บทที่ 148 ขอเซ่นไหว้ตัวข้า กระบี่ส่องแสงฟ้าดิน
เถาวัลย์มรกตยักษ์สูงพันจั้งพุ่งขึ้นฟ้า แตกแขนงเข้าไปในมวลอากาศ พริบตาเดียวพลังปราณเดิมที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งก็หลั่งทะลักจากมวลอากาศเข้าไปในเถากลืนกินเซียน ถูกมันหล่อหลอมไป
ขณะเดียวกันเถาจองจำเซียนแต่ละต้นกลางเมืองหมอกลับแลก็ค่อยๆ แห้งเหี่ยวลง เสียพลังชีวิตไปกลายเป็นเถาแห้ง เห็นได้ชัดว่าเถาจองจำเซียนพวกนี้เป็นเพียงหุ่นเชิดของมารดาเถาลวี่จี เป็นเครื่องมือที่นางใช้สูบกินพลังปราณเดิมของเผ่ามนุษย์
ตอนนี้มารดาเถากำลังฝ่าด่านเคราะห์ ดังนั้นจึงดึงพลังปราณเดิมของเผ่ามนุษย์ที่หุ่นเชิดทั้งหมดสูบกินกลับมา ใช้ฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะ
หลังจากสูบพลังปราณเดิมของเถาจองจำเซียนกับมนุษย์จำนวนมากแล้ว เถาวัลย์เถามรกตสูงพันจั้งนั้นก็เปล่งแสงวาววับยิ่งกว่าเดิม
ร่างเงาผู้หญิงงดงามคนนั้นสมจริงยิ่งกว่าเดิม เหมือนกับเผ่ามนุษย์จริงๆ
นางยืนอยู่กลางฟ้าดินด้วยความโอหัง บาดแผลที่ถูกฟ้าผ่าสมานคืนดังเดิมอย่างเร็วไว เห็นได้ชัดว่าเถากลืนกินเซียนมีพลังเยียวยาแกร่งกว่าเถาจองจำเซียน!
มารดาเถาลวี่จีกวัดแกว่งเถาวัลย์พลางมองเมฆเคราะห์ภัยบนฟ้า
“ผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามนุษย์พวกเจ้าพูดอยู่นั่นแหละว่าจะปราบมารขจัดปีศาจแทนสวรรค์ วันนี้ข้าอยากจะรู้นักว่าเคราะห์อัสนีกฎแห่งสวรรค์จะสังหารข้าได้หรือไม่!”
ร่างมหึมาพันจั้งของมารดาเถาลวี่จีพลันพุ่งขึ้นจากพื้น ทั้งส่วนรากฟาดใส่นภาราวกับแส้เทพยักษ์ นางไม่คิดจะรอให้เคราะห์อัสนีผ่าลงมาทีละครั้ง แต่จะฟาดให้เคราะห์อัสนีหายไปเอง จะทะลวงเคราะห์ภัยจากรากฐาน
เสิ่นเทียนเห็นการควบคุมอย่างบ้าอำนาจของมารดาเถาลวี่จีแล้วถึงกับตกตะลึง
เวร เจ้ามั่นใจนะว่าข้าไม่ได้ข้ามมิติมาในนิยายแนวผู้หญิงชอบอ่านน่ะ
ต่อให้เจ้าเป็นเถากลืนกินเซียนแล้วอย่างไร ไม่อยากเชื่อว่าจะกล้าฟาดแส้ใส่เคราะห์สวรรค์ก่อน
ความรู้สึกของนิยายแนวตัวเอกบุ่มบ่ามมุทะลุแบบ ‘ชะตาข้า ข้ากำหนดเองมิใช่สวรรค์กำหนด’ เช่นนี้ มั่นใจนะว่าจริงจังน่ะ
ความจริงแล้ว แม้แต่เสิ่นเทียนยังตกใจ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเคราะห์สวรรค์
หลังจากเถาวัลย์ยักษ์ทะลวงผ่านเมฆเคราะห์ภัยแล้ว สายฟ้าทั้งผืนนภาก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่สิ่งที่ตามมาคือสายฟ้าระเบิดรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ราวกับถูกยั่วโมโห
สายฟ้าที่สองผ่าลงมาเหมือนกับวิหคชาดเพลิงสว่างพร่างพราวย้อมทั้งผืนฟ้าเป็นสีแดง
นั่นคืออัสนีเทพวิหคชาดลำดับสองสวรรค์ประทานในอัสนีเทพปัญจธาตุสวรรค์ประทาน มีความเป็นปฏิปักษ์กับปีศาจชนิดไม้วิญญาณอย่างเถากลืนกินเซียนถึงที่สุด
อีกทั้งยังเหมือนถูกมารดาเถาลวี่จียั่วโมโหอีก อานุภาพของเคราะห์อัสนีที่สองจึงแกร่งกว่าเคราะห์ภัยพยัคฆ์ขาว
กระทั่งสายฟ้านั้นยังรวมออกมาเป็นร่างวิหคชาดที่แท้จริง ราวกับสัตว์เทพลงมาเยือนจริงๆ
มันโหมซัดลงมาพร้อมกับเพลิงอัสนีน่าสะพรึงพุ่งใส่มารดาเถาลวี่จี
หมอกในหุบเขาหมอกลับแลทั้งหมดเหมือนถูกม้วนสลายหายไปตามๆ กัน
นัยน์ตามารดาเถาลวี่จีไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย “เหอะๆ เข้ามาเถอะ!”
เมื่อสิ้นเสียง ก็มีใบหน้าคนที่ดูเจ็บปวดลอยขึ้นมาบนผิวนอกเถาวัลย์ยักษ์หลายคน ในคนพวกนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญที่ติดอยู่ในที่ราบหมอกลับแลเพราะความละโมบ
พลังปราณเดิมของพวกเขาถูกเถากลืนกินเซียนกินไปจนหมด ดวงวิญญาณถูกขังไว้ในเถาจองจำเซียนไม่ได้ไปผุดไปเกิด
ตอนนี้มารดาเถาลวี่จีม้วนวิญญาณคนพวกนี้พุ่งใส่วิหคชาดธาตุไฟลำดับสอง หมายจะให้คนพวกนี้ดับสูญไปในเพลิงอัสนี
“ลวี่จี เจ้าทำเกินไปแล้ว”
เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าที่ถูกเถาวัลย์มัดร่างไว้ถอนหายใจ ร่างเขาเริ่มแผดเผาแล้ว เถาวัลย์ที่มัดตัวเขาขาดออกในเวลาครู่เดียว
เปลวเพลิงสว่างจ้าปรากฏขึ้นบนผิวกายเจ้ากระบี่สุริยะฟ้า รวมขึ้นเป็นกระบี่ยาวที่โหมไฟลุกตลอดเล่มหนึ่ง
เขาถอนหายใจ “เจ้ารู้แค่ว่าเจ้าเป็นเถากลืนกินเซียนลำดับเก้าในรายนามไม้วิญญาณ เลยออมมือให้ข้าหลายครั้ง แต่เจ้าไม่รู้ว่าข้าควบคุมอัคคีอรุณใต้ลำดับสิบในรายนามไฟศักดิ์สิทธิ์ได้นานแล้ว แต่ก็ไม่เคยลงมือกับเจ้ามาก่อน
ช่างเถอะ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ระหว่างเจ้ากับข้าคงไม่มีอะไรจะคุยถูกผิดกันแล้ว คงมีแต่สู้กันเท่านั้น ศึกวันนี้เจ้าตายข้ารอด หากมีภพหน้า เจ้าเกิดมาเป็นคน บางทีข้าอาจจะลดตัวมาเป็นเผ่าปีศาจ!
ดังนั้นถ้าชะล้างเวรกรรมให้สิ้น บางทีอาจจะได้ผูกวาสนากันต่อไป”
เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าที่มีไฟลุกท่วมตัวพลันยิงแสงสว่างจ้าสายหนึ่งออกมาจากผิวกาย ต่อมา เมฆเคราะห์ภัยบนฟ้านั้นก็หนาแน่นยิ่งกว่าเดิม เหมือนกับน้ำหมึกข้นไหลหลาก
เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าตระหนักในตนเองแล้ว และยังทะลวงปราการจิตใจเดินก้าวสุดท้ายออกไป
อัคคีอรุณใต้ที่แผดเผาทั่วร่างเขาจุดไฟเขาทั้งตัว เขาในตอนนี้ถึงขั้นที่สัมผัสธรณีประตูฝ่าด่านเคราะห์แล้ว
“ฟ้าไม่กำเนิดดวงตะวันขาวผ่องจะเหมือนค่ำยืนยาวนานชั่วนิจนิรันดร์ ดวงตะวันส่องสว่างสวรรค์เก้าชั้น อัคคีกระบี่ผลาญหมื่นอสูร ขอเซ่นไหว้ด้วยตัวข้า กระบี่ส่องแสงฟ้าดิน!”
เมื่อสิ้นเสียง ทั้งตัวเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าก็กลายเป็นกระบี่เทพทะลวงฟ้าสีแดง ตรงคมกระบี่วนเวียนด้วยดวงตะวันสีแดงอมทองเก้าดวง
นั่นคือทองทมิฬทะลวงเก้านภา เป็นปรากฏการณ์ในตำนานที่ต้องฝึกฝนคัมภีร์จักรพรรดิสุริยันให้ถึงขั้นสูงก่อนถึงจะรวมออกมาได้
แต่ว่าตอนนี้ เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าได้เผาพลังปราณเดิมทั่วร่างและรวมออกมาก่อนเวลา
เขาใช้ตัวเองเป็นกระบี่มาพร้อมกับพลังอันองอาจห้าวหาญ ฟันใส่มารดาเถาลวี่จีอย่างเด็ดขาด
เมื่อเห็นเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าใช้วิชาต้องห้ามเซ่นไหว้ตัวเองหมายจะตายไปพร้อมๆ กับนางแล้ว มารดาเถาลวี่จีก็หัวเราะเยาะ
“คนขี้ขลาดที่ไม่กล้าเผชิญหน้าน่ะ ข้าขอแค่ชาตินี้ก็พอไม่ขอชาติหน้าอีก ใครจะไปผูกวาสนาชาติหน้ากับเจ้าต่อกัน อัคคีที่แกร่งที่สุดอย่างอัคคีอรุณใต้ไปอยู่ในมือคนอย่างเจ้า มันเสียของล้ำค่าเปล่าๆ แต่ช่างเถอะ วันนี้ข้าจะตัดวาสนาชาติหน้ากับเจ้าทั้งหมด เพื่อยืนยันวิถีอริยะของข้า!”
เถาวัลย์ยักษ์มรกตที่พุ่งขึ้นฟ้าไปหมุนวนเป็นเกลียวไม่หยุดก่อนจะรวมออกมาเป็นกรวยแหลมอันหนึ่ง ปลายแหลมกรวยนั้นแทงเข้าใส่กระบี่เทพร่างแปลงเจ้ากระบี่สุริยะฟ้า
บึ้ม~!
เถายักษ์มรกตพังทลายลงทันที แต่กระบี่เทพอัคคีอรุณใต้ก็แหลกลาญไปเช่นกัน
เปลวเพลิงแตกกระจายบนฟ้าก่อนจะพุ่งไปทุกแห่งหนราวกับดาวตก
ใช่ พลังบำเพ็ญของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าก็ยังด้อยกว่ามารดาเถาลวี่จีขั้นหนึ่ง อีกทั้งยังออกกระบี่อย่างไร้ความปรานีจริงๆ ไม่ได้
เดิมทีพลังบำเพ็ญสู้ไม่ได้อยู่แล้ว กอปรกับตอนออกกระบี่ยังองอาจห้าวหาญไม่พอ ย่อมไม่อาจบุกทะลวงไปได้
เทียบกับมารดาเถาลวี่จีที่ดูอ้อนแอ้นแต่เด็ดขาดแน่วแน่แล้ว เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าก็ยังอ่อนแอกว่า เขาดูเหมือนแกร่งดั่งไฟ แต่กลับไม่เข้าใจวิถีของตนเอง ไม่รู้แจ้งเจตนาเดิม
การทำเช่นนี้จะบอกว่าผิดก็ไม่ได้ แต่เป็นนักกระบี่ จิตใจไม่แน่วแน่พอ วิถีกระบี่ย่อมไม่อาจบรรลุถึงจุดสูงสุด
ในการต่อสู้กับมารดาเถาลวี่จีนั้น เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าก็ยังคงพ่ายแพ้ย่อยยับ
………
หลังจากกระบี่อัคคีอรุณใต้แตกสลายไปแล้ว ต้นกำเนิดอัคคียังแตกกระจายไปทุกมุมของหุบเขา ไฟโหมลุกขึ้นมา กระทั่งต้นกำเนิดอัคคีลูกหนึ่งในนั้นยังห่อหุ้มเสี้ยววิญญาณของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าที่บาดเจ็บหนักจนหลับใหลยิงไปตกทางเมืองหมอกลับแล
ส่วนกายหยาบของมารดาเถาลวี่จีก็ไม่อาจต้านอัสนีเทพวิหคชาดธาตุไฟลำดับสองสายที่สองไหวเช่นกัน!
เนื่องจากไม่ได้ป้องกัน อัสนีเทพนั้นจึงทะลวงผ่านร่างของเถากลืนกินเซียน ต่อมาอัสนีเทพก็แตกกระจายยิงไปทุกมุมของหุบเขา
บังเอิญมากที่มีอัสนีหลายสายยิงมาตกข้างๆ เสิ่นเทียนพอดี
พึงรู้ไว้ว่านั่นคืออัสนีที่ผู้แข็งแกร่งระดับหลอมรวมเทพต้องเผชิญตอนฝ่าด่านเคราะห์!
แม้จะกลายเป็นเศษกระจายแล้ว ทั้งยังแค่ตกใส่ข้างๆ แต่มันก็น่ากลัวอย่างยิ่ง
เสิ่นเทียนรู้สึกถึงอัสนีเทพแกร่งกล้าและร้อนแผดเผาอย่างยิ่งลุกลามไปทั่วร่าง รู้สึกชาไปหมดทั้งตัว
พลังแห่งสายฟ้าทำลายร่างเสิ่นเทียนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ตัวเขาบาดเจ็บหนัก เส้นผมเริ่มชี้ฟ้า ใบหน้ากลายเป็นสีดำทันที
ผ่านไปนานเขาถึงพ่นควันดำออกมาคำหนึ่ง
อัสนีเคราะห์สวรรค์นี่แรงจริงๆ!
แต่นี่แค่เริ่มต้น เพราะเคราะห์อัสนีของมารดาเถาลวี่จียังคงดำเดินต่อไป!
สายฟ้าจะกระเซ็นมาข้างกายเสิ่นเทียนก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
…………………..