บทที่ 72 อีบุยวิ่งควบ (ม้า) ใต้แสงจันทร์
ระยะเวลาวิวัฒนาการคงอยู่ประมาณสิบหกนาที
เมื่อสัญลักษณ์ [ราคะ] บนหน้าผากของแบล็คแคทมอนจางลง มันก็จะกลับมาเป็นรุกกี้เดวิมอนในพริบตา
แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปตามคาด แต่ดาร์กยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากคืนสภาพ รุกกี้เดวิมอนก็ตื่นขึ้นมาในทันทีและหนีออกจากอ้อมกอดของดาร์ก เจ้าตัวน้อยบินกลับไปที่ขาตั้งนกและหันหน้าเข้าใส่กำแพง และหันหลังให้กับดาร์ก
เขาได้ยินมันพึมพำเบา ๆ ว่า “รุกกี้เดวิมอนสูญเสียศักดิ์ศรีไปหมดแล้ว รุกกี้เดวิมอนอยากจะตายจริง ๆ ทางไปนรกอยู่ที่ไหนนะ?”
ดาร์กยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ และอัญเชิญ [สไลม์ขยะ] ออกมาเพื่อให้มันเก็บกวาดเศษซากการทดลอง
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดคูลดาวน์ของ [ราคะ III] ก็เสร็จสิ้น
ดูเหมือนว่านอกจากข้อเสีย ‘การสูญเสียการควบคุม’ การ์ดเวทมนตร์ [ราคะ III] ใบนี้ก็ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในด้านอื่น ๆ
แน่นอนว่าการ์ดเวทมนตร์เปล่าราคาห้าสิบคะแนนก็สำคัญเช่นกัน
ดาร์กไม่รีบเร่งสำหรับการทดลองครั้งที่สอง แต่ทานอาหารเช้าที่รุกกี้เดวิมอนนำมาให้เสร็จก่อน และจากนั้นจึงเริ่มกระบวนการสุดท้ายในตอนกลางคืน
การวิวัฒนาการอย่างไม่คาดคิดของรุกกี้เดวิมอนทำให้เขามีความคาดหวังอย่างมากกับอีบุยตัวน้อย
เช่นเดียวกับ <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> <มอนสเตอร์ขนาดพกพา> ก็เป็นสายพันธุ์ที่สามารถวิวัฒนาการได้
แม้ว่าหลักการวิวัฒนาการของทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ตาม
แต่เนื่องจากสัญลักษณ์ของ [ราคะ] คล้ายกับดวงจันทร์ บางทีมันอาจมีพลังของดวงจันทร์เหมือนกับ [อัตตา] ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังดวงอาทิตย์ก็เป็นได้
และอีบุยก็มีโอกาสพัฒนาเป็น <แบล็คบุย> ได้!
…
“จงออกมา”
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของรุกกี้เดวิมอน ดาร์กเอาการ์ด [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ออกมาอัญเชิญ
“วี้?”
จากนั้น
ฟิ้ว!
วิวัฒนาการ!
เพลงมา!
คราวนี้มันวิวัฒนาการจริง ๆ!
ภายใต้แสงพร่างพราวของการ์ด [ราคะ III] สัญลักษณ์ [ราคะ] พลันปรากฏบนหน้าผากของอีบุย
แสงจันทร์สีชมพูอ่อน ๆ ถูกปล่อยออกมาจากหน้าผากของเจ้าตัวน้อย และค่อย ๆ ห่อหุ้มร่างที่เล็กกะทัดรัดของมันไว้
อีบุย → แบล็คบุย!
ต่างจากแบล็คบุยดั้งเดิม บนขนสีเข้มของแบล็คบุยตัวนี้มีลวดลายวงแหวนสีชมพูปรากฏขึ้น
สีดำเป็นตัวแทนของกลางคืน
สีชมพูเป็นตัวแทนของราคะ
มันเป็นตัวแทนแห่งจันทราที่เดินอยู่ท่ามกลางคืนราตรีอันมืดมิด และยังเป็นสปิริตที่ชวนให้ลุ่มหลงซึ่งนี่เป็นสัญลักษณ์ของราคะ
…
[ชื่อการ์ด: แบล็คบุย]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪✪✪✪]
[เผ่าพันธุ์: ประเภทนกและสัตว์]
[คุณสมบัติ: ความมืด]
[พลังเวทมนตร์: 1500 หน่วย]
[พลังโจมตี: 1600 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 1900 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: แสงจันทร์ ชีพจรมืด ลูกบอลเงา]
…
“สามสกิล!”
หลังจากการวิวัฒนาการ อีบุยกลายเป็นการ์ดสีส้มสี่ดาว
และเป็นการ์ดสีส้มที่มีสกิลฟื้นฟูตัวเองที่หายากมาก!
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของการ์ดวิญญาณคือ พลังชีวิตที่ไม่เพียงพอ
พลังเวทมนตร์นั้นไม่เพียงแต่เป็นแก่นชีวิตของสปิริตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแก่นพลังงานด้วย
หากไม่มีจอมเวทคอยช่วยเหลือ สปิริตสี่ดาวที่มีค่าพลังเวทมนตร์หนึ่งพันห้าร้อยหน่วยจะสามารถคงอยู่ได้เพียงประมาณสามสิบนาที โดยที่ไม่ใช้สกิลใด ๆ เลย
แต่สปิริตที่ไม่มีท่าไม้ตายก็หมายถึงไม่มีวิญญาณ
ดังนั้นจอมเวทจึงมักจะเตรียมการ์ดเติมพลังงานไว้ในเด็ค
สปิริตที่มีสกิลฟื้นฟูตัวเองสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
[แสงจันทร์] ของแบล็คบุยเป็นสกิลฟื้นฟูที่ทรงพลังมาก!
[แสงจันทร์: ฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ได้สูงสุดถึงหนึ่งส่วนสี่ หากอยู่ใต้แสงจันทร์ มันสามารถฟื้นพลังเวทเวทมนต์สูงสุดหนึ่งส่วนสองในคราวเดียว และฟื้นฟูพลังเวทมนตร์อย่างต่อเนื่องถึงสี่หน่วยต่อวินาที!]
นอกจากนี้ สกิลโจมตีระยะไกล [ชีพจรมืด] และสกิลระเบิดจุดเดียว [ลูกบอลเงา] ทำให้แบล็คบุยสามารถใช้การโจมตีได้หลากหลายมากขึ้น
และที่เกินจริงที่สุดคือพลังป้องกันหนึ่งพันเก้าร้อยหน่วย!
เมื่อเทียบกับแบล็คแคทมอน พลังโจมตีของแบล็คบุยนั้นอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่พลังป้องกันของมันนั้นต้องอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการ์ดสี่ดาวอย่างไม่ต้องสงสัย!
พลังโจมตีสามารถชดเชยได้ด้วยสกิล แต่พลังป้องกันเป็นอะไรที่ยากจะชดเชยได้
เมื่อเทียบกับแบล็คแคทมอนซึ่งมีค่าพลังโจมตีหนึ่งพันเก้าร้อยหน่วยและค่าพลังป้องกันเก้าร้อย ค่าความแข็งแกร่งของแบล็คบุยสามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว
…
ทว่าก่อนที่ดาร์กจะมีความสุขไปมากกว่านี้ เขาก็ถูกแบล็คบุยผลักลงไปนอนที่พื้น
เผ่าพันธุ์ของอีบุยมีลักษณะคล้ายแมวกับสุนัขจิ้งจอกผสมกัน และมันไม่เคยลังเลเลยที่จะใช้ลิ้นตัวเองเลียเจ้านาย
ยังดีที่ดาร์กมีประสบการณ์ในการจัดการกับแบล็คแคทมอนมาแล้ว เพราะอย่างนั้น เวลาชั่วครู่หนึ่งเขาก็ทำให้แบล็คบุยสงบลงได้
“บางทีฉันควรจะหา [ราคะ III] อีกใบ เพราะถ้ามีสปิริตสี่ดาวสองใบก็น่าจะดีสินะ?”
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของดาร์กชั่ววูบหนึ่ง
แต่เด็กชายส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
ข้อบกพร่องของ [ราคะ III] นั้นชัดเจนอยู่แล้ว
[ราคะ] ที่มาจากเทพธิดานั้นแตกต่างจาก [ราคะ] ของดาร์กอย่างสิ้นเชิง และมันไม่มีคุณค่าให้วิจัยมากนัก
จุดประสงค์หลักที่ดาร์กทำการทดลองบ่อยครั้ง และสร้างการ์ดเมจิกหมวดมหาบาปนั้น ยังคงเป็นแค่การวิเคราะห์มหาบาป
ส่วนการเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ตามมาเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงไม่ควรวางเกวียนไว้หน้าม้า*[1]
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องไปที่วิหารนั่นอีก
สำหรับการ์ดดอกไม้ สร้างเอาจากการ์ดสำเร็จรูปยังอาจเป็นไปได้มากกว่า
…
ค่ำคืนมาถึงในไม่ช้า
ขณะที่ดาร์ก เดม่อนกำลังตัดสินใจ ก็พลันมีเสียงร้องไห้ดังออกมาจากวิหาร
“เป็นไปได้ยังไงกัน! นะ…นี่พวกเราทำงานอย่างหนักมาทั้งเดือนเลยนะ!”
ยามนี้ สมาชิกภาคีมากกว่าหนึ่งโหลภายใต้ชุดคลุมสีดำและหน้ากาก กำลังนั่งคุกเข่าต่อหน้าเทพธิดาอย่างหวาดผวา
“ท่านเทพธิดา ได้โปรดยกโทษให้เราด้วย!”
ดวงตาของเทพธิดาสั่นไหวเล็กน้อย และช่องว่างนั้นก็ค่อย ๆ เลิกขึ้น!
นางเกิดบนดวงจันทร์และลงมายังโลก นางเป็นทั้งเทพธิดาแห่งจันทราและมารดรแห่งผืนพิภพ…
นางมักจะตื่นขึ้นในเวลากลางคืนและหลับใหลในเวลากลางวัน
ดาร์กไม่รู้ว่าเพราะเขาตัดสินใจมาวิหารในตอนกลางวัน จึงทำให้ตนหลีกเลี่ยงจากความโชคร้ายไปได้
หลังจากรับ ‘เครื่องสังเวย’ ของภาคีแล้ว ความนุ่มนวลราวกับชลธีไหลธารพลันปรากฏขึ้นในดวงเนตรของเทพธิดา
และเมื่อมันถูกล้อมรอบไปด้วยหมอก ก็ยิ่งทำให้ภาพนี้ดูศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจหยั่งรู้ได้
เพียงแต่มีรอยร้าวน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนแก้มอันบอบบางของรูปปั้น นั่นช่างทำลายความสมบูรณ์แบบของนางไปอย่างสิ้นเชิง
สมาชิกของภาคีมือประสานก้มหัวแนบกับพื้น ทั่วทั้งร่างสั่นเทาไม่หยุด
โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ดวงเนตรของเทพธิดาได้เปิดช่องว่างเล็ก ๆ ขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วนับตั้งแต่การก่อตั้งภาคี ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่มีความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมรูปปั้นเทพธิดาที่กำลังจะได้รับการบูรณะอย่างสมบูรณ์จึงเกิดรอยร้าวอีกครั้ง
ขณะที่ทุกคนกำลังคุกเข่าและก้มศีรษะหมอบกับพื้น หมอกสีชมพูอ่อนพลันไหลออกมาจากเทพธิดา และลอยเข้าไปในร่างกายของสมาชิกภาคี ราวกับเติมเต็มบางอย่างให้กับความคิดและจิตใจของพวกเขา
ในไม่ช้า เสียงของเทพธิดาก็ดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างเลือนรางและลึกลับเล็กน้อย
หนึ่งในสมาชิกชั้นนำของภาคีดูเหมือนจะรู้สึกถึงการให้อภัยของเทพธิดา เขาจึงก้มกราบซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่ร้องไห้ไปด้วยอย่างรู้สึกขอบคุณ “ท่านเทพธิดาแห่งจันทราผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดชี้นำทางพวกเราต่อไป เส้นทางแสงจันทร์เป็นเส้นทางของเรา ท่านเทพธิดาจงเจริญ!”
*[1] ไม่ควรวางเกวียนไว้หน้าม้า เป็นสำนวน มีความหมายว่า การลำดับสิ่งที่ต้องทำผิดไป