บทที่ 59 ดาร์ก เดม่อนเชี่ยวชาญเทคนิคโบราณ
หลังจากที่เวอร์เธอร์จากไป ดาร์กก็พูดกับศาสตราจารย์เคเซอร์ว่า “ศาสตราจารย์ครับ คุณพบอะไรไหม?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ส่ายหัวและกล่าวว่า “เทคโนโลยีสำหรับการขัดเกลาการ์ดเวทมนตร์นั้นพัฒนามามากแล้ว แม้ว่าจะแยกส่วนอื่นออกได้ แต่มันยังยากที่จะแยกแกนหลักสำคัญของการ์ดออกมาได้ นี่คือเหตุผลที่การ์ดเวทมนตร์ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นใหม่สามารถขายได้อย่างมั่นใจ”
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยหลังจากได้ฟัง
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
เป็นเพราะการ์ดเวทมนตร์มีเทคโนโลยีป้องกันการขโมยในตัวเอง ซึ่งจุดนี้ก็มีคนสนใจและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เทคโนโลยีการ์ดเวทมนตร์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
ศาสตราจารย์เคเซอร์กล่าวเสริมว่า “ยังไงก็ตาม ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโบราณที่มาจากการ์ดดอกไม้ใบนั้น มันอาจเกี่ยวข้องกับพลังบางอย่างที่ฉันไม่คุ้นเคย แต่เวอร์เธอร์ กาวด์เป็นบุตรแห่งวีรบุรุษ เขาต้องได้รับบางอย่างมาจากวีรบุรุษอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันจะมองไม่เห็น”
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาเยี่ยมของเขาว่า “แล้วศาสตราจารย์ครับ ผมจะป้องกันการ์ดเวทมนตร์แบบนี้ไม่ให้อ่านความคิดได้ยังไงเหรอครับ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์หยิบปากกาพลังเวทขึ้นมา หมุนไปรอบ ๆ แล้วคลี่ยิ้ม “เดม่อน มันไม่ง่ายเลยล่ะ”
ดาร์กก็ยิ้มเช่นกัน “นั่นคือเหตุผลที่ผมมาหาคุณครับ ศาสตราจารย์”
ศาสตราจารย์เคเซอร์กวักมือเรียก “มานี่สิ”
ดาร์กลุกขึ้นและเดินไปหลังโต๊ะ เพื่อเผชิญหน้ากับศาสตราจารย์เคเซอร์
ศาสตราจารย์มองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ และพูดว่า “เดม่อน เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาก แต่บางครั้งมันก็ไม่ดีที่จะรีบมุ่งไปข้างหน้าโดยลืมมองรอบข้าง เทคโนโลยีเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับสมองนั้นอันตรายมาก และการวิจัยของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสมองนั้นอยู่ในระดับเชิงประจักษ์เท่านั้น แต่ถ้าเธออยากจะเรียนรู้จริง ๆ ฉันสามารถสอนเวทมนตร์จิตวิญญาณให้เธอได้”
ดาร์กสงสัย “เวทมนตร์จิตวิญญาณ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้า “ใช่แล้ว ตอนนี้เทคโนโลยีเวทมนตร์กำลังได้รับความนิยม จนเวทมนตร์โบราณถูกลืมเลือนกลายเป็นธุลีแห่งประวัติศาสตร์ไปแล้ว ทว่าสิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ เทคโนโลยีที่ถูกลืมหายไปนั้นไม่จำเป็นต้องแย่เสมอไป”
ดาร์กเห็นด้วยว่า “จริงครับ เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ เราก็ได้รับแรงบันดาลใจจากอดีตเสมอ”
ศาสตราจารย์เคเซอร์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขากล่าวว่า “เธอยังไม่มีพื้นฐานเวทมนตร์ ดังนั้นเราจะข้ามเวทมนตร์จิตวิญญาณที่เข้าใจยากไปก่อน ฉันมีเวทมนตร์ที่สามารถต้านทานการรุกรานทางจิตวิญญาณแบบนี้ได้ โดยเน้นที่ความแข็งแกร่งของจิตใจ เธอต้องการจะเรียนรู้ไหม?”
ดาร์กพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ
…
เวทมนตร์ของศาสตราจารย์เคเซอร์นั้นธรรมดามาก มันถูกเรียกว่า ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ กล่าวกันว่าเป็นเทคนิคที่ใช้โดยจอมเวทสายจิตวิญญาณสมัยก่อนเพื่อรวมความแข็งแกร่งทางจิตใจ
หลังจากที่เชี่ยวชาญเทคนิคนี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันการรุกรานทางจิตใจตลอดเวลาเหมือนศาสตราจารย์เคเซอร์ แต่ตราบใดที่ถูกใช้ล่วงหน้า มันสามารถทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันชั่วคราวได้
อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้ไม่ง่ายนักที่จะเชี่ยวชาญ ย่อมต้องใช้ความอุตสาหะอย่างมาก
…
หลังจากสอนวิธีการฝึกแล้ว ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็กล่าวว่า “ฉันสามารถช่วยให้เธอสัมผัสกับสภาวะของการใช้ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่นได้นะ”
ดาร์กรู้ดีว่านี่คือโอกาส และพูดอย่างจริงจังทันทีว่า “ผมต้องทำยังไงครับ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “แค่หลับตาลง”
ดาร์กหลับตาลงทันที
ศาสตราจารย์เคเซอร์ยกมือขึ้น ปลายนิ้วเปล่งแสงออกมา และทันใดนั้น เขาก็ชี้ไปที่จุดระหว่างคิ้วของดาร์ก
รัศมีของแสงกระจายออกทันที มันกระเพื่อมราวกับหายใจ
ทันใดนั้นดาร์กก็รู้สึกว่าจิตใจของเขาว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากจุดดำเล็ก ๆ ตรงกลาง
เมื่อเขาเพ่งความสนใจไปที่จุดดำนี้ ให้รู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณของเขาจะถูกดูดเข้าไป
“อ๊ะ!”
เขาร้องออกมาและลืมตาขึ้น
ศาสตราจารย์ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ดาร์กตอบว่า “มันรู้สึกเหมือนกับว่าจิตใจทั้งหมดของผมจดจ่ออยู่ที่จุดเล็ก ๆ และไม่มีความคิดอื่นใดอีกเลย”
ศาสตราจารย์กล่าวด้วยความพอใจว่า “ใช่แล้ว นี่คือสภาวะที่จิตตั้งมั่น จำความรู้สึกนี้ไว้ มันสามารถช่วยให้เธอเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่นได้เร็วขึ้น”
ดาร์กพยักหน้าทันที
ที่จริงแล้ว เขาได้รับมามากกว่าที่ศาสตราจารย์เคเซอร์คิดไว้เสียอีก
เพราะหลังจากที่ได้สัมผัสมาครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็รู้ทันทีว่านี่เป็นเทคนิคที่สามารถช่วย ‘ควบคุมอารมณ์’ ได้!
‘นี่มันมีประสิทธิภาพมากกว่าการสวดบทแผ่เมตตาเสียอีก’
แม้ว่าจะไม่ป้องกันอารมณ์ที่ระเบิดขึ้นมาอย่างฉับพลันได้ แต่ก็สามารถป้องกันการปะทุอารมณ์อย่างต่อเนื่องได้
ตัวอย่างเช่น เวลาโมโหสักอะไรอย่าง ความโกรธที่เพิ่มขึ้นสามารถระงับได้ด้วยการฝึกจิตตั้งมั่นนี้
ตราบใดที่ยับยั้งได้ทันท่วงทีก็จะสามารถหยุด [โทสะ +1] ได้ทัน และจะไม่มีการเพิ่มเป็น [โทสะ +2] [โทสะ +3] [โทสะ +10] อะไรแบบนี้
…
“ศาสตราจารย์ครับ” ดาร์กเอ่ยขึ้นทันใด
ศาสตราจารย์เคเซอร์มอง “มีอะไรเหรอ?”
ดาร์กครุ่นคิดและพูดว่า “อันที่จริง เมื่อวานผมไปถนนนักเดินทางเพื่อถามรุ่นพี่ที่มอบการ์ดดอกไม้ให้ผมถึงที่มาของการ์ดดอกไม้พวกนั้น”
ศาสตราจารย์เคเซอร์เริ่มสนใจในทันที “ใครเป็นคนทำกันล่ะ? นักเรียนธรรมดาไม่สามารถประดิษฐ์สิ่งของที่วิจิตรบรรจงเช่นนี้ได้แน่”
ดาร์กจงใจกล่าวว่า “รุ่นพี่บอกว่าเป็นคุณ”
ศาสตราจารย์เคเซอร์แสดงสีหน้างุนงง “ฉันเหรอ? เดี๋ยวนะ มีคนปลอมตัวเป็นฉันงั้นเหรอ? งั้นการ์ดดอกไม้พวกนี้ก็น่าจะมีกลอุบายที่ฉันไม่รู้อีก ขอฉันดูก่อนนะ…”
ดาร์กไม่คิดว่าศาสตราจารย์เคเซอร์จะตระหนักและเข้าใจได้เร็วขนาดนี้ แค่เพียงประโยคเดียว แต่มันกลับทำให้เขาทราบถึงปัญหาทันที
ศาสตราจารย์เคเซอร์รีบดึงการ์ดดอกไม้ออกจากซองการ์ดอย่างรวดเร็ว
การ์ดดอกไม้ประดับด้วยดอกกุหลาบสีเขียวระยิบระยับภายใต้แสงไฟ
ศาสตราจารย์ยื่นมือออกมาแล้วกดลงไป กุหลาบสีเขียวลอยออกมาและมีใบหน้าที่สวยงามเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนการ์ด
ดาร์กเพิ่งบังเอิญได้เห็น และพบว่ามันเป็นภูตตัวน้อยที่มีปีกผีเสื้อ
เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแค่คิดซะว่าเป็นเพื่อนเก่าของศาสตราจารย์เคเซอร์
ศาสตราจารย์เคเซอร์ลังเลอีกครั้งเมื่อเขาหยิบเครื่องมือในการรื้อการ์ดดอกไม้ออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็วางเครื่องมือลงแล้วพูดว่า “เอางี้ดีกว่า ฉันจะคุยกับอาจารย์คนอื่นในตอนบ่าย ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเรา บางทีนี่อาจเป็นแค่การเล่นตลกก็ได้นะ?”
ดาร์กตอบว่า “ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับ”
จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในห้องทำงาน ทว่าดาร์กไม่คิดอยู่อีกต่อไป จากนั้นเขาจึงเดินออกไปจากห้องทำงานอีกฝ่าย
…
ระหว่างทางไปโรงอาหารดาร์กนึกถึงปฏิกิริยาต่าง ๆ ของศาสตราจารย์เคเซอร์ และมั่นใจว่าศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่มีทางเป็นผู้สร้างการ์ดดอกไม้ได้
กลับกัน อีกฝ่ายดูเหมือนจะปกปิดความลับบางอย่างไว้
แล้วเวอร์เธอร์ที่เป็นเจ้าของ [ความรักต้องห้าม] มีบทบาทอะไรในเรื่องนี้?
ดาร์กค่อย ๆ เริ่มสนใจเรื่องราวขึ้นมา
แต่เขารู้ว่าควรยับยั้งตัวเองไว้ ท้ายที่สุด การเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ดังกล่าวและถลำลึกเกินไป ย่อมมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ได้
อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าหากเขาจะนั่งชมมันพร้อมกินป๊อปคอร์นไปด้วย
หลังจากที่เขาทานอาหารเที่ยงเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว
ดาร์กไม่ลืมที่จะไปห้องสมุดเพื่อขอยืม ‘กลั่นวิญญาณ – คู่มือทั่วไป’
→โชคดีที่ยังมีเหลืออยู่ในห้องสมุดสองสามเล่ม