บทที่ 121 มหาโชคลิขิตนี้ คงจะรับไว้ไม่ได้!
ตอนนี้เสิ่นเทียนยืนอยู่บนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ และเป็นจุดเด่นอย่างยิ่ง
ศิษย์ฝ่ายในทั้งหมดจ้องเสิ่นเทียนด้วยแววตาเร่าร้อน สายตาเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส
เดิมทีพวกเขาคิดว่าฐานะบุตรศักดิ์สิทธิ์หากไม่ให้จางอวิ๋นถิงที่มีความโด่งดังเหนือกว่าใครแล้ว ก็มอบให้ฟางฉางที่มีศักยภาพเหนือชั้น
แต่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าศิษย์พี่เสิ่นเทียน ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์และใบหน้าของศิษย์พี่อวิ๋นถิง หรือพลังบำเพ็ญและพรสวรรค์ของศิษย์พี่ฟางฉาง
ศิษย์พี่ฟางฉางท้าสู้กับศิษย์พี่เสิ่นเทียน ปรากฏว่ายังไม่ได้เข้ายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ ถูกศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ใช้ค่ายกลเอาชนะไปได้
ส่วนศิษย์พี่อวิ๋นถิงเดิมทีเป็นมิตรกับทุกคน โด่งดังอย่างมากในหมู่ลูกศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะศิษย์ผู้หญิง
ทว่าตอนที่เสิ่นเทียนปรากฏกาย ความโด่งดังต่อสตรีเพศของจางอวิ๋นถิงก็ถูกจู่โจมถึงแก่ชีวิต
จากนั้นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ประกาศอีกว่ายันต์ระเบิดอัสนีรูปแบบใหม่สมบูรณ์แบบได้เพราะเสิ่นเทียนชี้แนะ ในช่วงเวลาสั้นๆ กลุ่มลูกศิษย์ชายต่างก็เข้ามาเป็นผู้คลั่งไคล้เสิ่นเทียนกันแล้ว
ประกอบกับเมื่อครู่เสิ่นเทียนบอกแค่อยากให้ทุกคนในแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนดั่งมังกร นี่ทำให้ลูกศิษย์วัยหนุ่มสาวเลือดร้อนซาบซึ้งใจจนตัวสั่น
เสิ่นเทียนได้กลายเป็นไอดอลของแดนศักดิ์สิทธิ์ไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มองเสิ่นเทียน ในที่สุดก็กล่าวขึ้น “เรื่องนี้เรื่องใหญ่ อาจารย์เองก็ตัดสินใจไม่ได้ ต้องหาวันเรียกประชุมผู้อาวุโสในฝ่ายเรามาหารือกัน”
แม้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะเป็นผู้ดูแลแดนศักดิ์สิทธิ์ในรุ่นนี้ แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ว่าจะฟังความของฝ่ายเดียวได้ ต่อให้เป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็ได้แค่ดูแลแดนศักดิ์สิทธิ์พันปีเท่านั้น ยังมีผู้เฒ่าอย่างผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสูงสุดช่วยดูแลอยู่
เรื่องการเปลี่ยนบัญญัติบรรพชนของแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจโดยพลการ ต้องหารือกันอย่างเปิดเผย
ทว่าตอนที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เอ่ยว่า ‘ต้องเรียกรวมผู้อาวุโสมาหารือกัน’ นั้น ท่าทีของเขาชัดเจนแล้ว
เพราะในแดนศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ คนที่มีมรดกวิชาเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์มีแค่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ และเสิ่นเทียนสามคนเท่านั้น
ในเมื่อพวกเขาเป็นผู้ได้ประโยชน์ และผู้อาวุโสคนอื่นๆ กับผู้อาวุโสสูงสุดก็มีพรสวรรค์จะฝึกฝน
ถ้าเรียกผู้อาวุโสมาหารือกันจริงๆ ข้อเสนอนี้ก็น่าจะผ่านฉลุย
ถึงตอนนั้นหลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยหลายร้อยปีนี้บทต้องห้ามก็จะเผยแพร่ต่อสาธารณะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ศักยภาพของศิษย์แกนหลักแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ในหลายยุคใกล้ๆ นี้จะเพิ่มขึ้นไปแบบขั้นบันได
แต่ขณะเดียวกัน อำนาจของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ผู้อาวุโสกับอำนาจของบุตรศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ลูกศิษย์ก็จะถูกท้าทายเช่นกัน
กล่าวได้ว่าหากไม่ใช่ผู้นำที่มีความกล้าหาญและมั่นใจในตัวเองมาก จะไม่กล้าตัดสินใจเช่นนี้แน่
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้นำเช่นนั้น และเสิ่นเทียนลูกศิษย์ของตนก็เช่นกัน
ประกอบกับเขาฝึกฝนคัมภีร์เสริมวิถีฟ้าและไม่ใช่คนหัวโบราณจริงๆ ด้วย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจว่าจะลองผลักดันการเปลี่ยนกฎดู!
คนอื่นฝึกฝนวิชามหาจักรพรรดิเหมือนกันแล้วอย่างไร
ตอนนั้นข้ามีความสามารถเหนือพวกเจ้าเป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ นับจากนี้ก็เช่นกัน
ศิษย์ข้าคือบุตรแห่งโชคที่รักยิ่งของสวรรค์ ก็ยิ่งไม่อ่อนแอกว่าผู้ใด!
………
ยามนี้ เมื่อมองเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศดั่งเทพเจ้าสายฟ้ากับเสิ่นเทียนที่ยืนโอหังบนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ดั่งเซียนลงมาเยือน
ศิษย์ทุกคนตรงตีนเขาเริ่มลุ่มหลงทีละนิด พวกเขาเหมือนเห็นยุคสมัยใหม่กำลังเปิดม่านออก
ฟางฉางกำหมัดแน่นช้าๆ ‘รอแก่นพลังทองข้าถึงเก้ารอบก่อน จะต้องเอาชนะเจ้าได้แน่!’
ตอนนี้เอง เกิดภาพปรากฏการณ์พยัคฆ์ขาวมหึมาตัวหนึ่งบนฟ้าไกลๆ
โฮก~!
เสียงสั่นสะเทือนฟ้าดิน ราวกับว่าดวงตะวันจันทราและท้องฟ้ากำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ร่างระหงพลันปรากฏกลางฟ้าไกลๆ
นางสวมชุดเกราะแสงสว่างพยัคฆ์ขาว เสื้อคลุมพาดบ่าดังพึ่บพั่บราวกับเทพีสงคราม
ใช่ คนนี้คือจางอวิ๋นซี ก่อนจะเห็นร่างนางหลอมรวมกับปรากฏการณ์เป็นร่างเดียวแล้วพุ่งเข้ามาปานประกายแสง
“จางอวิ๋นถิง ฟางฉาง ใครให้พวกท่านมาก่อเรื่องที่ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์กัน มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ!”
เมื่อเอ่ยจบ ร่างของจางอวิ๋นซีก็ลากพลังมหาศาลพุ่งทะยานมาตรงหน้ายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ จนเห็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อยู่ด้วย นางถึงได้ใจเย็นลงบ้าง “ลูกขอคารวะท่านพ่อ”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พยักหน้า เสียงในประกายสายฟ้าไร้คลื่นอารมณ์ “แก่นพลังทองแปดรอบ? ถือว่าไม่เลว”
จางอวิ๋นซียิ้ม “ดีที่ศิษย์น้องเสิ่นเทียนนำบทต้องห้ามกลับมา และยังให้ลูกได้ดูดซับแก่นรากอัสนีเทพไปไม่น้อยด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าลูกจะสำเร็จแก่นพลังทองแปดรอบ อย่างน้อยต้องฝึกบำเพ็ญอย่างหนักหลายปีถึงจะลองได้”
ฟางฉางข้างๆ กันเห็นจางอวิ๋นซีมาก็รีบพูด “ยินดีด้วยศิษย์น้องหญิง!”
จางอวิ๋นซีทำเสียงขึ้นจมูก “ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดท่านต้องมาก่อเรื่องที่ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ด้วย”
ใบหน้าคิ้วหนาตาโตของฟางฉางฉายแววโมโห “ก็ศิษย์พี่ได้ยินว่าเจ้าเด็กเสิ่นเทียนนี่รังแกเจ้า! ศิษย์น้องหญิงวางใจเถอะ ข้าไปตรวจสอบอย่างดีมาแล้ว บัญญัติบรรพชนบอกว่าถ้ามีใจตรงกัน ผู้มีวาสนาถึงจะขอตบแต่งกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ ถึงข้าจะสนใจเจ้าเด็กนี่มาก แต่ถ้าเขาบีบบังคับรังแกเจ้าจริงๆ ศิษย์พี่จะไม่ยอมรับเด็ดขาด!”
เสิ่นเทียนอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าแปลกๆ ทันที “บัญญัติบรรพชนกล่าวไว้เช่นนี้จริงๆ รึ”
ฟางฉางแค่นเสียงขึ้นจมูก “แน่นอน ดังนั้นเจ้าอย่าหวังจะใช้บัญญัติบรรพชนมาอ้างเลย!”
ฟางฉางกำลังพูดอย่างเมามัน แต่ไม่สังเกตเห็นเลยว่าจางอวิ๋นซีข้างๆ มีใบหน้าดำมืดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เสิ่นเทียนถึงกับถอนหายใจโล่งอก “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป ข้ากับศิษย์พี่หญิงยังสะอาดบริสุทธิ์!”
ฟางฉางทำเสียงหึ “เสิ่นเทียนเจ้าอย่ามาหลอกข้า ข้าได้ยินมาจากศิษย์น้องอวิ๋นเฟิงชัดเลยว่าเจ้าฝึกคู่ประสานกับศิษย์น้องหญิง! ข้าขอเตือนเจ้านะ ข้ายินดีที่จะแข่งกับเจ้าอย่างยุติธรรม แต่ถ้าเจ้ากล้าพูดหยอดไม่จริงใจกับศิษย์น้องหญิงละก็ ต่อให้เจ้าเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายเรา ข้าฟางฉางก็ไม่มีทางยอมรับ ข้าจะอัดเจ้าอย่างแน่นอน!”
……
เมื่อได้ฟังคำพูดแปลกๆ ของฟางฉางแล้ว เสิ่นเทียนถึงกับเป็นบ้าไปเลย
อะไรคือข้าฝึกคู่ประสานกับศิษย์พี่หญิงอวิ๋นซีแล้ว
ทั้งยังเจ้าอวิ๋นเฟิงนั่นพูดมั่วอีก
เจ้านั่นอยู่ไหน ข้ามีปืนปทุมฆาตเทพยี่สิบนัด จะให้เจ้าลองชิมรสชาติหน่อย!
แม้แต่เสิ่นเทียนยังเป็นบ้า จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงจางอวิ๋นซีที่ยืนอยู่ข้างๆ
นางฝืนทนไม่ไปมองใบหน้าแปลกๆ ของเสิ่นเทียนก่อนเดินมาข้างฟางฉางช้าๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ อวิ๋นซีเพิ่งสำเร็จแก่นพลังทองรอบแปด ขอประลองกับท่านสักหน่อยได้หรือไม่”
ฟางฉางยิ้มด้วยความลำพองใจ “เห็นแล้วล่ะสิ ถ้าศิษย์น้องหญิงจะประลองฝีมือก็ต้องนึกถึงข้าก่อนเป็นคนแรกเสมอ! ศิษย์น้องหญิงวางใจเถอะ ศิษย์พี่ไม่ใช่ผู้ชายหัวโบราณเช่นนั้น ไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเสียตัวมาก่อนหรือไม่ ศิษย์พี่จะแข่งกับเสิ่นเทียนอย่างยุติธรรม ถ้าศิษย์น้องหญิงคิดว่า…อู้ๆๆ?”
ฟางฉางยังพูดไม่จบก็โดนจางอวิ๋นซีร่ายมนตร์ห้ามเอ่ย
นางเค้นรอยยิ้มออกมา “ศิษย์พี่ ไม่ต้องพูดแล้วจะได้หรือไม่”
ฟางฉางอึ้งไป ก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าอย่างผู้บริสุทธิ์
จางอวิ๋นซียิ้มด้วยความปลื้มใจ ก่อนจะมองไปลงใต้ภูเขา
ในกลุ่มคนนั้นมีผู้ชายชุดคลุมดำแบกกระบี่ยาวหน้าตาหล่อเหลาอยู่คนหนึ่ง
ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นกำลังเตรียมแอบหนีไปเงียบๆ แต่กลับโดนจางอวิ๋นซีเรียกเอาไว้
“ศิษย์น้องอวิ๋นเฟิงจะรีบร้อนอะไรเช่นนั้น ไม่ได้เจอกันหลายวันคิดถึงเหลือเกิน มาประลองฝีมือกันสักหน่อยดีกว่า!”
จางอวิ๋นซีแสดงความเคารพเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ “ท่านพ่อ ลูกขอลาตรงนี้”
เอ่ยจบ จางอวิ๋นซีที่เพิ่งออกด่านบำเพ็ญตรงมายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ลากฟางฉางกับหลี่อวิ๋นเฟิงบินจากไปเหมือนกับขี่กระบี่
เสิ่นเทียนบนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์เห็นดังนั้นก็ทำหน้างุนงง
ศิษย์พี่หญิงเพิ่งมา เหตุใดถึงไปแล้วล่ะ นางจะไปก็ไปสิ เหตุใดต้องลากศิษย์น้องฟางฉางไปด้วย
เสิ่นเทียนยังบอกอีกว่ารอปลอบโยนฟางฉางเสร็จแล้ว ดูด้วยว่าจะออกไปฝึกฝนร่วมกันได้หรือไม่!
…..
ใช่ เสิ่นเทียนอยากออกไปฝึกฝนร่วมกับฟางฉาง เพราะเหนือศีรษะเจ้านี่ก็มีวงรัศมีสีทองเช่นกัน
แม้แสงสว่างจะไม่จ้าเท่าของจางอวิ๋นซี แต่ก็ถือว่าค่อนข้างสว่างแล้ว คนโง่ในแบบอย่างก็มีโชคของคนโง่
และที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อครู่นี้ตอนที่เสิ่นเทียนเล่นมัดตัวฟางฉาง เขาสังเกตเห็นภาพบนวงรัศมีของเขาอย่างละเอียดด้วย
นี่หมายความว่าศิษย์พี่ใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะเจอมหาโชคลิขิตที่ใช้ได้ในเร็วๆ นี้
ควรรู้ไว้ว่าครั้งก่อนที่เจอโชคลิขิตวงรัศมีสีทองของจางอวิ๋นซี ก็เปิดได้จี้มังกรพยัคฆ์!
และโชคลิขิตนี้ทำให้เสิ่นเทียนเปลี่ยนจากวงรัศมีสีขาวอมดำเป็นสีเขียว
โชคลิขิตเช่นนี้ เสิ่นเทียนจะไปยอมให้ตัวเองพลาดไปได้อย่างไร
แต่เสิ่นเทียนกำลังขบคิดถึงปัญหาหนึ่ง นั่นคือหากเขาออกไปฝึกฝนร่วมกับเจ้าฟางฉางนี่จริงๆ จะโดนเจ้าโง่ไร้สมองแถมรักจางอวิ๋นซีข้างเดียวนี่สับเอาหรือไม่
คิดๆ ดูแล้วแม้จะมีความเป็นไปได้ไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย!
เวลานี้ เสิ่นเทียนรู้สึกว้าวุ่นในใจเล็กน้อย
เขาคงจะรับมหาโชคลิขิตนี้ไว้ไม่ได้!
………………………………….……