บทที่ 97 ปรากฏการณ์เต่าดำ
บนดาดฟ้าเรือ ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตฉู่หลงเหอหายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
เถ้าแก่ซ่ง หลิวไท่อี่ เจินจื้อเจี่ย และสยงเหมิ่งกำลังหารือกันเรื่องกลยุทธ์ประจบท่านเซียนในภายภาคหน้า ส่วนกุ้ยกงกงกับฉินเกากำลังนั่งฌานฝึกบำเพ็ญ แปลงอัสนีเทพกำเนิดฟ้าในกายให้เป็นห้าอัสนีหยิน เพิ่มพูนศักยภาพ
เดิมทีทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอน จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากในห้องพิเศษ
เสียงนั้น ทุกคนคุ้นหูอย่างยิ่ง “อ้าก ออกมาแล้ว!”
ใช่ วินาทีที่ได้ยินเสียงนี้ ทุกคนฟังออกทันที
นี่คือเสียงของปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งจะต้องประสบเรื่องใดอยู่แน่ๆ
ฉินเกาหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จะชักกระบี่อ่อนตรงเอวออกมา “เหมือนว่าฝ่าบาทจะเจอปัญหาอะไรบางอย่าง”
เอ่ยจบ ฉินเกาก็กลายเป็นเศษเงาสีแดงพันรอบด้วยประกายแสงสายฟ้าสีม่วงเข้มข้นพุ่งไปยังห้องพิเศษ
กุ้ยกงกงมองบนก่อนจะสำแดงท่าร่างขวางไว้หน้าฉินเกา “เสี่ยวเกา ใจเย็นหน่อย!”
แก๊งๆๆ!
ต้องบอกว่าคุณสมบัติกายของฉินเกาเหมาะกับการฝึกฝนคัมภีร์มารสู่สุริยันจริงๆ ในไม่กี่วันสั้นๆ พลังบำเพ็ญรุดหน้าอย่างมาก ความเร็วขนาดนี้แม้แต่เถ้าแก่ซ่งที่อยู่ช่วงสร้างฐานยังชำเลืองตามอง
แต่เพราะเวลาฝึกบำเพ็ญน้อยเกินไป ไม่ว่าอย่างไรพลังบำเพ็ญก็ยังด้อยกว่ากุ้ยกงกงหนึ่งขั้นจึงถูกขวางเอาไว้
“ลุงกุ้ย เสียงฝ่าบาทเหมือนกำลังแย่เลย เราจะไม่ไปดูจริงๆ รึ”
กุ้ยกงกงมองเด็กหนุ่มริมฝีปากแดงฟันขาวตรงหน้าพลางถอนหายใจ “เสี่ยวเกาเจ้าใจเย็นก่อน มันเป็นสิ่งที่เราจินตนาการไม่ได้หรอก”
ฉินเกาอึ้งไปก่อนจะเหมือนนึกอะไรออก สีหน้าตึงเครียดค่อยๆ กลายเป็นปิติยินดี
ตอนนี้ดูแล้วลุงกุ้ยก็ยังเป็นลุงกุ้ย ข้าเทียบกับประสบการณ์เกือบหลายสิบปีในวังของเขาไม่ได้จริงๆ
แต่ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ในห้องพิเศษไม่ใช่หรือ
นัยน์ตาฉินเกาฉายแววประหลาดใจและจินตนาการอยู่ ไม่รู้ว่ามันจะจริงหรือไม่!
…….
‘สมกับเป็นท่านปรมาจารย์สวรรค์ ไม่อยากเชื่อว่าจะเอาลงได้กระทั่งสตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์’
‘สหายทุกท่าน ดูท่าภายภาคหน้าเราคงไม่ได้แค่ต้องประจบท่านปรมาจารย์สวรรค์แล้ว ต้องประจบสตรีศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นซีด้วย’
‘เฝ้ารอมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็มีวันนี้ หากพระสนมหลานในแดนปรโลกรู้เข้าจะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนปรโลกแน่นอน’
ทุกคนยืนบนดาดฟ้าเรือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างมีความคิดต่างกัน แต่ไม่ได้เอ่ยออกมาสักคำแบบยอมรับกันโดยนัยแล้ว
…..
ขณะเดียวกันในห้องพิเศษ
เห็นจางอวิ๋นซีจ้องบนศีรษะตนด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้ว เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย
ก็ยังทนไม่ไหวจริงๆ เผยเรื่องที่ตนรวมอัสนีเทพเต่าดำแล้วออกมาจนได้
เฮ้อ คนอย่างข้านี่ไม่ใช่แค่หล่อเหลายิ่ง แม้แต่การฝึกบำเพ็ญยังมีพรสวรรค์เหนือกว่าใคร จะไม่ทำตัวเด่นมันยากไปจริงๆ
เสิ่นเทียนถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง ศิษย์พี่หญิงจับได้แล้วจริงๆ จะตอบอย่างไรดี
ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วน เสิ่นเทียนขบคิดอย่างรวดเร็ว “อันนี้ข้าไม่รู้เรื่องนะ!”
เมื่อได้ฟังเสิ่นเทียนอธิบาย จางอวิ๋นซีก็พยักหน้า
จางอวิ๋นซีเผยอมุมปากเล็กน้อย “ศิษย์พี่ขอลูบมันหน่อยได้หรือไม่”
เห็นจางอวิ๋นซีทำหน้าเฝ้ารอคอยแล้ว เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกนิดๆ เต่าดำนี่มีอะไรให้น่าลูบกัน
ทว่าพอนึกถึงนิสัยของจางอวิ๋นซี เหมือนว่าต่อให้ข้าปฏิเสธก็จะไม่เป็นผลอะไรอยู่ดีนั้น!
เสิ่นเทียนจึงถอนหายใจด้วยความจนปัญญา “ศิษย์พี่หญิงอยากลูบก็ลูบเถอะ เบาๆ หน่อยก็พอ”
กลัวก็แต่แม่เสือสาวไม่หนักไม่เบา ส่งพายุสายฟ้าลงบนหัวข้านี่สิ เช่นนั้นเกรงว่าหัวข้าคงจะระเบิดเหมือนกับหัวเต่าดำ
จางอวิ๋นซีขานรับทีหนึ่ง ก่อนขยับมือขวามาคลุมปรากฏการณ์เต่าดำแล้วลูบลงไป เมื่อมือขวาจางอวิ๋นซีสัมผัสกับปรากฏการณ์เต่าดำ ก็มีแสงสีขาวหลั่งไหลเข้าไปในปรากฏการณ์
นั่นคือพลังแก่นรากของปรากฏการณ์ ‘พยัคฆ์ขาวคำรามนภา’ ของจางอวิ๋นซีกำลังหลอมรวมเข้าไปในปรากฏการณ์เต่าดำ
ปรากฏการณ์เต่าดำถล่มแคว้นขนาดเท่าฝ่ามือในตอนแรกเริ่มใหญ่ขึ้น
แม้จะไม่ได้ใหญ่ชัดเจนมากนัก แต่ก็ค่อยๆ มีขนาดเท่าหมวกแล้ว
จางอวิ๋นซีหน้าขาวซีดเล็กน้อย “ศิษย์น้องดูสิ ตอนนี้มันใหญ่ขึ้นแล้ว”
เสิ่นเทียนรู้สึกถึงพลังงานบริสุทธิ์ยิ่งกำลังหลั่งไหลเข้าไปในกาย ช่วยเขายกระดับแก่นรากพลังวิญญาณ แต่ดูจากสภาพจางอวิ๋นซีตอนนี้แล้ว คงไม่บาดเจ็บเพราะเสียพลังหรอกนะ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็พูด “ศิษย์พี่หญิงท่านหน้าซีดมากเลย หยุดก่อนเถอะ!”
จางอวิ๋นซีส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้าเพิ่งเคยทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ยังไม่ชินนิดๆ ต่อกันเลยเถอะ! ตอนนี้เจ้าต้องรีบเพิ่มศักยภาพ ศิษย์พี่หญิงไม่ได้มีปัญหาใหญ่หรอก พักสักคืนก็ดีขึ้นแล้ว”
เสิ่นเทียนเห็นจางอวิ๋นซีทำหน้าจริงจังแล้วก็อดซาบซึ้งใจยิ่งมิได้
จากนี้ไปคงต้องเคารพศิษย์พี่หญิงเหมือนพี่สาวแท้ๆ แล้ว!
………
ขณะที่เสิ่นเทียนกำลังซาบซึ้งใจนั้น!
จู่ๆ เรือเหาะพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เสิ่นเทียนวิ่งออกไปข้างนอกตามสัญชาตญาณด้วยความตกใจ แผ่นดินไหว!
จางอวิ๋นซีมองเสิ่นเทียนวิ่งออกจากประตูไปด้วยสีหน้าเป็นห่วง
เรือเหาะเทพสวรรค์เป็นสมบัติวิเศษระดับสุดยอดของแดนศักดิ์สิทธิ์ มีค่ายกลป้องกันและลดการสั่นสะเทือนระดับสูง
ปกติต่อให้มีผู้แข็งแกร่งระดับดวงจิตดรุณโจมตีเรือเหาะเทพสวรรค์ก็ยากจะทำให้เรือเหาะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้
หรือว่าจะมีผู้แข็งแกร่งผู้สูงศักดิ์สวรรค์ระดับหลอมรวมเทพมาหาเรื่อง หรือว่าจะเป็นเจ้ากระบี่ธารนิรันดร์
คิดได้ดังนั้น จางอวิ๋นซีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนขึงตัวเดินไปข้างนอก ทว่าตอนที่นางเดินมาถึงบนดาดฟ้า ใบหน้าจากขาวก็เริ่มเป็นสีดำ
จางอวิ๋นซีถาม “อาจารย์ลุงบัวมรกต ท่านปิดค่ายกลรึ”
ใช่ จางอวิ๋นซีพบว่าเรือเหาะเริ่มปิดค่ายกลตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
เดิมทีใช้รูปแบบล่องเรือปกติ ตอนนี้ปรับมาเป็นการบินด้วยรูปแบบประหยัดพลังงานที่สุด
ในรูปแบบนี้ เรือเหาะจะลดการใช้ศิลาวิญญาณลงไปมาก แต่การป้องกันจะลดลง และเพราะแบบนี้เอง การโจมตีที่ตอนแรกไม่อาจสั่นคลอนเรือเหาะถึงทำให้เรือเหาะสั่นสะเทือนได้
……
เปลวเพลิงสีมรกตรวมขึ้นกลางอากาศ ก่อนผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตฉู่หลงเหอหน้าแดงเล็กน้อย
เขากระแอมไอเบาๆ “คือว่า อาจารย์ลุงคิดว่าแบบนี้มันสิ้นเปลืองเกินไปน่ะ! มีกลิ่นอายพลังผู้แข็งแกร่งอย่างอาจารย์ลุงอยู่ เหตุใดจะต้องใช้ค่ายกลป้องกันด้วย!”
จางอวิ๋นซีพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าอย่างนั้นท่านช่วยอธิบายหน่อยว่าเหตุใดเรือเหาะถึงจู่ๆ สั่นสะเทือนรุนแรงเช่นนั้น
ข้ากำลังช่วยศิษย์น้องฝึกฝนอยู่นะ!”
……………………………………