เมื่อผมโดนระบบครองร่าง – บทที่ 192 กฎแห่งสวรรค์

บทที่ 192 กฎแห่งสวรรค์

บทที่ 192 กฎแห่งสวรรค์

เมื่อฟางหนิงอ่านการแจ้งเตือนของระบบจบ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดกับแอนเดอร์สันว่า “แอนเดอร์สัน ครั้งนี้แกทำได้ดีมาก ได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ ฉันตัดสินใจแต่งตั้งแกเป็นรองพัศดีของเรือนจำพลังมังกร สามารถเคลื่อนไหวในเรือนจำได้อย่างอิสระ และจะติดตั้งอินเทอร์เน็ตให้แกด้วย จะได้ตรวจสอบข่าวเครือข่ายภายนอกได้ตลอดเวลา ร่วมกับข้อมูลที่นักโทษให้มา และรายงานผลการทำงานให้ฉันสัปดาห์ละครั้ง เนื้อหาก็คือการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและข้อเสนอแนะในการวางแผน”

แอนเดอร์สันมีความสุขมากเมื่อได้ยินดังนั้น อันที่จริง ด้วยไอคิวและทักษะการสังเกตของเขา หลังจากได้สัมผัสมานานหลายวัน เขาแอบรู้สึกว่าพัศดีผู้นี้กับท่านมังกรขาวน่าจะเป็นคนเดียวกัน ซึ่งก็คือตัวท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ ขณะที่เขาพักผ่อนอยู่ข้างใน AI ก็กำลังควบคุมร่างกายของเขาอยู่ข้างนอก

ก่อนหน้านี้เขายังไม่แน่ใจนัก แต่หลังจากถูกท่านมังกรขาวลากไปเล่นเกม เขาก็ยิ่งมั่นใจ

ในเมื่อฟางหนิงไม่ใช่นักแสดงที่มีชื่อเสียง แม้รูปร่างและความถี่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนไป แต่รูปแบบการพูดและนิสัยการทำงานของเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ฟางหนิงเองต้องแสร้งเป็นทั้งมังกรขาวและพัศดี ครั้งสองครั้งยังพอได้ หลังจากเล่นเกมด้วยกัน การสลับร่างไปมากับแอนเดอร์สัน อีกฝ่ายจะไม่สังเกตเห็นได้ยังไง

แต่แอนเดอร์สันไม่สนใจเรื่องนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้บอกความจริง เขาก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ และในที่สุดตอนนี้ก็ผ่านมันไปได้ ไม่แน่ว่าในอนาคตข้างหน้าเขาอาจมีโอกาสที่จะวิจัยวิญญาณต่อไป…

เขาให้คำมั่นสัญญา “ท่านพัศดีโปรดวางใจ ฉันจะทำเต็มที่เพื่อรับใช้ท่าน เพื่ออุทิศกำลังอันน้อยนิดเพื่อธุรกิจอันยิ่งใหญ่ของเผ่ามังกรของเรา”

ฟางหนิงพยักหน้า รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก มีคนที่มีพรสวรรค์คนนี้ ต่อไปตนเป็นกุนซือก็จะเบาใจมากขึ้น จัดแจงเรื่องนี้แล้ว เขาพูดต่อ “จริงด้วย ฉีเหมยที่เพิ่งเข้ามาใหม่ แกไปสอบปากคำหน่อย สืบวิธีใช้อาวุธวิเศษและข้อมูลเกี่ยวกับเขาเทียนชิงมาให้หมด แต่ต้องรู้จักประเมินความเหมาะสมด้วย อย่าให้สูญเสียความยิ่งใหญ่ของเรือนจำพลังมังกรของเรา ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”

ฟางหนิงจะไม่มีทางไปสอบสวนผู้หญิงคนนั้นเอง เขาไม่อยากเสียเวลา สุดท้ายคว้าน้ำเหลว ปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญออกโรงดีกว่า

แอนเดอร์สันย่อมไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น เพราะนี่คืองานของเขา

ฟางหนิงจัดแจงเรื่องเหล่านี้เสร็จ ระบบก็เรียกหาเขาอีกครั้ง

“คนจากสมาคมราชาผีกำลังคุยกับอัศวิน A อยู่ข้างนอก ต้องให้ค่าตอบแทนเราเป็นแน่ คุณออกไปรับมือกับพวกเขาดีๆ อย่าลืมขอค่าตอบแทนเพิ่ม อย่าลืมถามพวกเขาด้วยว่ามอบวิญญาณชั่วร้ายที่ถูกปราบให้เราได้หรือไม่…”

ฟางหนิงรู้สึกเซ็ง เขาดูเวลาพบว่าใกล้เลิกงานแล้ว กำลังคิดว่ามอบหมายงานให้แอนเดอร์สันเสร็จเรียบร้อย ก็จะรีบไปเล่นเกม…

ฟางหนิงรู้ว่าไม่ควรขัดใจท่านเทพในเรื่องนี้ เขาจึงมองผ่านมุมมองของระบบก่อนก็เห็นท่านเทพได้กลับไปยังหุบเขาวิญญาณและกลับไปเป็นอัศวิน A แล้ว ยืนอยู่บนแท่นหินหน้าถ้ำราชาผี

ไม่จำเป็นต้องพูด ระบบยังคงคิดถึง ‘ต้องตอบแทนอย่างงาม’ จึงไม่ตรงกลับบ้านหลังจากจับปีศาจได้…

ในเวลานี้ ผู้อาวุโสกุ่ยต้า กุ่ยเอ้อร์ จูหงอิง และเฉียวจื่อเจียงกำลังยืนล้อมอัศวิน A

ผู้อาวุโสกุ่ยต้าเป็นชายชราอายุหกสิบเศษ จอนผมสองข้างหงอกขาว ใบหน้าตื้นตัน เขาประสานมือเอ่ยขึ้น “ท่านเทพเปี่ยมด้วยความสามารถ ความเที่ยงธรรมล้นฟ้า ช่วยสมาคมราชาผีของเราขจัดหายนะครั้งนี้ ทุกคนในสมาคมต่างรู้สึกซาบซึ้งจนหาที่สุดมิได้ จึงได้เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไว้แล้ว วันหน้าวันหลังหากท่านมีส่วนที่ต้องการให้ข้ารับใช้ เพียงส่งจดหมายมาแจ้ง ข้ากับพรรคพวกจะบุกน้ำลุยไฟไปช่วยโดยไม่มีการบอกปัด”

ฟางหนิงรู้สึกพึงพอใจมาก ‘อันที่จริง ความรู้สึกตอนแสร้งทำเป็นถ่อมตนและได้รับการสรรเสริญเยินยอจากคนอื่นนั้นดีกว่าตอนเล่นเกมอีก… พูดไปแล้ว เขาเล่นเกมก็เพื่อความสุขทางใจก็แค่นั้น’

เมื่อก่อนต้องพยายามอย่างมาก ตอนเรียนต้องตื่นแต่เช้าและนอนดึก ตอนทำงานต้องทำงานล่วงเวลาถึงจะได้รับผลงานบ้างและเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น แต่ตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรมากก็ได้รับความสุขทางใจมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นข้อดีที่ระบบมาครองร่าง…’

ระบบไม่มีความรู้สึกใดๆ กับสิ่งเหล่านี้ มันรู้จักเพียงจับปีศาจและฝึกฝน เขาเป็นมนุษย์ปกติธรรมดา ไม่ใช่เทพเซียน ย่อมมีความสุขกับความรู้สึกที่ได้รับการยอมรับแบบนี้ และเป็นศูนย์กลางของทุกคน…

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหนิงรู้สึกละอายใจ เอาเปรียบระบบขนาดนี้ เฮ้อ ต่อไปเงินที่ให้มันยืมไม่คิดดอกเบี้ยแล้วกัน…

ฟางหนิงใจลอยไปครู่หนึ่งก็รีบดึงสติกลับมา เขายิ้มนิดๆ เริ่มเสแสร้ง “ฮ่าๆ ข้ายึดมั่นในคุณธรรมเสมอมา ทนดูการกลั่นแกล้งผู้อ่อนแอไม่ได้ ฉีเหมยเป็นฝ่ายรังแกก่อน และก้าวล่วงศักดิ์ศรีตระกูลมังกรของข้า ช่างน่าเกลียดชัง ข้าได้คุมขังวิญญาณของเธอในเรือนจำพลังมังกรแล้ว ระยะเวลาจองจำ 500 ปี เธอต้องกลับตัวจากก้นบึ้งหัวใจก่อน ถึงจะได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนด

เฉียวจื่อเจียงรู้สึกตื่นเต้น หัวหน้าทีมเหรินได้อัปเดตข้อมูลของอัศวิน A ตั้งนานแล้ว หลังจากฆ่าใครตายจะย้ายวิญญาณของอีกฝ่ายไปยังสถานที่แห่งนั้น ที่นั่นคงจะไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

ส่วนคนอื่นๆ ทั้งตกใจและหวาดกลัว เมื่อได้ยินสถานที่แห่งนั้น ก็รู้ว่ามันคล้ายคุกของพระราชวังในนิยายอะไรทำนองนั้น

ผู้อาวุโสกุ่ยต้ากล่าวด้วยความเคารพและยำเกรง “ข้าชื่นชมในความเมตตากรุณาและความชอบธรรมของท่าน ข้าสั่งบริวารให้เตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ ในถ้ำ เชิญท่านเข้าไปข้างใน”

ฟางหนิงพยักหน้า และให้ผู้อาวุโสกุ่ยต้านำทาง มีคนกลุ่มหนึ่งเดิมตามอยู่ข้างหลังไม่ห่าง

จูหงอิงมองเงาหลังอันสูงใหญ่ของอีกฝ่ายพลันใจเต้นแรง นี่สิที่เรียกว่าวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ยอดบุรุษ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ของเธอ ล้วนเป็นแบบอย่างที่เธอยกย่อง

หลี่ว์เอ้อร์ หม่าต้าและหนิวซื่อทั้งสามหดหัวอยู่ข้างหลัง

หม่าต้าแอบดีใจ ส่งเสียงกับคนอื่น “ดูเหมือนท่านอัศวินลืมเราไปแล้ว แบบนี้ดีแล้ว…”

หนิวซื่อพูดต่อ “ใช่ เดี๋ยวจะได้ร่วมโต๊ะกับเจ๊ใหญ่และกินอาหารอร่อยๆ ด้วย”

หลี่ว์เอ้อร์ยังคงรู้สึกหดหู่เล็กน้อยเมื่อเขานึกถึงมัน เขาพูดอย่างหงุดหงิด “ครั้งนั้นเขาไล่ตามฉันถึงสี่ชั่วโมง ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืมพวกแกสองคน ยังคิดอยากจะร่วมโต๊ะ…”

หม่าต้าและหนิวซื่อกลอกตาพร้อมกันเมื่อได้ยินดังนั้น และพูดอย่างไม่เชื่อ “ท่านอัศวินเป็นคนระดับไหน เขาจะยังจำเราได้…”

อันที่จริงพวกเขาไม่รู้ว่า ระบบไม่มีทางลืมพวกเขา…

แต่ฟางหนิงนั้นลืมไปแล้วจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี คำพูดและการกระทำของพวกเขาไม่มีทางตรงตามเงื่อนไขที่จะถูกฟางหนิงย้อมเป็นสีแดง จึงไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก

ฟางหนิงไม่รู้เลยว่าทุกความเคลื่อนไหวของเขาทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้

ในเวลานี้ เขาพูดคุยกับสมาชิกระดับสูงของสมาคมราชาผีและคนจากสำนักงานสัจธรรมสองคนบนโต๊ะอาหารอย่างสนุกสนาน เสแสร้งและโอ้อวดกันไม่หยุด… นำเอาผลงานของระบบมาเป็นความสำเร็จแห่งความรุ่งโรจน์ของตนอย่างไม่ละอาย…

“ครั้งนั้นไปดินแดนลับแห่งหนึ่ง ข้าพบงูจงอางระดับบ่อน้ำขั้นสูงกำลังเหิมเกริมในดินแดนลับ ทุกคนหมดหนทางสู้ สุดท้ายข้าใช้กระบี่แห่งสวรรค์ลงทัณฑ์ผสานพลังปราณของผู้คน จึงสังหารมันได้…”

“ยังมีครั้งก่อน ผู้สืบทอดตรีเทพแห่งเทียนจู๋บ้าระห่ำรุกรานดินแดนของข้า ข้าต่อสู้กับสามคนนั้นถึง 300 หน บีบให้อีกฝ่ายใช้ท่าไม้ตายหลบหนีไป…”

ระบบทนดูต่อไปไม่ไหว ขณะเติมค่าประสบการณ์เร่งความเร็วการสร้างอุปกรณ์ ก็พูดเตือนว่า “เฮ้ มหาเศรษฐีโฮสต์ เลิกคุยโวได้แล้ว เรื่องที่ฉันบอกไป ยังไม่ได้พูด…”

ฟางหนิงกล่าวอย่างไม่แยแส “เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งใจร้อน ให้ฉันโม้อีกหน่อย ปกติยากที่จะมีโอกาสแบบนี้”

เขาพูดจบก็พบว่าร่างกายของเขาหายไปอีกแล้ว… เฮ้อ ไม่ควรดีใจจนลืมตัวจริงๆ

ระบบ “อืม ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าสมาคมของท่านคุมขังวิญญาณชั่วช้าสามานย์นับไม่ถ้วนในหุบเขาวิญญาณ แต่ดูเหมือนว่ายังมีอันตรายซ่อนอยู่ ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด สู้พักงานเลี้ยงชั่วคราว และพาข้าไปปราบวิญญาณร้ายตอนนี้ดีกว่า เรือนจำพลังมังกรของข้านั้นกว้างใหญ่และเข้มงวด ไม่ว่าจะมีวิญญาณชั่วร้ายมากเพียงใดก็รับได้ และไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะหลบหนีออกไปได้”

เมื่อผู้อาวุโสกุ่ยต้าได้ยินก็ดีใจมาก เขามองไปที่จูหงอิงก็เห็นเธอพยักหน้า เขาถึงค่อยพูดต่อ “เป็นการยากที่ท่านกระตือรือร้นเช่นนี้ ข้าไม่ปิดบังความจริง พระโพธิสัตว์มีเมตตา ไม่ประสงค์ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สั่งข้าไว้ว่าเมื่อจับวิญญาณร้ายจากสถานที่ต่างๆ ในเสินโจว ไม่อนุญาตให้ปลิดวิญญาณ แต่ให้นำกลับมาให้ท่านพระโพธิสัตว์ปราบปรามเอง ส่วนผีที่มีเจตนาดีก็ให้นำกลับมาอบรมเลี้ยงดู

“เขาแห่งนี้มีพลังหยินมหาศาล พวกเขาสามารถอยู่รอดได้โดยไม่สร้างปัญหา เพียงแต่ว่าในสมัยก่อนมักมีพวกชั่วโลภมากอยากจะขโมยภูตผีไปฝึกคาถาอาคม ในเมื่อท่านยินยอมช่วยปราบปราม ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ผู้พิทักษ์จู เจ้าไปรายงานเรื่องนี้ยังที่เก็บตัวของพระโพธิสัตว์ และขอวิธีคลายการปิดผนึกมาด้วย”

จูหงอิงลุกขึ้นออกไปทันที

เฉียวจื่อเจียงเห็นดังนั้นก็ส่งเสียงไปยังเซี่ยตง “พวกเขาพูดจริงหรือเท็จ”

เซี่ยตงพยักหน้าเล็กน้อย “ท่านเทพพูดจริงทุกประการ เพียงแต่ก่อนหน้านี้จะมีส่วนที่โม้เกินจริงไปหน่อย แต่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ครั้งนี้กุ่ยต้าไม่ได้พูดเท็จตั้งแต่ต้นจนจบ เขาพูดความจริงทุกอย่าง”

เฉียวจื่อเจียงกล่าวอย่างครุ่นคิด “เรารู้เรื่องที่สมาคมราชาผีจับกุมและปราบปรามวิญญาณชั่วร้ายมานานแล้ว เดิมทีคิดว่าหลังจากที่พวกเขาจับวิญญาณร้ายได้ จุดประสงค์ที่แท้จริงคือนำมาฝึกให้เป็นผีรับใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ตอนนี้อาเซี่ยยืนยันเอง การที่พวกเขาขอให้ท่านเทพช่วยปราบปรามง่ายๆ แบบนี้ ดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องโกหก พวกเขาอยากใช้ชีวิตอย่างสงบจริงๆ”

เซี่ยตง “ถ้าเป็นแบบนี้ ท่านพระโพธิสัตว์ปีศาจอาจทำบางสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อปวงประชา แต่ทำไมพวกเขาไม่พูดให้ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อใจเรา”

ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน ตอนนี้จูหงอิงได้กลับมาแล้วพร้อมกับจี้หยกสีเขียวในมือ

เธอกล่าวว่า “ท่าน นี่ก็คือกุญแจเปิดของพระโพธิสัตว์ ข้าจะพาท่านไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

ผู้พิทักษ์กุ่ยต้ากล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านเทพ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน อิ่มหนำสำราญก่อนค่อย…”

เขายังไม่ทันพูดจบ ทุกคนก็เห็นท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณยืนขึ้นและส่งสัญญาณให้จูหงอิงนำทางไป

กุ่ยต้ามองไปที่กุ่ยเอ้อร์และส่งเสียงว่า “ก่อนหน้านี้ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณยังพูดคุยสนุกสนาน แต่ทันทีที่พูดถึงผีร้ายก็อดรนทนไม่ไหว สมกับที่เป็นจอมยุทธ์จริงๆ”

กุ่ยเอ้อร์ “ขอพูดบางอย่างที่ไม่เคารพเสียหน่อย ข้าคิดว่าท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณน่าจะค่อนข้างคล้ายพระโพธิสัตว์ของเรา พระโพธิสัตว์มีสองบุคลิก ด้านหนึ่งไม่กินอาหารมนุษย์ มีความเมตตากรุณา ส่วนอีกด้านชอบฟังคำชื่นชมเยินยอและติดดินมาก…”

กุ่ยต้ามองไปรอบๆ เขารู้ว่าผู้อาวุโสเอ้อร์เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในสมาคม เขาอาจสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

เขารีบส่งเสียงตอบว่า “อย่าพูดเรื่องนี้กับคนอื่น พระโพธิสัตว์ก็คือพระโพธิสัตว์ ไม่มีสองบุคลิกหรอก มังกรแห่งจิตวิญญาณก็คือมังกรแห่งจิตวิญญาณ เขาเพียงทนฟังว่ามีคนชั่วร้ายอยู่รอบตัวไม่ได้ และเพียงต้องการกำจัดสิ่งชั่วร้าย”

จูหงอิงลอยไปข้างหน้า นำอัศวิน A ไปยังส่วนลึกของถ้ำ

เธอลอยไปพูดไป “พระโพธิสัตว์ได้ปิดผนึกวิญญาณชั่วช้าที่สุดในถ้ำราชาผีแล้ว พวกที่อ่อนแอหน่อยให้พวกข้าเป็นคนปิดผนึกในภูเขา วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ บางส่วนทำบาปตั้งแต่ตอนเป็นคน แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยทำความชั่วร้ายใดๆ ตอนเป็นคน เพียงแต่หลังจากฟื้นฟูพลังชีวิต ด้วยโชคชะตาทำให้กลายเป็นผีอยู่ในโลกต่อไปได้ แต่พวกเขากลับคิดว่าหลังจากกลายเป็นผีแล้ว ไม่มีกฎหมายของโลกควบคุม จึงเริ่มทำเรื่องชั่วและทำร้ายมนุษย์ ร้อยละแปดเก้าสิบของบรรดาวิญญาณชั่วร้ายที่เราปราบปรามต่างตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ช่างน่าสงสาร”

อัศวิน A เอ่ยขึ้น “มันทั้งน่าเศร้าและน่าเกลียดชัง ข้ามาพร้อมอาณัติแห่งสวรรค์ เพื่อให้สรรพสิ่งใต้หล้าได้รู้จักกฎแห่งสวรรค์ เรื่องชั่วช้าที่ไม่ว่าใครก่อขึ้น แม้เป็นเรื่องเล็กๆ แต่ก็ชัดเจนในสายตาของข้า ยอมไม่ได้ที่จะเห็นพวกมันคิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ใครรู้ว่าทำเรื่องชั่วมาก่อน”

จูหงอิงได้ยินดังนั้นก็เปี่ยมด้วยความชื่นชม “ท่านอัศวินเป็นผู้มีอุดมการณ์เดียวกันกับพระโพธิสัตว์จริงๆ ท่านพระโพธิสัตว์เก็บตัวฝึกบำเพ็ญ ก็เพื่อให้วิญญาณร้ายโง่เขลาเหล่านี้รู้ว่าตายไปแล้วก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน ไม่ควรกำเริบเสิบสาน”

……………………………………………………………

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

Status: Ongoing

จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย

แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ

เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า

และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!?

...

จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ

กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย

ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท