บทที่ 67 นั่นคือพี่น้องของข้านะ!
ทันใดนั้น เสิ่นเทียนฉุกคิดขึ้นมาได้ ก่อนจะนำหน้ากากขนหงส์ที่จางอวิ๋นซีให้มาสวมบนใบหน้า
อย่าว่าแต่ขนาดพอเหมาะมากเลย แถมยังมีกลิ่นหอมจางๆ ด้วย
อืม หน้ากากบดบังใบหน้าข้าหมด พี่หกก็น่าจะจำข้าไม่ได้แล้วกระมัง!
สวมหน้ากากแล้วหยิบกระจกออกมาดู
เสิ่นเทียนแอบชื่นชมในใจ นี่มันใบหน้าอันสมบูรณ์แบบ!
เขาตามเถ้าแก่ซ่งเดินมาถึงห้องลับร้านวิญญาณสวรรค์
เมื่อผลักประตูใหญ่ห้องลับ คุณชายซ่งกำลังยืนพิงสัปหงก ทางด้านเสิ่นเอ้ามีรอยฝ่ามือกับลูกกลมๆ สีแดงเล็กบนใบหน้า เหมือนจะดีกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว
เสิ่นเทียนเห็นเสิ่นเอ้าที่โดนเชือกคล้องคอและมัดแขนสองข้างไว้ข้างหลังบนไม้กางเขนในสภาพอนาถาแล้ว มุมปากกระตุกเล็กน้อย “ซี้ด พวกเจ้าตบแต่หน้าอย่างเดียวเลยนี่!”
……..
เสิ่นเทียนเพิ่งพูดจบ ก็เห็นเสิ่นเอ้าที่ตอนแรกยังหงอยเหงาพลันตาเป็นประกายขึ้นมา
เขาพลันมองเสิ่นเทียน นัยน์ตามีความหวาดกลัวสามส่วนและตื่นกลัวเจ็ดส่วน
“เสียงนี้คุ้นหูมาก! อ่า หรือว่าเจ้าคือ? น้องสิบสามรึ”
บรรลัย นี่ยังฟังออกอีกรึ
เสิ่นเทียนรู้สึกเย็นวาบข้างหลัง นิ่งอึ้งไปทั้งตัวแล้ว!
เขารีบส่ายหน้า “เปล่า ข้าไม่ใช่ อย่าพูดไร้สาระ”
เสิ่นเอ้าจ้องเสิ่นเทียน ประกายความตื่นกลัวในตาเขาเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ข้าก็ว่าแล้วไง! เหตุใดข้าถึงได้ซวยเช่นนี้!
พอมาถึงสวนหมื่นวิญญาณก็ถูกปองร้ายอย่างน่าประหลาด
พูดไปพูดมาน้องสิบสามไอ้เด็กดวงซวยนี่ก็อยู่สวนหมื่นวิญญาณเหมือนกัน!
รู้อย่างนี้แต่แรกข้าไม่ควรมาที่นี่เลย เจอกับหายนะที่ไม่มีเค้าลางมาก่อนจริงๆ!
เสิ่นเอ้าพิจารณาเสิ่นเทียนก่อนจะยิ้มเจื่อน “น้องสิบสาม อย่าก่อเรื่องเลย เจ้าเหลือบมองรองเท้าของเจ้าหน่อย นั่นสั่งทำพิเศษสำหรับราชวงศ์”
เสิ่นเทียนอึ้งไป เขาก้มหน้ามองดูอย่างละเอียด
ตนสวมรองเท้าแพรดำไหมทองจริงๆ แล้วด้านข้างรองเท้านั่นยังฝังจี้หยกสีมรกตอีกชิ้น ด้านบนแกะสลักคำว่า ‘สิบสาม’
……..
ซี้ด พี่หกก็ยังเป็นพี่หก
สมกับเป็นอัจฉริยะที่พานพบได้ยากในรอบร้อยปีของอาณาจักรต้าเหยียน ใบหน้าปูดบวมจนแทบไม่เห็นดวงตาแล้ว สายตายังเฉียบคมถึงเพียงนั้น
เสิ่นเทียนนับถือในใจยิ่งนัก ทว่าก็จะให้เผยฐานะแท้จริงไม่ได้เด็ดขาด
เขาจึงกดเสียงต่ำลง เดินมาทางเสิ่นเอ้าช้าๆ “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”
“หยุดก่อน! ช่วยไม่ได้ ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เจ้ายืนพูดอยู่ตรงนั้นเถอะ”
เสิ่นเอ้ารีบพูด “พี่เข้าใจ เจ้าไม่ใช่น้องสิบสาม เจ้าคือมือสังหารไร้ความปรานี ถูกหรือไม่!”
เสิ่นเอ้าพูดอย่างจำใจ “น้องพี่เจ้าจะจับพี่เป็นตัวประกันเพื่ออะไรกัน? หนึ่งพี่ไม่เคยคิดแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิ สองไม่เคยรังแกเจ้าด้วย อีกอย่างแม้เจ้าจะสังหารพี่ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้าเลย!”
เสิ่นเอ้าพูดปากเปียกปากแฉะ ตอนนี้เขาอยากจะมีชีวิตรอดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาอยากจะหายไปจากที่นี่ทันที ไปไกลเท่าไรยิ่งดี จากนี้จะมาไม่ที่เฮงซวยแบบนี้อีก!
ความจริงก็ต้องโทษตัวข้าเองเหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าก่อนหน้านี้สัมผัสน้องสิบสามทางอ้อม เหตุใดถึงยังออกจากตำหนักอีก?
ตอนนี้เอาล่ะ ไม่ได้สัมผัสทางอ้อม แต่เผชิญหน้าตรงๆ เลย
เหตุใดจู่ๆ ถึงมีความรู้สึกว่าจะออกจากห้องนี้ไม่ได้ก็ไม่รู้!
…….
เสิ่นเทียนมององค์ชายหกเสิ่นเอ้าที่ทำหน้าตื่นกลัวพลางถอนหายใจด้วยความจนปัญญา
พี่หกนี่ มองข้าเป็นคนโง่รึ
เจ้าบอกว่าไม่เชื่อว่าข้าคือน้องสิบสาม แต่สรุปกลับมาเรียกน้อง
นี่แสดงให้เห็นเลยว่าอ่านวิชาแปลงโฉมเวอร์ชันอัปเกรดของข้าออก เจ้าจะให้ข้าวางใจปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร ถ้าเกิดช่วยเจ้าแล้ว โกรธแค้นอยู่ในใจแล้ววางแผนปองร้ายข้าล่ะจำทำอย่างไร
ถึงตอนนี้เหนือหัวข้าจะเป็นสีเขียวแล้ว ไม่ได้ดวงซวยบรรลัยอย่างเมื่อก่อนอีก
แต่ไม่กลัวโจรขโมยก็ต้องกลัวโจรคิดถึงสิ!
มีอัจฉริยะวงรัศมีสีเขียวอมแดงอย่างเสิ่นเอ้าเคียดแค้นอยู่ เสิ่นเทียนมักจะรู้สึกไม่สบายใจ
…….
ตอนนี้ เถ้าแก่ซ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พอจะเข้าใจแล้ว
เขาถามด้วยความระมัดระวัง “หรือว่าท่านเซียนไม่ใช่เสิ่นเอ้า แต่เป็นท่านเสิ่นเทียนรึขอรับ”
เสิ่นเทียนมองค้อนอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าว่าไงล่ะ!”
“ที่แท้ก็เช่นนี้เอง ถ้าอย่างนั้นข้าเข้าใจแล้ว”
เถ้าแก่ซ่งมุมปากกระตุกเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวกลับมาตบหน้าบุตรชาย
เขาตะคอกด้วยความโมโหว่า “ไอ้ลูกไม่รักดี โดนตีแล้วยังไม่จำอีก!
ท่านเซียนสั่งสอนเจ้าแล้ว ก็บอกเจ้าชัดอยู่แล้วว่าคือฝ่าบาทองค์ชายสิบสามเสิ่นเทียน เหตุใดเจ้าถึงฟังเพี้ยนเป็นองค์ชายหก? เหตุใดหูเจ้าถึงหนวกเสียยิ่งกว่าเถ้าแก่หวังร้านข้างๆ!”
คุณชายซ่งโดนตบจนมึนงงไปหมด
เขาเหม่อมองเสิ่นเทียนพลางนึกถึงสถานการณ์ในวันนั้น
เขาจำได้ว่าตอนนั้นท่านเซียน…บอกประมาณว่าตนคือองค์ชายหกนี่นา!
“ข้าจำได้ว่าไม่ได้ฟังผิดนะ! หรือว่าตอนนั้นถูกตบตีกระเทือนถึงสมองเลยได้ยินหลอนไปเอง?”
เสิ่นเทียนอึ้งไปก่อนจะยิ้มแล้ว
เขากระแอมไอเสียงเบาก่อนมองคุณชายซ่งอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าไงล่ะ!”
พอเห็นท่านเซียนที่ทำหน้า ‘ไม่พอใจ’ แล้ว คุณชายซ่งก็กลัวขึ้นมา
เขาก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ “ข้าน่าจะฟังผิดไปเอง”
“ชิ พูดแบบนี้ ท่านนี้คือใคร”
“หรือว่าจะเป็นองค์ชายหกตัวจริง?”
ทันทีที่นึกถึงความเป็นไปได้นี้ สองพ่อลูกก็ลุกลี้ลุกลน
……
เมื่อได้ฟังคำพูดคุณชายซ่งแล้ว เสิ่นเอ้าคับอกคับใจยิ่งกว่าเดิม
เดิมทีเขาคิดว่าที่ตนโดนสองพ่อลูกตระกูลซ่งจับตัวเป็นเพราะแผนการร้ายหมายปองเขาอัจฉริยะที่พานพบได้ในรอบร้อยปีของอาณาจักรต้าเหยียน
ไม่นึกเลยว่าตนทรมานขนาดนี้ เพียงเพราะคุณชายซ่งฟังผิดคนเดียวหรือ
ข้าโดนทรมานมามากกว่าครึ่งวัน โดนตบตีไปไม่มีความหมายเลยสักนิดหรือ
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ไม่ว่าเรื่องใดถ้ามีน้องสิบสามเข้ามาเกี่ยวด้วยจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ฮือๆๆ ข้าระวังไม่มากพอจริงๆ!
ข้าไม่ควรจะออกจากวังมาตั้งแต่แรก!
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องทรมานเช่นนี้!
……
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเอ้าก็พูดหน้าเศร้า “ในเมื่อเป็นความเข้าใจผิดก็ช่างมันเถอะ!”
“น้องสิบสามเจ้าให้พวกเขาปล่อยพี่ไป พี่รับปากว่าจะไม่ผูกอาฆาตเจ้า”
พอเห็นว่าเสิ่นเอ้าสาบานอย่างหนักแน่นจริงใจแล้ว คุณชายซ่งตาเป็นประกาย
เขาถามว่า “ท่านเซียน ท่านพ่อ องค์ชายหกรับปากแล้วว่าจะไม่ผูกอาฆาต เราปล่อยท่านดีหรือไม่”
เถ้าแก่ซ่งมองเสิ่นเทียนด้วยสายตาเชิงถาม “ท่านเซียนคิดว่าจะทำอย่างไรดี”
เสิ่นเทียนมองเสิ่นเอ้า เหมือนกำลังวิเคราะห์อยู่ว่าไม่ผูกอาฆาตจริงหรือไม่
ตอนนี้เถ้าแก่ซ่งพูด เสิ่นเทียนจึงอดถามมิได้ “เถ้าแก่ซ่งคิดว่าพี่หกข้าจะผูกอาฆาตหรือไม่”
เถ้าแก่ซ่งได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้า ‘เข้าใจ’ ทันที
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเดินไปทางเสิ่นเอ้าเนิบๆ “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ในเมื่อผูกความแค้นไปแล้ว ถ้าจะหวังให้อีกฝ่ายไม่เคียดแค้น สู้จัดการเองดีกว่า ความหมายของท่านเซียนคือในเมื่อทำผิดแล้วก็ไปให้สุดเลย อาศัยตอนนี้ที่ไม่มีใครรู้ฆ่าปิดปากไปเลยใช่หรือไม่ ภายภาคหน้าจะได้ไม่มาแย่งตำแหน่งจักรพรรดิท่านด้วย!”
…….
เสิ่นเอ้าได้ฟังคำพูดเถ้าแก่ซ่งแล้วก็มีสีหน้าตื่นกลัวโดยพลัน
ทางด้านเสิ่นเทียนมองค้อนไปที ใบหน้าเต็มไปด้วยความจนปัญญา
ประโยคคำถาม ข้าพูดประโยคคำถาม!
เหตุใดเจ้าถึงฟังเป็นว่าข้าบอกให้เจ้าฆ่าปิดปากกัน?
ข้าจะไปโหดร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร ถึงขนาดให้คนฆ่าพี่หกตัวเองเลยหรือ?
นั่นพี่น้องที่รักสุดซึ้งของข้า พี่น้องแท้ๆ ของข้าเชียวนะ!
……………….……