว่าพร้อมเหนี่ยวไกอัตโนมัติ
ด้านระบบเองก็ให้ความสำคัญกับมันมาก การที่มันจะสามารถแข่งได้ดีกว่ารอบคัดเลือกและทำเงินได้มากขึ้นหรือไม่นั้นสำหรับมันแล้วการแสดงฉากนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว…
ครั้งนี้ยากยิ่งกว่าการต่อสู้ปลอมๆ ในครั้งก่อนมาก ตอนนี้ระบบฟื้นฟูร่างกายจนกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง หากจะให้แสร้งทำท่าทีอ่อนแอเพราะการบาดเจ็บสาหัสของวิญญาณก็คงจะเป็นเรื่องยากสักหน่อย
ภายหลังเสียงประกาศของพิธีกร การแข่งขันจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ชายชราในชุดผ้ากระสอบแสดงสีหน้าเรียบนิ่งบนหน้าจอขนาดใหญ่ เมื่อปราณกระบี่แรกจากอัศวิน A พุ่งเข้าใส่เขา ร่างกายสั่นสะท้าน แสงสีแดงราวเลือดพลันส่องประกายไปทั่วร่าง
ต่อมาเสื้อผ้าของเขาก็ถูกทึ้งจนหลุดลุ่ย ผิวอกที่เปลือยเปล่าเมื่อประทับด้วยรอยเลือดที่สาดกระเซ็นราวกับเป็นรอยสักรูปแบบหนึ่งบนร่างกายของเขา ปรากฏว่าเขาได้ร่ายทักษะป้องกันตัวอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อป้องกันการโจมตีจากปราณกระบี่แรกของอัศวิน A ได้สำเร็จ ใบหน้าของเขาคล้ายกับผ่อนคลายลง ระหว่างนั้นจึงดูมั่นใจมากขึ้น
เขาเหยียดนิ้วชี้และกลางออกวาดในอากาศ รูปแบบสีเลือดอันซับซ้อนพลันก่อตัวขึ้น จากนั้นปราณโลหิตก็พุ่งไปที่อัศวิน A
อัศวิน A หลบได้ในทันที ทว่าคนที่สายตาเฉียบแหลมล้วนมองเห็น อัศวิน A อ่อนแรงจากการบาดเจ็บสาหัสของจิตวิญญาณและดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะสูญเสียความเร็วและสมดุลเล็กน้อยยามที่หลบ
บางคนเป็นกังวลไม่ลดละ แต่ชาวเสินโจวที่แอบเชียร์เหล่าคู่ต่อสู้กลับรู้สึกสบายอารมณ์ ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามที่พวกเขาคาดการณ์ ทุกคนจึงเตรียมรับชมฉากละครมายา
ขณะที่การแข่งขันดำเนินไปสถานการณ์ก็ยิ่งเริ่มชัดเจน การโจมตีของอัศวิน A อ่อนแอลง ไม่ว่าจะเป็นปราณกระบี่ระยะไกลหรือหมัดระยะประชิดก็ไม่สามารถสะเทือนการป้องกันที่คล้ายรอยสักบนตัวชายชราในชุดผ้ากระสอบได้เลย
อีกทั้งการโจมตีด้วยปราณโลหิตของอีกฝ่ายก็เริ่มแปลกประหลาดและทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเมื่อเวลาผ่านไปความแข็งแกร่งและความเร็วที่อยู่ภายในนั้นกลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วย
ทุกครั้งที่อัศวิน A ถูกปราณโลหิตสาดปะทะใส่ร่าง เสียงอุทานจากผู้ชมบนหน้าจอขนาดใหญ่ก็ยิ่งดังเซ็งแซ่
“กลายเป็นแบบนี้ดยังไง?”
“ดูเหมือนสถานการณ์ของท่านมังกรเทพจะไม่ค่อยดีนะ?”
แน่นอนว่าเสียงอุทานของผู้ชมเหล่านี้ที่เป็นไปเพราะความวิตกล้วนดังมาจากจัตุรัสขนาดใหญ่นอกสนามประลอง
ยกเว้นชาวเสินโจวบางคน คนที่ส่งเสียงดังและได้รับความสนใจมากที่สุดคือกลุ่มสตรีและสาวงามทุกสีผิวที่ใจกลางจัตุรัส
เหล่าสาวงามกลุ่มนี้มีรูปร่างหน้าตาและสัญชาติที่แตกต่างกัน แต่พวกเธอทุกคนต่างมีสไตล์การแต่งหน้าที่ประณีตและแฟชั่นระดับไฮเอนด์ มองไปแล้วทุกคนดูสวยละลานตาไปหมด
พวกเธอชูป้ายที่มีมังกรฟ้าในมือขวาและสวมเขามังกรฟ้าคู่หนึ่งบนหัว ส่งเสียงเชียร์อัศวิน A เช่นเดียวกับกลุ่มแฟนคลับของมังกรเทพแห่งบูรพาทิศ
รอบๆ กลุ่มสาวงามเหล่านี้มีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังถือป้ายอยู่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ด้านนอกยังมีกลุ่มคนวัยกลางคนกลุ่มหนึ่ง บางคนกำลังอุ้มเด็กและชายชราอีกหลายคน…ช่วงวัยที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยล้วนถูกเขาตกทั้งสิ้น
อัศวิน A ทั้งหล่อเหลา เที่ยงตรงและแกร่งกล้าในวิทยายุทธ์ เป็นจอมยุทธ์ผู้กล้าหาญไปถ้วนทั่ว หากดึงดูดแฟนคลับได้เพียงน้อยนิดก็นับว่าขัดกับหลักการแห่งสวรรค์แล้ว!
“เจ้ายังไม่รู้เหรอ? ข้าได้ยินมาว่าท่านมังกรเทพด้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากที่เขาสังหารปีศาจหลายครา ครั้งนี้เขาถูกบังคับให้มาขึ้นประลองล่ะ” ผู้สันทัดในเนื้อข่าวเริ่มอธิบาย
“น่ารังเกียจจริงๆ ตาแก่อัปลักษณ์นั่นเอาเปรียบคนอื่นเกินไปแล้ว!” หญิงงามคนหนึ่งกระทืบเท้า
“จริงด้วย สนามประลองอันดับมืดแห่งนี้คงร้อนใจเป็นแน่ หลังนายท่านหายจากอาการบาดเจ็บแล้วถึงรีบตัดสินผู้ชนะโดยทันที นั่นเป็นเหตุผลที่แทบรอไม่ไหวที่จะเข้าชมการแข่งขันในวันนี้…”
การทำให้แฟนๆ เป็นกังวลมักไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่มันก็ไม่ง่ายเช่นกันสำหรับระบบในเวลานี้ การที่ผู้รอบรู้อย่างระบบแสร้งทำเป็นเป็นทึ่ม ไม่ใช่แค่เพื่อเลี่ยงข้อสงสัยให้น้อยลงสองสามข้อ…แต่ยิ่งเลี่ยงได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี
ระบบที่พยายามเล่นละครท่ามกลางแฟนๆ ที่เป็นกังวลบ้างก็ยินดีปรีดาที่มันอ่อนแอ แต่กลับมีคนบางคนกำลังนั่งดูละครฉากนั้น…
“แอนเดอร์สัน แกคิดว่าเบื้องหลังของราชครูผู้ยิ่งใหญ่คนนี้คืออะไร? ปราณโลหิตนั่นไม่ใช่วิถีที่ดีเลย” ฟางหนิงดูการต่อสู้ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ พลางพูดคุยกับแอนเดอร์สันข้างๆ กันซึ่งกำลังรับชมการแข่งขันไม่ต่างจากเขา
เขาในตอนนี้น่าสงสาร จิตวิญญาณหมกมุ่นจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่งั้นวันรุ่งขึ้นเขาอาจหลอกให้ระบบทำยาลูกกลอนฟื้นฟูพลังชีวิตรสดีมาให้เขาแทนการใช้ยาทั่วไปในการฝึกวรยุทธ์…
แอนเดอร์สัน “ขออนุญาตรายงาน ราชครูผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารการประชุมถ่วงสมดุล ชื่อจริงของเขาคืออากู่รา พิธีกรบอกว่าจริงๆ แล้วเขาถูกชักใยโดยผู้จุติที่สืบเชื้อสายมาจากสวรรค์ เพียงแค่ว่าบุคคลนี้มีความมุ่งมั่นมากพอที่จะเอาชนะผู้สืบทอดจากสวรรค์ซึ่งอาศัยความได้เปรียบจากสนามเหย้าของเขา จากความทรงจำที่เหลืออยู่ของอีกฝ่าย เขาพบวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วด้วยการสังเวยเลือด คนที่มีศักยภาพในการเริ่มสงครามครั้งใหญ่ เราพยายามบันทึกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และผู้ชายคนนี้คือเป้าหมายหลักสำคัญ”
เมื่อรวมกับคำอธิบายอย่างมืออาชีพของแอนเดอร์สันแล้ว ฟางหนิงก็เฝ้าดูด้วยความสนใจอย่างยิ่ง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว พวกเขาสองคนต่างโลดแล่นฟาดฟันกันไปมา เกือบหนึ่งชั่วโมงผ่านไป อัศวิน A ดูเหมือนจะใกล้จะล้มลง…แต่ก็ไม่ได้ล้มลง
ทว่าราชครูผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นไม่ได้รีบร้อน แต่เพียงจัดการกับมันอย่างอดทน
ใบหน้าของเขามีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการเคลื่อนไหวก็เฉียบคมทวีคูณ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของเขาก็เริ่มเพิ่มขึ้นด้วย
เห็นได้ชัดว่าอัศวิน A ทำให้ผู้คนรู้สึกเหนื่อยล้า พลังกายที่ไม่เคยลดลงดูเหมือนว่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาสามารถทำลายศัตรูได้ในบัดดลเมื่อใดก็ได้…
ขณะที่ฟางหนิงรู้สึกทึ่งกับการเฝ้าดู จู่ๆ ระบบก็พูดกับเขาว่า “ไม่ได้การ ท่านมหาเศรษฐีฉันแสดงต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉันอยากฆ่าไอ้ตัวที่กระโดดไปมานี่ให้จบในม้วนเดียวจะแย่…มันเสียเวลาเกินไป น่าเบื่อจริงๆ”
ฟางหนิงอึ้ง “ระบบ คิดถึงธนบัตรดอลลาร์สีสันสดใสเหล่านั้นเข้าไว้…นี่แกตื่นเต้นอีกแล้วเหรอ?”
ระบบ “อืม มันน่าตื่นเต้น…แต่รู้สึกเหมือนคุณสมบัติผดุงคุณธรรมของอัศวิน A กำลังจะหมดลงแล้ว นี่คือวายร้าย ฉันไม่อยากปล่อยเขาไป ฉันจะขยี้เขาให้ตายด้วยหมัดมังกรแน่นอน”
ฟางหนิงรู้สึกประหม่าทันทีที่ได้ยินและเขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะดูละครอีกต่อไปแล้ว นี่มัยเกิดอะไรขึ้น?
การที่สถานะของอัศวิน A ดูเหมือนจะไม่ทำงาน โดยพื้นฐานแล้วจะไม่ปรากฏในข้อความแจ้งเตือนของระบบ แต่กลับเป็นรากฐานของการมีอยู่ของระบบ ตราบใดที่มันบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่นี่ ฟางหนิงก็พร้อมให้ความสำคัญเสมอ
หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาจึงสังเกตผ่านมุมมองของระบบอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะคิดถึงปัญหา
ฟางหนิงขมวดคิ้วและพูดว่า “ให้ตายเถอะ ฉันนึกออกแล้วว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน…อาจไม่เป็นไรที่จะแกล้งเล่นละครต่อหน้าคนร้ายแบบนี้ แต่คงไม่ดีที่จะหลอกเหล่าผู้ชมที่ไร้เดียงสามากมาย พวกเขาทั้งหมดใช้เงินจำนวนมากเพื่อเข้ามาชมและพวกเราก็จ่ายค่าธรรมเนียมโดยการปรากฎตัวให้กับพวกเขา คงไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำให้พวกเขากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เราสองคนเคยหลอกหนอนยักษ์ คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็มาดูการแสดงฟรีและเราก็ไม่มีข้อผูกมัดกับพวกเขา”
ระบบ “แล้วฉันจะทำยังไงดี ครั้งที่แล้วฉันก็หลอกเหมือนกันนะ มันจะไม่เป็นไรเหรอ?”
ฟางหนิงพูดอย่างอับจนหนทาง “คราวก่อนหนานคุนตายเร็วเกินไป แน่นอนว่าไม่เป็นไรหรอก แถมแกก็ไม่ได้พูดโออ้วดเหมือนกับตอนนี้ด้วย…”
ระบบ “เฮ้ จู่ๆ ฉันก็นึกอะไรดีๆ ออก ฉันไม่ต้องเสียเวลาและไม่ต้องเสี่ยงที่จะลดคุณสมบัติผดุงคุณธรรมของอัศวิน A ลงด้วย”
(ระบบกำลังพิจารณา…)
(ระบบกำลังพิจารณา…)
(ระบบได้ตัดสินใจยุติสถานะโฮสต์ชั่วคราว)
ฟางหนิงรู้สึกแย่ทันทีหลังจากอ่านมัน ทุกครั้งที่ระบบห่วยนี่มีความคิดขึ้นมา คนที่ตกหลุมพรางล้วนเป็นตัวเขาทุกที…
เขาจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “แกคิดจะทำอะไร?”
ระบบ “… อัศวิน A บาดเจ็บสาหัส เขาต้องนอนพักสักระยะ คุณไปเป็นโฮสต์แทนได้เลย คุณไม่ได้ถูกจำกัดโดยสถานะอัศวิน A ของฉัน คุณสามารถเล่นอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ตราบใดที่คุณไม่ทำสิ่งชั่วร้ายที่เป็นอันตรายต่อโลกและหลักเหตุผลก็พอ”
“อะ…อะไรนะ? แกจะให้ฉันสู้กับไอ้บ้าระห่ำนั้นด้วยแขนและขาเล็กๆ ของฉันงั้นเหรอ?” ฟางหนิงตกใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้และเกือบจะพูดติดอ่างว่า “หนังสือเกมสมบัติแนะนำฉันว่าอย่าไปที่สนามรบ มันคงไม่แอบอ้างเรื่องสำคัญหรอกมั้ง”
ระบบ “อย่าไปฟังหนังสือบ้านั่น ฉันคิดดีแล้ว…คุณสวมชุดเกราะในตำนานของฉันซึ่งมีความสามารถในการป้องกันที่ครอบคลุม พลังโจมตีเพียงเล็กน้อยของเขาทำอะไรคุณไม่ได้หรอก จากนั้นคุณก็ใช้อัศวินหนังสือบินเข้าโจมตีก็พอแล้ว ฉันจะสลับตัวกลับเมื่อใกล้หมดเวลา ไม่ต้องห่วง ฉันจะบังคับเธรดเพื่อปกป้องท่านมหาเศรษฐีเอาไว้ทุกทาง หากมีอันตรายใดๆ ฉันจะเข้าช่วยเหลือทันที”
ให้ตายเถอะ นี่ฉันต้องขุดหลุมฝังตัวเองจริงๆ สินะ
ฟางหนิงเค้นสมองของเขาทันทีและเริ่มหาเหตุผล เขาขู่ว่า “แกไม่กลัวเหรอว่าคนอื่นจะรู้ถึงความผิดปกติของพวกเรา?
ระบบพูดอย่างหนักแน่น “ตอนนี้ฉันพัฒนาเต็มที่แล้วคุณกลัวอะไร? อัศวิน A มักจะสับเปลี่ยนระหว่างเราสองคน มีคนค้นพบความผิดปกตินั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ปีศาจก็คงเหมือนกัน ตราบใดที่พลังยังแข็งแกร่งก็ไม่มีใครกล้านินทาหรอก”
ฟางหนิง “ถ้าเกิดฉันเล่นแล้ว ในอนาคตแกจะให้ฉันยืมเงินไหม?”
ระบบ “ถ้าการแข่งขันออกมาไม่ดีล่ะก็ ตอนนี้ฉันก็จะมีรายได้น้อยลง…”
ฟางหนิงพูดต่อ “การสู้แบบหลอกๆ ดูเหมือนจะทำให้สถานะของอัศวินต่ำลง ทำไมเราไม่เลิกแสดงสักที ฉันรู้สึกผิดกับผู้ชมจำนวนมากที่สนับสนุนเรา บดขยี้หมอนั่นให้ตายเถอะ ฉันมีวิธีอีกมากมายที่จะช่วยแกหาเงินได้”
ระบบ “จะทำอย่างนั้นได้ยังไง ยิ่งรู้สึกว่าคุณสมบัติผดุงคุณธรรมลดลงไปมากเท่าไร ถ้าคุณสมบัติผดุงคุณธรรมลดต่ำลงจริงๆ ฉันคงไม่กล้าเล่นแบบนี้ แค่ลดค่าพลังของอัศวิน A ลงเล็กน้อยสำหรับการต่อสู้ปลอมๆ แล้ว ฉันแก้ไขได้ถ้าคุณช่วยชะลอการฆ่าวายร้ายนั่น อย่าห่วงไปเลย ฉันกลัวตายมากกว่าคุณ…”
ฟางหนิงไม่สามารถหาเหตุผลได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยอมรับมัน พลางพูดอย่างเหนื่อยอ่อน “เอาล่ะ ให้ฉันลองฝึกดูก็ได้ ในอนาคตเมื่อเทพมังกรแท้ถูกอัญเชิญออกมา มันควรจะคุ้นเคยกับสนามรบล่วงหน้า”
ถึงแม้จะพูดแบบนี้แต่ในใจก็ยังมีความรู้สึกอ้างว้าง ดูเหมือนว่าวันดีๆ ที่ได้ดูละครในสนามรบจะหมดสิ้นไปตลอดกาล…
มีเพียงระบบเท่านั้นที่พึงพอใจและกล่าวว่า “มหาเศรษฐีช่างเป็นผู้ที่คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมและมองการณ์ไกลเช่นเคย ไม่ต้องกังวล คุณมีส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมการปรากฏตัว ฉันเป็นระบบที่ยุติธรรม ดูมหาเศรษฐีจะมีอารมณ์เศร้าๆ นิดหน่อยนะ งั้นมาบรรเลงดนตรีให้เข้ากับบรรยากาศพาคุณสดชื่นกันเถอะ…”
เป็นผลให้เพลงเบื้องหลังอันเร่าร้อนและเศร้าสร้อยดังออกมาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน
เสียงประโคมของจู้ดังกึกก้องภายในจัตุรัส จัตุรัสที่มีผู้คนกว่า 4 แสนคนเงียบสงัดลงทันที ทั้งเสียงกระซิบกระซาบทุกชนิดก็หายไปด้วย บัดนี้ ณ ที่แห่งนี้พลันไร้ซึ่งเสียงใดๆ
จู้เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายแบบดั้งเดิมของจีนโบราณ มีรูปร่างคล้ายฉิน มีสาย 13 สายและเสาค้ำอยู่บริเวณใต้สาย ก่อนที่จิงเคอจะสังหารฉิน เกาเจี้ยนหลีเป็นผู้ดีดจู้ ส่วนจิงเจอก็ร้องเพลงประสานเสียง
ในเวลานี้ เพลง ‘ลำนำอี้’ กำลังเล่นเป็นเพลงประกอบฉากการต่อสู้
“วายุโบกเย็นฉ่ำลำน้ำอี้สั่นสะท้าน ถึงคราวผู้กล้าจากไปดวงชีวันคงลาลับไม่หวนคืน…”
ขณะที่เนื้อร้องเอื้อนเอ่ยขึ้น หัวใจของผู้ชมพลันปกคลุมไปด้วยความรู้สึกอันเยือกเย็น ราวกับว่าจู่ๆ ลมฤดูใบไม้ร่วงก็พัดผ่านนำพาน้ำในธารอี้เย็นเฉียบ โลกช่างน่าสังเวชและชีวิตของจอมยุทธ์ผู้กล้าก็ดับสูญไป
ต่อมาพวกเขาก็พบว่าท่าทีของอัศวิน A บนหน้าจอเปลี่ยนไป ระหว่างที่ฟัดเหวี่ยงกันไปมา พวกเขากลับนิ่งเฉยขึ้นราวกับว่ากลายเป็นอีกคนในทันที
แม้ว่าก่อนหน้านี้อัศวิน A กำลังจะพ่ายแพ้แต่อีกฝ่ายก็ยังมีพลังกายที่ไม่แปรเปลี่ยนซึ่งนั่นทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นใจอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ดูเหมือนว่าความรู้สึกเหล่านั้นกำลังหายวับไปและหลายคนก็มีน้ำตาคลอเบ้า
ฟางหนิงดึงร่างของตัวเองคืนกลับมาก่อนกระซิบว่า “ระบบ สิ่งที่แกให้มาเหมาะกับโอกาสนี้จริงๆ…สุนทรียศาสตร์เป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมโดยแท้”
……………………………………………….