‘การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม…’ ในหัวของซ่งชิงคล้ายมีฟ้าผ่า จิตวิญญาณเหมือนถูกอะไรบางอย่างกระแทกใส่
ความรู้สึกโดนกระแทกเช่นนี้ช่างเหมือนกับตอนถ่ายทอดบทกวีให้บัณฑิตฟัง
การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมคือหลักการที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของการเล่นแร่แปรธาตุ!
“ใช่แล้ว มิผิด เป็นเช่นนี้…” ซ่งชิงพึมพำเสียงเบา
ทุกครั้งที่เขาหลอมกลั่นบางอย่างได้สำเร็จ วัตถุดิบก็จะสลายหายไปหรือเปลี่ยนไปเป็นวัตถุอื่นเช่นเดียวกัน
ปรากฏการณ์นี้มีอยู่เสมอ แต่น้อยนักที่จะมีคนสังเกตเห็น หรือถึงจะสังเกตเห็น แต่ก็ไม่ได้คิดมาก ไม่ได้คิดอย่างลึกซึ้งขนาดนี้
‘ปีนั้นอาจารย์เคยพูดไว้ยามที่สอนพวกเราเล่นแร่แปรธาตุว่า แก่นแท้ของการเล่นแร่แปรธาตุไม่ใช่ ‘การเปลี่ยนแปลง’ แต่เป็นแลกเปลี่ยน! การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ที่แท้ก็หมายความเช่นนี้…’
ประโยคที่เหมือนกับจับจุดสำคัญสกัดสาระออกมาทำให้ผู้ที่คลั่งไคล้การเล่นแร่แปรธาตุอดตัวสั่นไม่ได้
หลังจากคลายความตื่นเต้นลง ซ่งชิงก็เริ่มพิจารณาคำว่า ‘เอ็ดเวิร์ด เอลริค’ ว่าคำเหล่านี้มีความหมายแฝงอย่างไร
‘ใช่ชื่อคนหรือ มีชื่อแปลกประหลาดอย่างนี้ที่ไหน มันเป็นรหัสลับหรือว่าจะเป็นภาษาลับของการเล่นแร่แปรธาตุบางชนิดใช่หรือไม่’
คิดไม่ออก ในใจรู้สึกคันยิบๆ
ซ่งชิงสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ เขาพลิกหน้าต่อไปอย่างรอไม่ไหว อ่านตัวอักษรบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างเป็นมืออาชีพและอดทน
ประโยคเปิดมาคือ ‘เข้าสู่โลกแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ!’
นี่กำลังสอนคนให้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตของการเล่นแร่แปรธาตุหรือ
‘จองหองนัก!’ ซ่งชิงคิดในใจ
แต่ไหนแต่ไรศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุก็ล้วนสั่งสอนกันผ่านคำพูดและการกระทำ เป็นคำพูดส่งต่อกันปากต่อปาก ผู้มีปัญญามีพรสวรรค์ใช้เวลาหนึ่งปีครึ่งถึงจะผ่านประตูมาได้ ผู้ใดโง่เขลาไร้ความสามารถสามสิบปีห้าสิบปีก็ไม่ประสบความสำเร็จ
จนถึงวันนี้สำนักโหราจารย์ก็ยังไม่มีตำราเรียนอย่างจริงจัง
แต่ว่าคำนำประโยคนั้นทำให้ซ่งชิงมีความอดทนมากพอ
‘บทที่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของสสาร ในธรรมชาติมีสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอยู่มากมาย สิ่งเหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นสสาร มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารอยู่หลายแบบ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ…ข้าจำแนกการเปลี่ยนแปลงพวกนี้เป็น การเปลี่ยนแปลงทางเคมีและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ…’
ซ่งชิงอ่านต่อไป จมอยู่ในภวังค์ความคิด
‘เคมีคือสิ่งใด อะตอมคือสิ่งใด ข้ากำลังอ่านสิ่งใดอยู่ ข้าอ่านออกทุกตัวอักษร แต่พอเอามารวมกัน เหตุใดข้าจึงอ่านไม่เข้าใจล่ะ คัมภีร์ของนักปราชญ์ยังพอรวบรวมความรู้ได้ แต่เหตุใดพอมาเจอเจ้ากลับไม่มีอะไรเลย!’
แต่ซ่งชิงก็ไม่ใช่ไม่ได้อะไร เขารับรู้ได้อย่างเฉียบคมว่านี่คือหนังสือแห่งสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
มันเขียนอธิบายถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของโลก ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างที่เป็นแก่นแท้ที่สุดของสรรพสิ่งในฟ้าดิน
ซ่งชิงตัวสั่นเบาๆ มีชั่วขณะที่เขาคิดจะฉีกหนังสือเล่มนี้ทิ้งเสีย นี่คือความลับที่มีเพียงเทพเท่านั้นจึงจะรับรู้ มนุษย์ธรรมดาไม่ควรสอดรู้
แต่ลึกๆ ในใจก็มีพลังสายหนึ่งสนับสนุนเขา นั่นคือนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์ ความกระหายรู้
ภายในห้องเล่นแร่แปรธาตุเงียบงัน
เหล่าคนชุดขาวมองหน้ากัน ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน พวกเขากังวลอยู่ลึกๆ เมื่อเห็นสีหน้าคาดเดาไม่ได้ที่เปลี่ยนแปลงไปของศิษย์พี่ซ่งชิง
“ศิษย์พี่กำลังครุ่นคิดเรื่องเล่นแร่แปรธาตุอะไรบางอย่างที่ทำให้คนอื่นรับไม่ไหวอีกแล้วหรือเปล่า”
“ใช่แล้ว ปีก่อนเขาพยายามเปลี่ยนเลือดเปลี่ยนเนื้อของแมวให้เป็นต้นไม้ แบบนี้พอตัดหัวไปก็สามารถงอกหัวใหม่ได้อีก แต่ถูกอาจารย์โหราจารย์ขังเอาไว้หนึ่งเดือน”
ซ่งชิงจมอยู่ในโลกของตัวเอง ทั้งหวาดกลัวทั้งตื่นเต้น เขาอ่านต่อไป ดวงตาพลันสว่างไสว เพราะเขาเห็นคำอธิบายการเล่นแร่แปรธาตุอย่างละเอียดเกี่ยวกับวิธีหลอมเกลือให้กลายเป็นเงินภาษีแล้ว
‘ขั้นที่หนึ่ง อันดับแรกต้องกรองน้ำเกลือเพื่อให้ได้โซเดียมคลอไรด์บริสุทธิ์ (เกลือแกง)’
‘ขั้นที่สอง ระเหยน้ำเกลือให้แห้งจนได้เป็นผลึกแก้ว แล้วละลายที่อุณหภูมิสูง 800 องศาเซลเซียส’
‘ขั้นที่สาม ระวัง! ขั้นตอนนี้เป็นกุญแจสำคัญของการหลอมเงินเป็นภาษี จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ขั้นตอนนี้’
ซ่งชิงแผ่รัศมีเจิดจ้าออกมารอบด้าน ในที่สุด ในที่สุดก็แก้ไขปัญหาที่รบเร้าตัวเขากับเหล่าศิษย์น้องมานานได้แล้ว
นี่เป็นหนังสือจากพระเจ้าที่แท้จริง
ซ่งชิงพบว่าอ่านมาถึงจุดสิ้นสุดของหน้าแล้ว เขาแตะน้ำลายบนปลายนิ้วแล้วเปิดหน้าถัดไปอย่างแทบจะรอไม่ไหว
‘ว่างเปล่า!’
ซ่งชิง “??”
‘หมดแล้วหรือ!’
‘ด้านหลังไม่มีแล้วหรือ’
‘ที่แท้แล้วขั้นตอนที่สามมันคืออะไรกันแน่ ทำไมไม่มีบันทึกไว้ ผู้ใดเป็นคนเขียนหนังสือเล่มนี้กัน เขียนหนังสือตัดบทแบบนี้จะต้องถูกสับเป็นหมื่นชิ้น’
ซ่งชิงแทบจะกระอักเลือด
ซ่งชิงอ้าปากขึ้นมา เหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง เขาเอ่ยเสียงเบา “ผู้ใดส่งหนังสือเล่มนี้มา”
“ข้าไม่ได้สนใจ”
“ข้าไม่ได้ฟัง”
“ข้าลืมไปแล้ว”
คำตอบของเหล่าศิษย์น้องช่างซื่อสัตย์อย่างน่าประหลาด
ซ่งชิงรีบลงไปข้างล่างทันที เขาพบกับศิษย์ผู้นั้นที่เป็นคนต้อนรับหัวหน้ามือปราบหวังแล้วถามไถ่อย่างละเอียด
‘นี่คือการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง…’ หลังจากซ่งชิงวิเคราะห์แล้วก็ได้ข้อสรุปนี้ออกมา
“ศิษย์พี่ ท่านเป็นอะไรกันแน่” เหล่าศิษย์น้องในชุดขาวตามลงมา
“หนังสือนี่มีปัญหาอะไรหรือ”
สีหน้าของซ่งชิงเคร่งขรึมไม่มีใครเทียม เขากวาดมองใบหน้าของทุกคน “ศิษย์น้องทุกท่าน ฟังข้า นี่คือโอกาสที่จะทำให้สำนักโหราจารย์เจริญรุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็ว เป็นโอกาสที่พันปีก็ยากจะหาพบ บางทีการเล่นแร่แปรธาตุอาจนำพาอนาคตสว่างไสวแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนมาให้ก็ได้”
…
ศาลาเหมียนหยาง
รถม้าสองคันขับช้าๆ อยู่บนถนนสายหลัก และปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนที่เพิ่งจะยุติการปะทะฝีปากไปเมื่อครู่นั่งอยู่
สวี่ซินเหนียนและกลุ่มสหายร่วมชั้นขี่ม้าตามอยู่ด้านหลังรถม้า
“เมื่อครู่ข้าไม่ควรพูดความจริงเลย” สวี่ซินเหนียนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านนี้ทะเลาะวิวาทกัน พอเห็นท่าว่าอาจจะลงไม้ลงมือ สวี่ซินเหนียนก็เอ่ยอย่างกำปั้นทุบดินว่า ‘อันที่จริงอาจารย์กับท่านมู่ไป๋ก็แค่อยากได้บทกวีที่สืบทอดมาหนึ่งบทเท่านั้นเอง’
เหตุการณ์ก็เลยกระอักกระอ่วน
ถึงแม้จะหยุดปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองไม่ให้ต่อสู้กันได้ แต่สวี่ซินเหนียนก็รู้สึกว่าการพูดเรื่องจริงมันไม่ถูกต้อง
‘ท่านแม่พูดถูก ข้าไม่รู้วิธีพูดจา ต้องเปลี่ยนแปลง!’ สวี่ซินเหนียนทบทวนตัวเองเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน
เขายืดแขนออกมาจากเสื้อแล้วลูบเครื่องประดับหยกเนื้อเนียน สวี่ซินเหนียนทอดมองไปไกลๆ ด้วยความยินดี ขณะที่กำลังดีใจอยู่นั้น สายตาก็เห็นเงาร่างร่างหนึ่งกำลังควบม้าเข้ามา
ครู่เดียว เค้าโครงของเงาร่างนั้นก็สะท้อนเข้ามาในม่านตา เป็นบิดาของเขา สวี่ผิงจื้อ
สวี่ซินเหนียนชะงักงัน เขากระทุ้งท้องม้าผ่านรถม้าเข้าไปหา
“ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร…” เอ่ยจบ ในใจสวี่ซินเหนียนก็หนักอึ้ง สีหน้าของบิดาทำให้เขาสังเกตได้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีอย่างยิ่ง ถึงเขาจะยังไม่รู้อะไรเลยก็ตาม
สวี่ผิงจื้อเล่าเรื่องราวให้สวี่ซินเหนียนฟังโดยเร็วที่สุด
คุณชายของรองเจ้ากรมโจวจะฉุดตัวน้องสาวที่ถนน…เกือกม้าเกือบจะเหยียบหลิงอินตาย…พี่ใหญ่ถูกนำตัวไปกรมอาญา…สวี่ซินเหนียนรู้สึกหัวร้อน เลือดลมพลุ่งพล่าน
“เหนียนเอ้อร์ ความเป็นความตายของพี่ใหญ่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
“ท่านพ่ออย่าได้ร้อนใจ” ความคิดมากมายของสวี่ซินเหนียนวาบผ่านมา ไม่นานก็คิดออก เขาหันหัวม้าขวางรถม้าให้หยุด แล้วเอ่ยเสียงดัง “อาจารย์ ท่านมู่ไป๋ ฉือจิ้วมีเรื่องอยากจะขอร้องขอรับ”
ม่านเปิดออก จางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋โผล่หน้าออกมา “มีเรื่องอะไร”
“พี่ชายที่บ้านข้าเกิดเรื่อง ขออาจารย์กับท่านมู่ไป๋โปรดยื่นมือช่วยเหลือด้วยขอรับ” สวี่ซินเหนียนเล่าเรื่องที่บิดาบอกออกไปอีกรอบ
จางเซิ่นจ้องมองเขาแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ใช่อัจฉริยะที่เขียน ‘ทางข้างหน้าไม่ต้องกังวลไร้คนรู้ใจ ใต้หล้านี้มีใครไม่รู้จักข้า’ หรือไม่”
เสียงของเขาเคร่งขรึมจริงจัง ราวกับเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
“ใช่ขอรับ!” สวี่ซินเหนียนพยักหน้า
จางเซิ่นกำลังจะพูดบางอย่าง หลี่มู่ไป๋บนรถม้าคันข้างๆ ก็เอ่ยแทรกก่อน “ฉือจิ้ว เรื่องของพี่ชายเจ้ามอบให้ข้าเถอะ ส่วนเจ้ากับอาจารย์ของเจ้าก็กลับสำนักศึกษาไปก่อน”
“ฮึ!” จางเซิ่นแค่นเสียงเย็น “คนไม่เกี่ยวข้องอย่าได้มากเรื่อง เรื่องของนักเรียนข้า ข้าจัดการเอง”
สวี่ผิงจื้อดีใจอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดเลยว่าหน้าตาของบุตรชายจะมีมากขนาดนี้
“อาจารย์ ท่านมู่ไป๋ พี่ชายถูกจับไปกรมอาญาแล้ว รีบไปเถอะขอรับ หากชักช้าจะเป็นอันตราย” สวี่ซินเหนียนเอ่ยอย่างร้อนใจ
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันแล้ว
………………………………..