ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 19 บทกวีอำลา

บทที่ 19 บทกวีอำลา

ชานเมืองจิงจ้าว ศาลาเหมียนหยาง!

รถม้าหรูหราสองสามคันหยุดที่ข้างศาลา ชานเมืองมีอากาศหนาวเย็นและมีลมแรง เนินเขาสูงต่ำมีสีน้ำตาลอ่อน

ดวงตะวันคล้อยให้ความรู้สึกอบอุ่นในช่วงต้นฤดูหนาว

ฆราวาสจื่อหยางแห่งสำนักอวิ๋นลู่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งข้าราชการ

สำหรับสำนักอวิ๋นลู่ที่วงราชการตกต่ำลงทุกวันจึงถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง

เหล่าสุภาพบุรุษในสำนักต่างร้องเพลง เหล่านักเรียนต่างชื่นชมยินดีและภาคภูมิใจ วันแห่งความก้าวหน้ากำลังใกล้เข้ามา

ในศาลา ชายชราสามคนกำลังนั่งดื่มชา หนึ่งในนั้นสวมชุดสีม่วง ข้างขมับปกคลุมด้วยผมสีขาว เขาเป็นพระเอกของการอำลาครั้งนี้

หยางกง สมญานามฆราวาสจื่อหยาง เป็นจอหงวน[1]ของหยวนจิ่งในรอบสิบสี่ปี ปีต่อมาเขาลาออกจากตำแหน่งและกลับมาศึกษาที่สำนักอวิ๋นลู่ ในช่วงเวลายี่สิบสองปีเขามีลูกศิษย์มากมายทั่วโลกและกลายเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับโลก

เดิมทีเขาควรจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี แต่เขากลับออกจากข้าราชการอย่างน่าเศร้าในตอนที่รุ่งโรจน์ที่สุด ในหมู่นักปราชญ์มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปต่างๆ นานา บางคนบอกว่าเขาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงต้องออกจากตำแหน่ง

บางคนว่าเขาทำให้สมุหราชเลขาธิการประจำราชวงศ์ขุ่นเคือง หนทางด้อยกว่าผู้อื่นจึงต้องลาออกไปอย่างหดหู่

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ยี่สิบสองปีผ่านไป ในที่สุดเขาก็ได้กลับมารับราชการอีกครั้ง เข้ารับตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลชิงโจว เป็นผู้ว่าราชการที่แท้จริง

สถานะของอีกสองคนก็ไม่ต้อยต่ำเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งในสำนักอวิ๋นลู่ เพียงแค่ชื่อเสียงภายนอกพวกเขาก็ไม่แพ้ฆราวาสจื่อหยางเลย

ชายที่สวมชุดสีเทาและมีเคราแพะชื่อว่าหลี่มู่ไป๋ ผู้เล่นระดับชาติ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักในฐานะนักหมากรุกอันดับหนึ่งในใต้หล้า เมื่อห้าปีก่อนเขาเล่นหมากรุกกับเว่ยเยวียนและเว่ยกงสามรอบ แพ้ทุกรอบ จึงโยนกระดานหมากรุกทิ้งด้วยความโกรธและไม่เล่นหมากรุกอีกเลยตั้งแต่นั้นมา

ชายที่สวมชุดสีฟ้าชื่อว่าจางเซิ่น ปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหาร และ ‘กลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการ’ ที่เขียนในช่วงปีแรกๆ ยังเป็นสิ่งพิมพ์ที่ขุนนางบู๊และนายทหารระดับสูงแห่งต้าฟ่งต้องอ่านจนถึงตอนนี้ เขาเป็นปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารเพียงคนเดียวของต้าฟ่งที่เทียบกับเว่ยเยวียนได้

นักเรียนที่มาส่งกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกศาลา ทุกคนล้วนเป็นนักเรียนที่มีศักยภาพมากของสำนักอวิ๋นลู่ สวี่ซินเหนียนก็อยู่ในนั้นด้วย

“ในที่สุดท่านจื่อหยางก็กลับเข้ารับราชการ หากได้รับคำชมจากเขา ในอนาคตพวกเราจะมีความเจริญรุ่งเรืองในงานข้าราชการแน่นอน” สหายร่วมชั้นที่รู้จักกันคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “ฉือจิ้ว เจ้าเตรียมบทกวีดีๆ มาแล้วใช่หรือไม่”

‘พี่ชายข้าเตรียมให้ข้าแล้ว…และยังเป็นโคลงเจ็ดคำครึ่งบทอีก…’ สวี่ซินเหนียนมองเข้าไปในศาลาและพูดเบาๆ “เตรียมไว้ลวกๆ ครึ่งบท หย่งซู เจ้าหาผลประโยชน์มากเกินไปแล้ว”

โคลงเจ็ดคำมีฉันทลักษณ์ที่เข้มงวด กำหนดให้จำนวนคำในบทกวีต้องเท่ากัน ประกอบด้วยแปดวรรค แต่ละวรรคมีเจ็ดคำ ทุกๆ สองวรรคเป็นหนึ่งบาท มีทั้งหมดสี่บาท

โคลงเจ็ดคำที่สวี่ชีอันให้เขามีเพียงสองบาท หลังจากกินข้าวสวี่ซินเหนียนก็ไล่ถาม แต่ญาติผู้พี่ของเขาก็ตะกุกตะกักเปลี่ยนหัวข้อ ไม่ยอมให้สองบาทสุดท้ายกับเขา

“นี่ไม่ใช่การหาผลประโยชน์ จะเป็นนักเรียนหรือข้าราชการก็ดี ทำงานหนักสร้างเรือ เอาตัวรอดเป็นยอดคน[2]” เพื่อนของเขาพูด ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าสวี่ซินเหนียนไม่เก่งบทกวี จึงไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้

“หย่งซูพูดถูก เวลานี้ทางการต่างทุจริต ผู้ใต้บังคับบัญชาร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุจริตประชาชน เกิดภัยธรรมชาติปีแล้วปีเล่า หากอยากเปลี่ยนสถานการณ์ ความคิดก็ต้องยืดหยุ่นหน่อย” นักเรียนอีกคนเข้าร่วมประเด็นนี้

นักเรียนที่ชื่อหย่งซูพยักหน้า เขามองสวี่ซินเหนียน “เจ้ามักจะพูดว่าบทกวีเป็นเส้นทางเล็กๆ แต่ไม่ว่าบทความของเจ้าจะดีเพียงใด ผ่านไปหลายสิบปีจะมีผู้ใดจำเจ้าได้ แต่บทกวีสามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น”

บทกวีเป็นเส้นทางเล็กๆ ไม่อาจปกครองประเทศได้และไม่อาจเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ เป็นเพียงแค่ศิลปะ… สวี่เอ้อร์หลางอยากจะพูดเช่นนี้ เมื่อคำนึงว่าตอนนี้เขากำลังจะใช้เส้นทางเล็กๆ ที่เป็นเพียงศิลปะเอาใจผู้อาวุโสก็กลืนคำพูดนั้นกลับไปและส่งเสียงร้อง ‘อืม’ ออกมาอย่างคลุมเครือ

หย่งซูมองเขาอย่างประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าจะไม่มีคำโต้แย้งจากอีกฝ่าย

หลี่มู่ไป๋ผู้เล่นระดับชาติถอนหายใจ “พี่หยาง หากสมัยนั้นท่านมีความละเอียดอ่อนได้สักครึ่งหนึ่งของพวกเขา ท่านคงไม่เสียเวลากว่ายี่สิบปี”

ฆราวาสจื่อหยางหัวเราะ

“พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก” จางเซิ่น ปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหัวเราะพลางยกชาขึ้นดื่ม “พี่หยางมีความทะเยอทะยานอย่างมาก และเขากำลังปูทางไปสู่ระดับ ‘ก่อชะตา’ ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นฆราวาสจื่อหยางก็ถอนหายใจ “สุดท้ายแล้วก็ยังถูกไล่ออกจากราชการ”

“นี่ไม่ใช่ปัญหาของเจ้า คนจากราชวิทยาลัยหลวงพวกนั้นไม่คิดว่าสำนักอวิ๋นลู่ของพวกเราจะพลิกฟื้นได้”

“หึ คนต่ำทรามที่รู้เพียงการกลั่นแกล้งและใช้กลอุบาย ไม่ถึงสองร้อยปีคนพวกนี้จะกลายเป็นหายนะของโลก”

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อย่างน่าสนใจ

ลัทธิขงจื๊อมีต้นกำเนิดมาจากนักปราชญ์ และสำนักอวิ๋นลู่ก็เป็นสำนักที่ลูกศิษย์ใหญ่ของนักปราชญ์ก่อตั้งขึ้นเพื่อโอ้อวดลัทธิขงจื๊อดั้งเดิม ความจริงก็เป็นเช่นนี้

แต่เมื่อสองร้อยปีก่อน เพราะความขัดแย้งในประเทศ จึงถูกองค์จักรพรรดิในเวลานั้นปฏิเสธโดยสมบูรณ์

ในเวลานี้สำนักอวิ๋นลู่มีคนทรยศ และสำนักอวิ๋นลู่เองก็คิดเช่นนั้น

คนทรยศคนนั้นเดิมทีเป็นอาจารย์คนหนึ่งของสำนักอวิ๋นลู่ เขาฉวยโอกาสนี้สร้างเนื้อสร้างตัว ใช้แนวคิด ‘รักษากฎสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์’ เอาใจองค์จักรพรรดิ ก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวงด้วยความช่วยเหลือของจักรพรรดิและกลายเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่

หลังจากนั้นราชวิทยาลัยหลวงก็มาแทนที่สำนักอวิ๋นลู่และกลายเป็นสำนักศึกษาหลักที่สร้างเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก

การต่อสู้ของลัทธิขงจื๊อดั้งเดิมจึงดำเนินมาถึงสองร้อยปี

ฆราวาสจื่อหยางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าไปครั้งนี้เพื่อเปิดและขยายอาณาเขตให้สำนักอวิ๋นลู่ วางรากฐานข้าราชการ แต่ข้าก็อยากรื้อฟื้นวิถีเก่าของสำนัก ทว่าข้าคนเดียวไม่เพียงพอ ข้าต้องการให้พวกเราร่วมแรงร่วมใจกัน และยังต้องการคนหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่นอีกด้วย”

หลี่มู่ไป๋กับจางเซิ่นมองหน้าและยิ้มให้กัน จางเซิ่นหันไปมองเหล่านักเรียนที่อยู่ด้านนอกศาลา “ผู้ใดอยากแต่งบทกวีมอบให้ฆราวาสจื่อหยางหรือไม่”

“การประพันธ์บทกวีต้องมีสีสัน มิเช่นนั้นจะน่าเบื่อ” ฆราวาสจื่อหยางถอดหยกสีม่วงที่เอวออกมา “ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งจะได้รับจี้หยกไป”

แสงสีม่วงของจี้หยกไหลเวียนอยู่ มันทั้งวิเศษและไม่ธรรมดา

ดวงตาของนักเรียนที่อยู่นอกศาลาเปล่งประกายอย่างพร้อมเพรียงกัน ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ถือจี้หยกขึ้นมา มันถูกชำระล้างด้วยพรสวรรค์และแฝงความอัศจรรย์ไว้ หากพวกเขาได้รับไปจะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกัน ฆราวาสจื่อหยางก็ใช้หยกสีม่วงเป็นสีนำโชค ซึ่งมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าอีกด้วย

ของที่ผู้อาวุโสพกติดตัวและมอบให้เพียงแค่รุ่นน้องกับนักเรียนเท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยคือ ‘เอาจี้หยกนี่ไป น้องชาย เจ้าเป็นคนของข้า…หรือก็คือนักเรียนของข้าแล้ว’

“นักเรียนยินดีแต่งบทกวีเพื่อเลี้ยงส่งฆราวาสจื่อหยาง” นักเรียนรูปร่างสูงที่สวมเสื้อขงจื๊อสีเขียวแกมน้ำเงินและมีจี้หยกรอบเอวก้าวออกมาและแสดงความเคารพต่อปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามที่อยู่ในศาลา

หลี่มู่ไป๋ยิ้ม “นี่คือนักเรียนของข้า จูทุ่ยจือ เขาค่อนข้างมีพรสวรรค์ด้านบทกวี”

ฆราวาสจื่อหยางยิ้มและพยักหน้า

หลังจากนักเรียนที่ชื่อจูทุ่ยจือคนนั้นขับร้องบทกวีอำลา รอยยิ้มบนใบหน้าฆราวาสจื่อหยางก็ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนว่าพึงพอใจมาก

“ไม่เลว” จางเซิ่นปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารกล่าวชมและไม่ได้แสดงความคิดเห็นอีก นักปราชญ์สองคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนมีพรสวรรค์ด้านบทกวีมากกว่าเขา

แต่การเริ่มต้นที่ดีไม่จำเป็นต้องมีจุดจบที่ดี ฉากต่อไปนี้อาจอธิบายได้ว่าเป็นหางหมาแซมขนหมี[3]

บทกวีส่วนหลังพอไปวัดไปวา แต่ฝืนให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดมากเกินไป

หลี่มู่ไป๋ถอนหายใจ “ตั้งแต่ที่ราชวิทยาลัยหลวงใส่คำอธิบายประกอบหนังสือปราชญ์อีกครั้งเพื่อรักษาหลักกฎสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์ นักเรียนทั่วโลกเอาแต่ยึดติดกับพระคัมภีร์และขลุกอยู่กับบทกวี เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพที่ ‘ผูกมัดกับหลักการ ไม่ปะติดปะต่อจนน่าเบื่อ’ จนไม่อาจถอนตัวได้ บทความกับบทกวีจึงไม่มีจิตวิญญาณอีกต่อไป”

เมื่อพูดถึงความหลัง เขาก็เคียดแค้นขึ้นมา

‘นี่ก็เป็นสาเหตุที่ลัทธิขงจื๊อเริ่มถดถอยลงในยุคสมัยใหม่เช่นกัน คำกล่าวของลัทธิขงจื๊อที่ผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้ามาสองร้อยปีคือ พระพุทธศาสนายิ่งใหญ่ ลัทธิเต๋าก็น่ายกย่อง อ๊ะ การเล่นแร่แปรธาตุก็ไม่เลว หมอผีกับพ่อมดที่ใช้แนวทางอื่นก็มีจิตวิญญาณ สมควรได้รับการยกย่อง…อ้อ ทหารที่หยาบคายเชิญเจ้าออกไป ที่นี่คือการชุมนุมของสุภาพชน ช่วยเอาเผ่าพันธุ์ปีศาจออกไปด้วยแล้วกัน ทุกคนที่หลงเหลืออยู่ที่นี่ อภัยให้ข้าที่พูดตรงๆ ด้วย พวกเจ้ามันขยะ!’

นั่นคือวิถีของลัทธิขงจื๊อในตอนเริ่มต้น

แล้วตอนนี้ล่ะ

ระบบผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสูง ‘เรื่องผิดกฎหมายเป็นอย่างไร น้องชาย’

ลัทธิขงจื๊อตัวสั่น ‘แม่แกสิ’

ฆราวาสจื่อหยางถอนหายใจ “ช่างเถอะ ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องพวกนี้หรอก นักเรียนทุกคนยังมีผู้ใดอยากแต่งบทกวีอีกหรือไม่”

ผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่มี

จูทุ่ยจือจ้องหยกสีม่วง สายตาร้อนผ่าว รู้สึกว่านี่คือของในกระเป๋าของเขา

“ท่านอาจารย์ ข้ามีบทกวี” สวี่ซินเหนียนเดินออกจากฝูงชนมาที่ศาลา

เขาจงใจเงียบมาจนถึงตอนนี้ เขาเป็นคนเงียบๆ และอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อยากโยนบทกวีดีๆ ออกมาเร็วเกินไปและทำให้สหายร่วมชั้นอับอาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่เขาเคยปะทะฝีปากกับจูทุ่ยจือแน่นอน

…………………………………………………………

[1] จอหงวน เป็นตำแหน่งราชบัณฑิตซึ่งได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบขุนนางของจีนในสมัยโบราณ

[2]ทำงานหนักสร้างเรือ เอาตัวรอดเป็นยอดคน หมายถึง มุ่งมั่นศึกษาอย่างหนักเพื่อเป็นใบเบิกทาง และประจบประแจงผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

[3] หางหมาแซมขนหมี สำนวนจีน เปรียบการเอาของที่ไม่ดีมาแซมเข้ากับของดี ทำให้ยากที่จะตัดสินว่าของสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท