“ข้าน้อยต้องขอบคุณคุณชาย หากในอนาคตข้าน้อยได้บันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ ย่อมเป็นผลงานของคุณชาย” ดวงตาของฝูเซียงมีความเสน่หาไหลเวียนอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งมีเสน่ห์และน่าหลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆ
สวี่ชีอันรู้ว่านางหมายถึงอะไร ตั้งแต่สมัยโบราณ คณิกาที่มีชื่อเสียงเพราะบทกวีถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังมีไม่น้อย
โอกาสเช่นนี้ หญิงค้าประเวณีทุกคนต่างดีใจจนแทบบ้า
คนสองประเภทบนโลกที่ชอบแข่งขันกันเพื่อชื่อเสียงคือ ปัญญาชนกับคณิกา
สิ่งที่ข้าต้องการคือความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณอันล้นพ้นของเจ้า…สวี่ชีอันยิ้ม และแสดงความเจ้าชู้ออกมาเล็กน้อยอย่างเหมาะสม “เจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไรหรือ”
ภายในห้องอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ เขาดื่มเหล้าไปไม่น้อย นั่งอยู่พักหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่ามันร้อนอบอ้าวเกินจะทน จึงถอดเสื้อคลุมวางไว้บนม้านั่ง
ฝูเซียงกัดริมฝีปากงามอวบอิ่ม นางพูดอย่างเขินอายว่า “คุณชาย ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน ฟังข้าน้อยบรรเลงเพลงให้ท่านก่อนเถิด”
สวี่ชีอันชะงัก และรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด เขาจึงยิ้ม และไม่ได้อธิบายอะไร
นางเป็นหญิงงามในสมัยโบราณ เมื่อเจ้ามานอนกับนาง นางก็จะพูดว่า ‘ท่านไม่ต้องรีบร้อน ให้ข้าน้อยบรรเลงเพลงให้ท่านฟัง’
ไม่เหมือนหญิงสาวในยุคหลังๆ เมื่อเจ้าไปนอนกับนาง นางจะพูดว่า ‘รีบทำเร็วๆ!’
หลังจากอดทนฟังเพลงจบ สวี่ชีอันต้องยอมรับว่าคณิกานางนี้มีความสามารถ นางเป็นเลิศในกู่ฉินและบทกวี เรื่องบทกวีเขาไม่รู้ แต่นางเล่นกู่ฉินได้ไพเราะมาก
คนที่ไม่เข้าใจจังหวะดนตรีอย่างเขาก็ยังรู้สึกสงบและดื่มด่ำไปกับมันได้
สวี่ชีอันดื่มชา บรรเทาอาการคอแห้งที่เกิดขึ้นเพราะดื่มเหล้า และเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แม่นางฝูเซียงเจ้างามเลิศในแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดมาไถ่ตัวเจ้าบ้างหรือ”
เห็นชัดว่านี่ไม่ใช่ประเด็นที่น่ารื่นรมย์นัก แม่นางคณิกาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
“หญิงสาวของสำนักสังคีตอยากจะไถ่ตัวก็ไถ่ตัวได้เสียที่ไหน แม้ว่าจะได้พบกับชายผู้เป็นที่รัก แต่กรมพิธีการก็ไม่เห็นด้วยหรอกเจ้าค่ะ”
อันที่จริงมันสิ้นเปลืองเกินไป การไถ่ตัวนางคณิกาที่กำลังเป็นที่นิยมของสำนักสังคีตนั้นยากมาก เพราะเป็นโสเภณีทางการ ต้องผ่านกระบวนการมากมาย ไหนจะเรื่องติดสินบน เงินที่ใช้ก็มากกว่าคณิกาของหอนางโลมอื่น
ข้าจำได้ว่าหัวหน้ามือปราบหวังเคยบอกว่า คณิกาของหอนางโลมธรรมดาประมาณห้าร้อยตำลึงถึงหนึ่งพันตำลึง บางทีคณิกาของสำนักสังคีตก็อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หรือมากกว่านั้น สองพันตำลึงนี่มันเท่าไหร่กันนะ ข้าต้องเก็บเงินสิบปีไม่กินไม่ดื่ม และข้ายังต้องมีรายได้ที่สูงกว่าระดับกลางขึ้นไปอีก…มีเงินเยอะขนาดนี้ ข้าซื้อนางสนมที่หน้าตาไม่เลวสักสองสามคนไม่ดีกว่าหรือ
สวี่ชีอันคำนวณในใจโดยไม่รู้ตัว และได้ข้อสรุปว่า ธุรกิจนี้สิ้นเปลือง!
“ก็ใช่ ด้วยความงามของแม่นางฝูเซียง แม้จะเป็นเมืองหลวงต้าฟ่ง เจ้าก็ไม่อาจเป็นรองได้” สวี่ชีอันประจบสอพลอ
นางคณิกาหัวเราะคิกคัก ในใจมีความสุข และพูดว่า “คุณชายอย่าหยอกล้อข้า หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงต้าฟ่งคือพระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือ ข้าก็เพียงแค่หญิงสาวธรรมดาเท่านั้นเจ้าค่ะ”
แทนตัวเองจากข้าน้อยเป็นข้า ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น ในน้ำเสียงก็มีความออดอ้อนเล็กน้อย
พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือหรือ ผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว สวี่ชีอันได้ยินเรื่องหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงในตำนวนคนนี้อีกครั้ง
ชาติก่อนเขาขอให้ตัวเองได้สัมผัสความงามนับไม่ถ้วน ตอนนี้เขาได้เห็นสาวงามที่แทบไม่มีที่ติเช่นสวี่หลิงเยวี่ยกับฉู่ไฉ่เวย เขาจึงคิดไม่ออกจริงๆ ว่าพระมเหสีองค์นี้จะงดงามขนาดไหน ถึงรักษาชื่อหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงไว้ได้
แปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นรัศมีตัวตนล่ะมั้ง…เขาคิดในใจ
“พระมเหสีองค์นั้นเกิดในตระกูลนักวิชาการแห่งเจียงหนาน[1] เมื่ออายุเก้าขวบนางติดตามบิดามารดาไปจุดธูปไหว้พระที่วัดหยก และเจ้าอาวาสก็มอบบทกวีให้นางบทหนึ่ง ‘ความตื่นตระหนกตอนกำเนิดกดทับประชาชน ความสง่างามจากการอาบแสงแดดอย่างเต็มที่ ผู้คนนับถือความสง่างามล้ำเลิศ วิญญาณเชื่อมต่อโลกกระตุ้นจักรพรรดิ’ ตั้งแต่นั้นมานางก็มีชื่อเสียงโด่งดัง ตอนอายุสิบสามนางก็ถูกส่งเข้าไปในพระราชวัง”
สวี่ชีอันถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “เช่นนั้นนางกลายเป็นพระมเหสีได้อย่างไร”
คณิกาฝูเซียงยื่นมืออันเรียวยาวที่อยู่ในแขนเสื้อออกไป ดรรชนีกล้วยไม้[2]หมุนขวดแจกันลายคราม เทขี้ผึ้งสำหรับกู่ฉินออกมา ขณะที่กำลังบำรุงกู่ฉินนางกล่าวว่า
“สิบเก้าปีก่อน สงครามด่านซานไห่ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ ในฐานะวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อันดับสองของอ๋องสยบแดนเหนือ จักรพรรดิจึงมอบหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงผู้นั้นให้เขาเจ้าค่ะ”
อ๋องสยบแดนเหนือเป็นน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน จะมอบหญิงงามให้ก็ไม่แปลก อย่างไรเสียหญิงงามคนนั้นก็มีพรสวรรค์โดดเด่น แต่ปัจจุบันจักรพรรดิมุ่งมั่นกับการฝึก จึงไม่ได้ร่วมหลับนอนกับผู้หญิงมานานแล้ว…อีกเรื่องหนึ่งที่สวี่ชีอันอยากรู้คือ
“วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งคือผู้ใดหรือ”
“เว่ยกงเจ้าค่ะ ตอนนั้นเว่ยกงเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพทั้งสาม หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นขันที พระมเหสีก็คงไม่ได้เป็นพระมเหสี” ฝูเซียงยิ้ม “สิ่งที่ข้าพูดกับคุณชาย เป็นคำพูดที่ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เพียงแค่ออกประตูนี้ไป โปรดอย่าพูดสิ่งใดให้มากความ”
เกี่ยวกับเรื่องของเว่ยกงคนนั้น ประชาชนคนธรรมดาพูดคงแล้วไป แต่นางเป็นพนักงานต้อนรับที่ทำงานในองค์กรรัฐ
ที่แท้ก็เป็นเขา…สวี่ชีอันเข้าใจทันที เว่ยเยวียนคนนี้ สวี่ต้าหลางได้ยินบ่อยๆ
เขามีชื่อเสียงมาก
แม้ว่าคนคนนี้จะเป็นขันที แต่ช่างน่าอัศจรรย์ ศิลปะสามารถปกครองประเทศ การทหารสามารถปราบจลาจลได้ หากไม่ใช่ขันที เขาคงสอบจอหงวน[3]และเป็นสมุหราชเลขาธิการได้อย่างง่ายดาย
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างไม่แยแส สวี่ชีอันเชี่ยวชาญกลยุทธ์การพูดโน้มน้าวใจ นี่คือทักษะที่ฝึกตอนฝึกทักษะการสอบปากคำอย่างหนัก
หลังจากนอกเรื่องอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ดึงหัวข้อไปที่โจวลี่ได้
“คนผู้นี้เจ้าสำราญและเหลวไหล ร่ำเรียนศึกษามาน้อย ข้าน้อยไม่ชอบ เขาเข้าร่วมการประชุมชาทุกครั้ง ข้าน้อยก็จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนไม่มีตัวตนเจ้าค่ะ” ฝูเซียงพูดอย่างโกรธๆ
“สำนักสังคีตอยู่ในความรับผิดชอบของกรมพิธีการ เขาเป็นเพียงลูกชายของรองเจ้ากรมกรมการคลัง ข้าน้อยจึงไม่กลัวเขา”
สวี่ชีอันแสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมาอย่างเหมาะสม และถามด้วยรอยยิ้ม “ความเจ้าสำราญและเหลวไหลเอามาจากที่ไหน การเที่ยวผู้หญิงไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของทางการ” แม่นางคณิกาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าได้ยินคุณชายท่านอื่นพูดถึง ถึงจะรู้เพียงเล็กน้อย หากคุณชายหยางอยากรู้ ข้าก็จะบอก แต่โปรดอย่าบอกผู้อื่น”
น้ำเสียงทั้งออดอ้อนและอ้อนวอน
สวี่ชีอันแสร้งทำท่าปลื้มปีติออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อแสดงว่าเขาสนใจเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น และจะไม่บอกผู้อื่นแน่นอน
“เรื่องนี้เริ่มต้นจากเทศกาลโคมไฟ[4]ปีที่แล้ว โจวลี่คนนั้นเป็นคนฉุนเฉียว เขาถูกชะตาหญิงสาวคนหนึ่งในงานรื่นเริงช่วงเทศกาลโคมไฟ จึงใช้ประโยชน์จากผู้คนพลุกพล่านเข้าไปล่วงละเมิด และยังทำให้ผู้ติดตามรับใช้ของฝ่ายหญิงได้รับบาดเจ็บอีก ใครจะคิดว่าแม่นางคนนั้นจะเป็นผู้ที่มีภูมิหลัง นางเป็นลูกสนมของเวยอู่โหว เดิมที หากเป็นเพียงแค่ลูกสนม เรื่องก็คงไม่ยุ่งยาก แต่ปัญหาคือแม่ผู้ให้กำเนิดของลูกสนมคนนั้น เป็นพี่น้องแท้ๆ กับภรรยาคนแรกของเวยอู่โหว ด้วยความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้ ลูกสนมคนนั้นจึงได้รับความรักจากนายหญิง และการปฏิบัติไม่ต่างจากลูกสาวของภรรยาคนแรกมากนัก ขาดเพียงแค่ฐานะเท่านั้น”
สวี่ชีอันกำหมัดแน่นอย่างเงียบๆ “เช่นนั้นแล้วจัดการอย่างไร”
“เวยอู่โหวยื่นฎีกา รองเจ้ากรมกรมการคลังจึงเขียนจดหมายอธิบาย ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันอยู่หลายวัน สุดท้ายองค์จักรพรรดิพิจารณาคดีว่า รองเจ้ากรมโจวสอนลูกไม่เข้มงวด งดเงินเดือนหนึ่งปี และชดเชยให้เวยอู่โหวห้าพันตำลึง โจวลี่ถูกห้ามไม่ให้ออกไปไหนสามเดือน หากก่ออาชญากรรมซ้ำ จะถูกลงโทษสถานหนัก”
หากก่ออาชญากรรมซ้ำ จะถูกลงโทษสถานหนัก…ประโยคนี้ราวกับมีสายฟ้าฟาดเข้าไปในสมองของสวี่ชีอัน สร้างแรงบันดาลใจให้เขา
โจวลี่โลภในความงามลูกสนมของเวยอู่โหวมานานแล้ว เพราะเมื่อไม่นานนี้เขาก็เสียเปรียบ ถูกทุบตี เขาจึงอยู่ในอารมณ์หดหู่ ด้วยความใจร้อน ก็ไปทะเลาะกับลูกสนมของเวยอู่โหวอีกครั้ง…
ข้อมูลเกี่ยวกับโจวลี่ที่รวบรวมไว้ก่อนหน้านี้ได้ข้อสรุปในเสี้ยววินาที กลายเป็นส่วนสำคัญของแผนการของเขา
‘ดังนั้นจึงส่งคนไปลักพาตัวลูกสนมของเวยอู่โหว และซ่อนนางไว้ในบ้านพักส่วนตัวข้างนอก วางแผนจะทำเรื่องสนุกสนานกับนาง…หลังจากนั้นก็ฆ่าปิดปาก…อืม นี่สมเหตุสมผลมาก’
‘แน่นอนว่า เป้าหมายคือโยนความผิดให้ผู้อื่น ข้าไม่ได้ต้องการฆ่าหญิงสาวที่ไร้เดียงสา นี่คือร่างแรกของแผนปัจจุบัน ด้านรายละเอียด ยังต้องคุยกับเอ้อร์หลางให้เรียบร้อย ต้องทำให้เป็นธรรมชาติ และสมเหตุสมผล…’
เมื่อเห็นสวี่ชีอันตกตะลึง แม่นางคณิกาก็เรียกเขา ริมฝีปากอมชมพูมุ่ยเล็กน้อย ราวกับออดอ้อนและบ่นว่า
“คุณชายจะนั่งกับข้าทั้งคืนเลยหรือเจ้าค่ะ”
เอ่อ…ข้ายังไม่อาจเสียความบริสุทธิ์ได้ หากไม่นั่งทั้งคืน จะให้ทำทั้งคืนหรือ
…………………………………………………
[1] เจียงหนาน คือพื้นที่บริเวณตอนล่างของแม่น้ำแยงซีในประเทศจีนปัจจุบัน
[2] ดรรชนีกล้วยไม้ เป็นท่าทางการวาดมือไม้ กรีดกรายนิ้วที่มีความอ้อนช้อยและสง่างาม มักพบเห็นในตัวละครที่แสดงเป็น ‘หญิง’ ในการแสดงงิ้ว
[3] จอหงวน เป็นตำแหน่งราชบัณฑิตซึ่งได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบขุนนางของประเทศจีนสมัยโบราณ
[4] เทศกาลโคมไฟ คือ เทศกาลฉลองในวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นสัญลักษณ์ของวันสุดท้ายในการฉลองเทศกาลปีใหม่ของจีน ในเทศกาลโคมไฟ เด็กๆ จะถือโคมไฟกระดาษออกไปวัดกันในตอนกลางคืน และพากันทายปริศนาที่อยู่บนโคมไฟ