บทที่ 6 ดาร์ก เดม่อนจะไม่ยอมแพ้ต่อความกระหายรู้
อุณหภูมิในเดือนกันยายนเริ่มเย็นลง เช้าตรู่ของสถาบันเซนต์แมเรียนมีลมหนาวพัดผ่านมาและแช่ทุกสรรพสิ่งอย่างสวยงามราวกับปฐพีไร้ใจ
หนาวจนสั่น!
ดาร์กไม่เคยคิดมาก่อนว่าการอยากรู้อะไรสักอย่างจะถูกเรียกว่า ‘โลภ’ ได้!
สายเลือดจอมมารนี่อยากถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้จนเริ่มทำตัวไร้ยางอายเลยหรือ?
‘แล้วตอนนี้ควรทำยังไงต่อดี?’
‘ฉันควรอ่านต่อไปไหม?’
‘ฉันควรเข้าเรียนหรือเปล่า?’
ระหว่างความเกียจคร้านกับความเพียร
และระหว่างการแสวงหาความรู้กับความโลภ
‘ฉันต้องรักษาสมดุลยังไง?’
‘ฉันเรียนหนักเกินไปเหรอ?’
‘หรือเป็นเพราะอ่านหนังสือนานเกินไปหรือเปล่า?’
ดาร์กมองขึ้นไปที่นาฬิกานกกาเหว่าเหนือเตาผิง และเห็นว่ามันเป็นเวลาเจ็ดโมงยี่สิบนาทีแล้ว
‘อ่านหนังสือใช้เวลาประมาณหกสิบห้านาที แต่มีสมาธิอ่านจริง ๆ ห้าสิบนาที ขอแค่มีเวลาอ่านเยอะ ๆ ฉันก็จะสามารถค่อย ๆ เพิ่มความรู้ให้มากขึ้นได้’
“การอยากรู้ให้มากขึ้นก็ยังนับเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งอยู่ดี แต่ถ้ามันมากไปสุดท้ายก็จะกลายเป็นความโลภแทน”
“แต่ก็ยังยากเกินที่คนธรรมดาจะไปถึงระดับนั้นอยู่ดี”
ดาร์กตระหนักเกี่ยวกับตนเองในเรื่องนี้ เขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนประเภทที่กระหายความรู้ขนาดนั้น
หลังจากที่เลือดของจอมมารเข้าสู่ขั้นปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว เกณฑ์ของการกระตุ้นตัวชี้วัดบาปก็ลดลงมาก!
สมมติว่าคนอื่นมีความอยากหรือต้องการ ระดับ 10 ถึงจะเรียกว่าโลภได้
แต่ของเขาแค่ระดับ 7, 8 หรือ 9 นั้นก็ถือว่าโลภแล้ว!
เพราะงั้นไม่ใช่ว่าดาร์กไม่สามารถเรียนรู้ได้
แต่เขาไม่สามารถเรียนรู้มากเกินไปได้!
การเข้าชั้นเรียนและทำการบ้านตามปกติควรจะอยู่ในช่วงของความเพียร
การเรียนแบบมีกระตือรือร้นและการเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นแตกต่างกันอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้ เขาจำเป็นต้องทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ สักสองสามอย่างก่อน
ดาร์กสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตัวชี้วัดของความโลภคือ 73 หน่วย มันยังมีพื้นที่มากพอสำหรับการลองผิดลองถูกอยู่
คนโง่จะเลือกถอยกลับในเวลานี้
แต่คนฉลาดจะพยายามหาวิธีที่เหมาะสม
[อัตตา +1]
(゚⊿゚)ツ
ดาร์กปิดตำราเรียนลง เวลานี้ผู้คนมารวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่นส่วนกลางแล้ว แต่เพราะเขาจมอยู่กับเนื้อหามากมายในตำราจนไม่ทันสังเกต
หลังจากอ่านจบแล้ว ดาร์กก็สะพายกระเป๋าเดินออกจากหอคอยไปเพียงลำพัง เขาข้ามสะพาน และเข้าไปในปราสาท
ภายในปราสาทของสถาบันนั้นซับซ้อน แต่การ์ดคัดสรรได้แสดงผังทางเดินให้เขาเห็น
อาหารในโรงอาหารของสถาบันนั้นอุดมสมบูรณ์และหลากหลาย ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงต้อนรับเมื่อคืนนี้ซึ่งแทบไม่มีอาหารมังสวิรัติเลย
ดาร์กเลือกอาหารง่าย ๆ สองสามอย่างและทานอาหารเช้าอย่างมีมารยาท
จากนั้นเขาก็ทำตามคำแนะนำของการ์ดคัดสรรและหาห้องเรียนสำหรับชั้นปีที่หนึ่ง
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบแปดโมงเช้าและนักเรียนใหม่ทั้งหมดก็มาถึงเกือบครบแล้ว
ห้องเรียนอัญเชิญมีขนาดใหญ่มาก เป็นอัฒจันทร์ที่สามารถรองรับได้สองชั้นเรียน
นักเรียนปีหนึ่งของบ้านขุนนาง ดูเหมือนจะได้เรียนกับปีหนึ่งของบ้านอัศวินสินะ?
ดาร์กเดินมาที่แถวสุดท้ายตรงมุมห้องของกำแพงทางด้านซ้ายอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเก็บกระเป๋านักเรียนของเขาไว้ในลิ้นชัก
“เฮ้!”
เพิ่งจะนั่งลง ไดแอนนาซึ่งดูเหมือนจะสังเกตเห็นเขาก็เดินเข้ามาหาอย่างไร้ยางอาย
ดาร์กเหลือบมองใบหน้าที่อ่อนนุ่มของเธอ และระงับความอยากบีบมันอย่างรวดเร็ว
‘โชคดีที่จิตใจของฉันเร็วกว่ามือ!’
ดาร์กกดนิ้วของเขาและชี้ไปที่แถวหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ไดแอนนากำลังจะนั่งลงข้าง ๆ เขาเห็นแบบนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “ดาร์กต้องการให้ฉันไปนั่งกับเธอเหรอ?”
ดาร์กยังไม่พูดอะไร
แต่ไดแอนนาพูดอย่างมีความสุขว่า “เด็กคนนั้นดูไม่ร่าเริงเลย ไดแอนนาจะไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้!”
ดาร์กยังคงไม่พูดอะไรอยู่ดี
ไดแอนนาวิ่งไปที่แถวหน้าและเล่นกับหญิงสาวที่ดูขี้อายเล็กน้อยคนนั้น
[ริษยา +1]
“…”
ดาร์กเงียบ
…
โรส รอธร็อครู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อเธอต้องรับมือกับไดแอนนาผู้ที่ดูจะกระตือรือร้นมากเกินไป
เด็กหญิงซึ่งเพิ่งฉลองวันเกิดของเธอไปเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว และยังไม่เคยก้าวออกจากปราสาทก่อนที่จะมายังสถาบันเซนต์แมเรียน
พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตด้วยน้ำมือของกองทัพจอมมาร จากนั้นเธอก็อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสี่ปี เมื่ออายุได้ห้าขวบ เธอก็ถูกไวเคานต์ซึ่งเป็นลุงของเธอพากลับบ้าน
ไวเคานต์รอธร็อคและภรรยาของเขาแต่งงานกันมาสิบปีแต่ยังไม่มีทายาท เดิมทีไวเคานต์ต้องการเลี้ยงเธอเป็นบุตรสาว แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าภรรยาของตัวเองจะตั้งครรภ์ขึ้นหลังจากที่โรสเข้ามาในปราสาทได้แค่หกเดือน!
เพราะอย่างนั้น โรสที่มีความสุขกับการเลี้ยงดูแบบ ‘เจ้าหญิงน้อย’ ได้เพียงครึ่งปีก็กลายเป็นภาระที่ไม่มีใครรัก
ไวเคานต์ไม่สามารถพาเธอกลับไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยให้สาวใช้ในปราสาทดูแลแทน
โรสยังคงได้รับอาหารสามมื้อต่อวันและตำราเรียนก่อนวัยเข้าศึกษา นอกจากนี้ เธอยังได้รับการสอนมารยาทของชนชั้นสูงอีกด้วย แต่ว่านอกเหนือจากนั้น เธอก็ไม่ได้รับอะไรอีกเลย
เด็กหญิงถูกคุมขังอยู่ในห้องของปราสาท บางครั้งก็เห็นคู่สามีภรรยาไวเคานต์เล่นกับลูกพี่ลูกน้องที่กำลังเติบโตของเธออยู่ในสวนผ่านบานหน้าต่าง ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย
บุคลิกของเธอได้รับผลกระทบอย่างมากจากสภาพแวดล้อมของครอบครัว เธอค่อย ๆ กลายเป็นเด็กเก็บตัวและชอบเพ้อฝัน อีกทั้งยังขี้อายและกลัวที่จะยื่นมือออกไป
ไดแอนนาที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอในเวลานี้เปรียบเหมือนแสงที่ส่องเข้ามาในหัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอ
โรสค่อย ๆ ถูกไดแอนนาพิชิตใจ และเด็กหญิงทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันในไม่ช้า
…
มิตรภาพในวัยเด็กนั้นเรียบง่ายและมีค่า มันเป็นเรื่องยากที่จะได้รับมันเมื่อเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่
ดาร์กซึ่งมีส่วนทำให้เกิดความสัมพันธ์ทั้งหมดนี้โดยไม่ได้ตั้งใจก็มีความสุขเช่นกันที่ได้เห็น
“ไดแอนนามีเพื่อนใหม่แล้ว เธอก็ไม่น่าจะกวนฉันอีก”
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วปล่อยให้ลมพัดกระทบแก้ม จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างตามทิศทางที่ลมพัดมา
ดอกลิลลี่อันเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันเซนต์แมเรียนกำลังเบ่งบานในความหนาวเย็น
…
ศาสตราจารย์ซาราห์ ซิลเวอร์ ครูสอนวิชาอัญเชิญประจำชั้นปีหนึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียนภายในหนึ่งวินาทีก่อนระฆังของชั้นเรียนจะดังขึ้น
ห้องเรียนซึ่งเสียงดังเป็นพิเศษเนื่องจากนักเรียนใหม่ที่อยากรู้อยากเห็นพลันกลายเป็นเงียบสงัดไปในพริบตา
ไม่ใช่เพราะนักเรียนใหม่เงียบเอง แต่เพราะเมื่อศาสตราจารย์ซิลเวอร์เข้ามา สายลมแห่งความเงียบงันก็พัดเข้ามาในห้องเรียนด้วย มันทำให้เสียงในห้องเรียนหายไปทันที!
บ้านขุนนางนั้นเต็มไปด้วยนักเรียนที่ได้รับการศึกษาระดับแนวหน้าก่อนวัยเรียน ส่วนใหญ่จึงตระหนักได้ว่าศาสตราจารย์ซิลเวอร์กำลังใช้การ์ด [เงียบสงัด]!
แต่หลายคนในบ้านอัศวินไม่รู้เรื่องการ์ดดังกล่าวด้วย
โรเบิร์ตที่นั่งข้างเวอร์เธอร์ถึงกับตะโกนออกมาด้วยความกลัว ใบหน้าจนถึงคอของเขาแดงก่ำราวกับถูกต้มในน้ำเดือด
พอศาสตราจารย์ซิลเวอร์เดินไปที่โต๊ะและยกเลิกคำสั่งการ์ดเวทมนตร์ เสียงกรีดร้องของโรเบิร์ตก็ดังขึ้น!
“อ๊า–!”
w(゚Д゚)w
…
“บร็อกไฮม์ เนื่องจากเป็นคาบเรียนแรก ฉันจะไม่หักคะแนนของเธอในครั้งนี้”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์กล่าวพร้อมกับทัดผมสีบลอนด์ที่ปลิวอยู่ด้านหน้าไปไว้หลังใบหูแหลมของเธอด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“ก่อนเริ่มชั้นเรียน เรามาเริ่มด้วยกฎของสถาบันกันก่อน ซึ่งฉันเชื่อว่าพวกเธอส่วนใหญ่ยังไม่ได้อ่านมัน ฉันชื่อซาราห์ ซิลเวอร์ ลูกครึ่งเอลฟ์ เป็นศาสตราจารย์สอนวิชาอัญเชิญของสถาบันเซนต์แมเรียน”
คาบ ๆ หนึ่งของสถาบันเซนต์แมเรียนมีเก้าสิบนาที เริ่มด้วยคาบแรกตอนแปดโมงเช้า พักระหว่างคาบครึ่งชั่วโมง และจบคาบที่สองเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง ส่วนตอนบ่ายมีคาบเดียว ซึ่งเริ่มเวลาบ่ายสอง
สถาบันจะนำระบบคะแนนมาใช้เหมือนกับในภาพยนตร์โรงเรียนเวทมนตร์ที่มีถ้วยของแต่ละบ้าน ส่วนความแตกต่างกันก็คือของสถาบันเซนต์แมเรียนกลับใช้เป็นจอกศักดิ์สิทธิ์!
‘จอกศักดิ์สิทธิ์แมเรียน’ ว่ากันว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งสถาบัน ทั้งยังเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ถ้วยต้องประสงค์’ เนื่องจากมีพลังในการเติมเต็มคำอธิษฐาน
และในบรรดาบ้านทั้งสี่หลัง บ้านที่มีคะแนนสูงสุดซึ่งสามารถคว้าแชมป์ถ้วยบ้านไปได้ จะมีสิทธิ์ขอพรจากถ้วยต้องประสงค์โดยอนุญาตให้ทุกคนตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งถึงปีที่หกของบ้านนั้นมีโอกาสขอพรได้แค่เพียงครั้งเดียว
บนถ้วยต้องประสงค์สลักข้อความเขียนไว้ว่า ‘ผู้ที่โลภจะไม่ได้รับสิ่งใดตอบ’