บทที่ 57 ท่านเซียนกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน
“แค่กๆ ในเมื่อแม่นางจิ่วเอ๋อร์จงรักภักดี สหายเสิ่นก็อย่าไปฝืนใจนางเลย!”
จางอวิ๋นซีใช้ฤทธิ์เดชที่เหลืออยู่ไม่มากแอบระเหยเหงื่อบนใบหน้า
สารภาพตามตรง นางกังวลว่าเสิ่นเทียนจะให้นางโปรดสัตว์จิ่วเอ๋อร์จริงๆ ถึงอย่างไรด้วยระดับฝีมือมนต์สู่สุขาวดีเทพสวรรค์ของนางในตอนนี้ การจะโปรดสัตว์มารดาภูตผีไม่ง่ายเลย!
แต่สิ่งที่ทำให้จางอวิ๋นซีโล่งอกคือ ตอนที่นางโปรดสัตว์เมื่อครู่นี้ เสิ่นเทียนไม่ได้ชิงจังหวะลงมือโจมตีนางที่กำลังสำแดงวิชาอยู่ นี่ทำให้นางเชื่อใจเสิ่นเทียนขึ้นอีกหลายส่วน
นักพรตเต๋าท่านนี้น่าจะเป็นคนดี
หลังจากโปรดสัตว์โอรสภูตผีทั้งหมดจนสะอาดหมดจดแล้ว จางอวิ๋นซีก็ส่งลูกประคำคืนให้เสิ่นเทียน
นางเอ่ยนิ่งๆ ว่า “อวิ๋นซีได้ให้วิชาบำเพ็ญของภูตผีเอาไว้ในลูกประคำหนึ่งแขนงด้วย ถ้าแม่นางจิ่วเอ๋อร์หมั่นฝึกฝนจะเปลี่ยนแรงอาฆาตได้ รอจนแรงอาฆาตกลายเป็นฤทธิ์เดชทั้งหมด ภายภาคหน้าหากจะผ่านภัยพิบัติกลายเป็นเซียนภูตก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เสิ่นเทียนเห็นจางอวิ๋นซีไม่อยากโปรดสัตว์จิ่วเอ๋อร์ จิ่วเอ๋อร์เองก็ไม่อยากโปรดสัตว์
เขาจึงได้แต่พยักหน้าด้วยความจนปัญญา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านเซียนแล้ว”
ช่างเถอะ ในเมื่อโปรดสัตว์ไม่ได้ก็เลี้ยงเอาไว้แล้วกัน
ถึงการเลี้ยงภูตสาวน้อยตนนี้จะไม่ง่ายเลย แต่น้ำมวลหนักปฐมกาลในไตตอนนี้กินเยอะกว่าอีก บีบออกมาจากในนั้นส่วนหนึ่งก็น่าจะเลี้ยงจิ่วเอ๋อร์ให้อิ่มได้
เฮ้อ เสิ่นเทียนรู้สึกว่ารอบตัวตนมีแต่พวกตัวเผาเงินทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะตนหาเงินได้เร็วก็คงสู้ไม่ไหวจริงๆ!
ทางด้านจางอวิ๋นซีเองก็ถอนหายใจโล่งอก นางตัดสินใจเงียบๆ ในใจว่าครั้งนี้กลับไปแล้วจะต้องหักใจแน่วแน่ ฝึกฝนมนต์สู่สุขาวดีเทพสวรรค์อย่างจริงจัง
ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าเจอสถานการณ์แบบนี้อีกแล้วโปรดสัตว์ไม่ได้ คงอายน่าดู!
และที่สำคัญกว่านั้นคือ เวลามองภูตสาวน้อยตนนั้นวนเวียนอยู่รอบเสิ่นเทียน นางจะรู้สึกหน่วงๆ ในใจ ไม่สบายใจเล็กน้อย
‘เฮ้อ ถ้าตอนนั้นที่อาจารย์สอนมนต์สู่สุขาวดี ข้าพยายามศึกษาร่ำเรียน ไม่หนีเรียนละก็ ตอนนี้ต้องโปรดสัตว์ภูตสาวตนนี้ได้แน่!’
……..
เสิ่นเทียนรับลูกประคำมาวางไว้ในกระเป๋าศิลาวิญญาณอีกใบ ก่อนจะประสานมือคารวะให้จางอวิ๋นซี “วันนี้รบกวนท่านเซียนจริงๆ”
จางอวิ๋นซียืดตัวขึ้นทันที ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “สบายๆ เหมือนพลิกฝ่ามือเท่านั้น”
เอ่ยจบ จางอวิ๋นซีก็จ้องเสิ่นเทียนอย่างเย็นชา เสิ่นเทียนก็มองจางอวิ๋นซีเช่นกัน สองคนไม่พูดไม่จา เวลานี้ภายในห้องเงียบสงัดเล็กน้อย
‘แค่กๆ นี่ก็รู้แน่ชัดแล้วว่าข้าไม่ใช่ลัทธิวิญญาณร้าย ท่านเซียนยังอยู่ในห้องข้าอีกทำไมรึ!
ฟ้ามืดแล้ว ข้าต้องพักผ่อน’
เสิ่นเทียนจนปัญญา สตรีศักดิ์สิทธิ์นี่คิดจะทำอะไรอีก?
จางอวิ๋นซีเหมือนรู้สึกถึงความอึดอัดในบรรยากาศเช่นกัน
นางจึงกระแอมไอเบาๆ “ได้ยินว่าสหายเสิ่นชำนาญวิชาการค้นวิญญาณประเมินแร่รึ”
เสิ่นเทียนเองก็ไม่แปลกใจที่จางอวิ๋นซีรู้เรื่องค้นวิญญาณประเมินแร่ ในเมื่อก่อนหน้านี้นางสงสัยว่าเสิ่นเทียนเป็นคนของลัทธิวิญญาณร้าย นางถึงได้มาอยู่หน้าเสิ่นเทียนในตอนนี้ และจะต้องเคยตรวจสอบอะไรมามากมายแน่นอน
เสิ่นเทียนค้นวิญญาณประเมินแร่ หาโชคลิขิตให้ผู้มีวาสนา แทบจะแพร่งพรายไปทั่วทั้งสวนหมื่นวิญญาณแล้ว
ถ้าจางอวิ๋นซีไม่รู้เลยนั่นสิแปลก!
เสิ่นเทียนพยักหน้า “ใช่ ข้าก็พอจะเข้าใจการค้นวิญญาณประเมินแร่อยู่บ้าง”
จางอวิ๋นซีจ้องเสิ่นเทียนอีกครั้ง “ได้ยินว่าสหายเสิ่นค้นวิญญาณประเมินแร่ให้แค่ผู้มีวาสนาหรือ”
เสิ่นเทียนพยักหน้าอย่างสัตย์จริงในเรื่องนี้ “ใช่ ผู้ไร้วาสนามีหมื่นตำลึงทองก็ไม่รับ”
จางอวิ๋นซีเผยอมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นในมุมมองเจ้า เห็นว่าอวิ๋นซีกับสหายเสิ่นมีวาสนาต่อกันหรือไม่”
จางอวิ๋นซีทำหน้ามั่นใจในตนเองและโอหังอย่างชัดเจน
นางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ถึงจะไม่เคยร่ำเรียนวิชาค้นวิญญาณประเมินแร่เป็นวิชาเอก แต่ก็เข้าออกสวนแร่วิญญาณขนาดใหญ่มาตั้งแต่เยาว์วัย ได้รู้เห็นจนซึมซับโดยไม่รู้ตัวจึงเข้าใจไม่น้อย
นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีนักชีพจรวิญญาณจากสำนักไหนต้องดูโชควาสนาด้วย
ในมุมมองนาง นี่เป็นข้ออ้างที่เสิ่นเทียนใช้เลือกคนที่ถูกชะตาชัดๆ
จางอวิ๋นซีรู้ตัวดีว่าใบหน้าและขอบเขตพลังตนคือผู้โดดเด่นในสตรีศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา อีกทั้งเมื่อครู่ยังเป็นธุระช่วยเสิ่นเทียนโปรดสัตว์โอรสภูตผีอีก
ในด้านความรู้สึกและเหตุผล เสิ่นเทียนก็น่าจะให้เกียรตินาง
พูดออกมาสิ…ว่าท่านเซียนกับข้ามีวาสนาต่อกัน!
……
ทว่าในใจเสิ่นเทียนตอนนี้กลับงุนงง
‘อะไรนะ สตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็อยากให้ข้าช่วยหาแร่รึ
ไหนเจ้าว่าเจ้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ยังจะมาสนใจแร่เล็กๆ น้อยๆ ในสวนหมื่นวิญญาณอีกหรือ’
รู้กันดีว่าถึงศิลาวิญญาณในสวนหมื่นวิญญาณจะมีเยอะ แต่คุณภาพสินค้าส่วนใหญ่ธรรมดามาก อัจฉริยะสุดยอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์กับแดนเทวาผาสุกพวกนั้นไม่สนใจเลย
มีเพียงคนฐานะธรรมดาในโลกบำเพ็ญที่ชื่นชอบมาเที่ยวเล่นที่นี่
ส่วนบุรุษศักดิ์สิทธิ์กับสตรีศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นจะไปสวนแร่วิญญาณในระดับชั้นสูงกว่า ในสวนแร่วิญญาณพวกนั้นรวมหินแร่คุณภาพสูงทุกชนิดเอาไว้
พูดได้ว่าหยิบๆ แร่วิญญาณมาสักก้อน ราคาขั้นต่ำก็พันศิลาวิญญาณแล้ว และถ้าโชคดี ของที่เปิดได้ในนั้นจะล้ำค่าอย่างยิ่ง
สมบัติวิญญาณระดับสูงสุด วิชาลับไร้ผู้สืบทอด สมบัติอัศจรรย์ที่ถูกผนึก กระทั่งเทพธิดาบรรพกาลที่ถูกผนึกหลับใหลมาเป็นหมื่นปี ก็มีโอกาสดวงดีเปิดได้
เล่าลือว่าเมื่อหลายปีก่อน ในสวนวิญญาณบุพกาล
บุรุษศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงในยุคนั้นเปิดได้ม้วนหยกครึ่งหนึ่ง ในม้วนหยกถ่ายทอดวิชานั้นบันทึกคัมภีร์จักรพรรดินิพพานอมตะเอาไว้
บรรพบุรุษแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงอาศัยมรดกวิชานี้อยู่รอดจนมาถึงยุคที่สองได้สำเร็จ ศักยภาพและไพ่ตายของทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงแข็งแกร่งขึ้นอย่างยิ่งเพราะเหตุนี้
ในสายตาเสิ่นเทียน สวนแร่วิญญาณระดับอย่างสวนวิญญาณบุพกาลต่างหากถึงเป็นที่ที่สตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างจางอวิ๋นซีควรจะไป จะมาเที่ยวเล่นอะไรที่สวนหมื่นวิญญาณล่ะ!
ก็ได้! เหตุผลหลักๆ ก็เพราะเมื่อครู่เสิ่นเทียนเห็นว่าเหนือวงรัศมีบนศีรษะจางอวิ๋นซีไม่มีภาพโชคลิขิต
บนศีรษะยังไม่รวมเป็นภาพโชคลิขิต ต่อให้ดวงชะตาแกร่งกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์
เสิ่นเทียนจึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความจำใจ “ท่านเซียนกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน”
เพิ่งพูดจบ เสิ่นเทียนก็รู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องเหมือนจะลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าสายตาของจางอวิ๋นซีตอนนี้เหมือนจะไม่ค่อยพอใจ กระทั่งมีความคับแค้นใจเล็กน้อย
…………
จางอวิ๋นซีสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกโมโหจวนอกจะระเบิดอยู่แล้ว
ข้าเป็นคนขอผูกมิตรก่อน แต่กลับไม่ไว้หน้ากันเลย!
ความอัปยศอันใหญ่หลวง นี่คือความอัปยศอันใหญ่หลวง!
เจ้าคนแซ่เสิ่น เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!
ข้าจางอวิ๋นซีสตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เคยต้องคับอกคับใจเช่นนี้หรือ!
ตอนนี้เองพลันมีเสียงตะโกนดังมาจากนอกห้อง “ท่านเซียนอย่าบุ่มบ่าม!”
“กลุ่มผู้คุมกฎสวนหมื่นวิญญาณอยู่นี่แล้ว ใครกันที่กล้าเสียมารยาทกับท่านเซียน?”
เสิ่นเทียนมองไปข้างนอกโรงเตี๊ยมผ่านหน้าต่างที่กุ้ยกงกงพังเข้ามา เห็นกลุ่มผู้คุมกฎขี่กระบี่บินอยู่บนฟ้ามาแต่ไกล บางครั้งก็เรียงขบวนเป็นตัวอักษรอี (一) บางครั้งเรียงเป็นตัวอักษรเหริน (人)
หัวหน้ากลุ่มสามคนที่นำหน้ามาเป็นคนรู้จัก
หัวหน้ากลุ่มผู้คุมกฎระดับแก่นพลังทองสามคนนั้นต่างตื่นเต้นอยู่ในใจ
ไม่นึกเลยว่าเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีโอกาสถวายไมตรีจิตให้ท่านเซียนอีกแล้ว
โชคชะตาชักพาจริงๆ!
พอนึกถึงตรงนี้ พวกเขาก็แสดงฝีมือกันเต็มที่
“ผู้บำเพ็ญวิถีมารที่ไหนถึงกล้าลงมือกับท่านเซียน?”
“รวมค่ายกล ค่ายกลกระบี่ปราบมาร กำราบมัน!”
แสงกระบี่สีทองสว่างพร่างพราวรวมเข้าด้วยกัน ผู้คุมกฎหลายสิบคนผสานกระบี่เป็นหนึ่ง กลายเป็นปราณกระบี่มหึมายาวหลายสิบเมตรเล่มหนึ่งพุ่งตรงไปหาจางอวิ๋นซี
…………………..……………….