ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 66 ภารกิจฉุกเฉิน

บทที่ 66 ภารกิจฉุกเฉิน

“เจ้ารับเขาไปอยู่ใต้บังคับบัญชา จริงๆ ก็ควรรู้ระดับของเขา” เว่ยกงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่ไม่ต้องคิดมาก อย่าใส่ใจมากนัก ทำจิตใจให้เป็นปกติ และแน่นอนจำไว้ว่าอย่าป่าวประกาศให้ผู้ใดรู้”

ประโยคแรกยังดีๆ แต่ประโยคหลังทำให้หลี่อวี้ชุนงุนงงเล็กน้อย

เว่ยกงหมายความว่าอย่างไร ทำจิตใจให้เป็นปกติ อย่าใส่ใจมากนัก…จะบอกว่าระดับของสวี่ชีอันต่ำเกินไป ขอให้ข้าอย่าเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายและดูถูกเขาหรือ แต่ทำไมถึงเตือนข้าว่าอย่าป่าวประกาศ ด้วยฐานะของเว่ยกง ไม่น่าจะทะนุถนอมฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ เช่นนี้…

หลี่อวี้ชุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อาจคาดเดาความคิดของขันทีใหญ่ได้

เวลานี้ เว่ยเยวียนพลิกเปิดทะเบียนบ้าน และดันไปที่ขอบโต๊ะ “เจ้าดูเองเถิด”

สายตาของหลี่อวี้ชุนจับจ้องอยู่ที่ทะเบียนบ้าน และเห็นตัวอักษรสีแดง ระดับเหนือเจี่ย!

…ศิษย์พี่ชุนเกือบจะสูญเสียความสามารถในการจัดการสีหน้า และเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เว่ยกงขอรับ”

ระดับเหนือเจี่ย!

จะเป็นระดับเหนือเจี่ยได้อย่างไร

ข้าอยู่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมานานสิบกว่าปี ไม่เคยเห็นใครที่มีผลการประเมินระดับเหนือเจี่ยเลย แม้แต่ฆ้องทองคำ คุณสมบัติก็เพียงแค่ระดับเจี่ยเท่านั้นเอง

ระดับเหนือเจี่ยนี่มันคืออะไร

ไม่แปลกที่ต้องห้ามปากของข้า เรื่องนี้หากป่าวประกาศออกไปจะเป็นการยกยอเจ้าเด็กน้อยสวี่ชีอัน

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนไหนจะรับได้

ในเวลาเดียวกัน หลี่อวี้ชุนก็สังเกตเห็นจุดที่ผิดปกติ การทดสอบคุณสมบัติมีสามด่าน แบ่งเป็น ‘ปัญญา’ ‘กำลัง’ และ ‘ถามใจ’

สวี่ชีอันอยู่ระดับหลอมจิต จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะทดสอบด่านพลังต่อสู้

หรือกล่าวได้ว่า เขาอาศัยเพียงแค่การทดสอบสองด่าน ก็ได้รับผลประเมินคุณสมบัติระดับเหนือเจี่ยแล้ว

เช่นนั้น หากบวกกับพรสวรรค์ด้านการหลอมปราณของเขาอีก ผลประเมินจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ทะลวงระบบการประเมินที่เว่ยกงตั้งไว้… เช่นนั้นเว่ยกงจะประเมินระดับอีกครั้งไหม หรือคงไว้เหมือนเดิม

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจของหลี่อวี้ชุนก็ร้อนรุ่มขึ้นเล็กน้อย

เว่ยเยวียนปิดทะเบียนบ้าน และกล่าวตามใจ “จำไว้ว่าจงปิดปากเงียบ แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรจะรายงานข้า”

หลี่อวี้ชุนถอนหายใจ เขากำลังเลือกคำ และพูดว่า “ข้าเปิดประตูสวรรค์ให้สวี่ชีอันแล้ว ตามกฎจึงเก็บเขาสี่ร้อยตำลึงขอรับ”

เว่ยเยวียนพูดว่า “คืนกลับไปเถิด”

อัจฉริยะที่มีคุณสมบัติระดับเหนือเจี่ย เดิมทีก็มีความเอนเอียงทางทรัพยากร และจะเปิดประตูสวรรค์ยังต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เช่นนั้นระดับจะมีความหมายอะไร

หลี่อวี้ชุนพยักหน้า

เว่ยเยวียนมองเขา และหัวเราะ “พรสวรรค์ไม่เลวหรือ กี่รอบถึงค้นหาความรู้สึกของลมปราณเจอเล่า”

ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีกับหยางเยี่ยนที่ค้นหาความรู้สึกของลมปราณเจอด้วยตัวเองในสามรอบ ต่างก็ค่อนข้างสนใจเรื่องนี้ และมองหลี่อวี้ชุน

“หนึ่งรอบขอรับ…” ตอนที่พูดหลี่อวี้ชุนก็พินิจพิเคราะห์สีหน้าของข้าราชการระดับสูงสามคนไปด้วย

สีหน้าของทั้งสามคนแตกต่างกันไป หยางเยี่ยนที่ใบหน้าไร้การตอบสนองตลอดแสดงสีหน้าตกใจอย่างหาได้ยากออกมา

ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีเดินจากศาลาสังเกตการณ์เข้าไปในห้องน้ำชา สายตาเยือกเย็นมองไปที่หลี่อวี้ชุนชั่วขณะ และเย้ยหยัน “เป็นไปไม่ได้”

ปฏิกิริยาของเขารุนแรงที่สุด

เว่ยเยวียนผู้สง่างามและอ่อนโยนเสมอตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง

หลี่อวี้ชุนก้มหน้าลงเงียบๆ และพึงพอใจอย่างมากกับปฏิกิริยาของทั้งสามคน

“เจ้าไปได้!” เว่ยเยวียนมองส่งหลี่อวี้ชุนจากไป และมองลูกบุญธรรมทั้งสองคน “คิดเห็นอย่างไร”

หยางเยี่ยนครุ่นคิด “ต้องดูแลเป็นพิเศษหรือขอรับ”

เว่ยเยวียนส่ายหน้า “ไม่ต้องฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ดูต่อไปเถิด”

จากนั้น เขาก็มองไปที่ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรี และยิ้ม “เจ้ากับเขาอายุต่างกันไม่มาก ตอนนี้เขายังไม่อาจเทียบกับเจ้าได้ ทว่าในอนาคตก็ไม่แน่ ดียิ่ง ทำให้เจ้ามีแรงจูงใจขึ้นมาบ้าง”

บุรุษรูปงามผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีพยักหน้า

หลี่อวี้ชุนออกมาจากหอเฮ่าชี่ ระหว่างทางเจอฆ้องเงินสองสามคน

“ใต้เท้าหลี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงยิ้มเช่นนี้”

หลี่อวี้ชุนลูบหน้าโดยไม่รู้ตัว และพบว่ามุมปากของตัวเองแทบจะฉีกถึงใบหูแล้ว

“เรื่องเล็กน้อยๆ…” หลี่อวี้ชุนโบกมือ และหัวเราะไปพลางเดินไปพลาง

สวี่ชีอันฝากบอกข่าวคราวให้ครอบครัวว่าตัวเองอยู่ที่ที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฝึกลมหายใจซ้ำๆ และโคจรพลังปราณ

เขาสังเกตเห็นประโยชน์ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของพลังปราณในร่างกายอย่างชัดเจน มันทำให้เซลล์กระฉับกระเฉงมากขึ้น และทำให้จิตใจฮึกเหิมมากขึ้น

ในสภาพที่ร่างกายกับพลังพุ่งทะยานอย่างไร้ขีดจำกัดทำให้คนมีความสุข

สภาพเช่นนี้ดำเนินต่อไปจนถึงพลบค่ำจึงหยุดชะงัก หมายความว่าประโยชน์จากการก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณของเขาสิ้นสุดลงแล้ว

“สภาพของข้าในตอนนี้ รู้สึกเหมือนสามารถเอาชนะคนสิบคนได้ เดิมทีอารองไม่ได้จริงจังเลยเวลาประลองกับข้า และยังแสร้งทำเป็นเอาใจเสียอีก หากเขาทุ่มสุดกำลัง เกรงว่าข้าคงตายในที่เกิดเหตุ…”

สวี่ชีอันชกหมัดออกไปสองสามชุด แสดงถึงความแข็งแกร่ง สภาพดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขารวบรวมพลังปราณไว้ที่หมัดทั้งสองข้าง ย่อเอวลง ห้อยอยู่บนพื้นกลางอากาศ

ปัง!

พื้นส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา แตกออกเป็นรอยแตกคล้ายใยแมงมุม และฝุ่นก็ฟุ้งขึ้นมา

จวนสกุลสวี่

สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว เดินไปมาที่โถงด้านหลัง สวี่ผิงจื้อนั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าหนักใจ และไม่พูดไม่จา

อาสะใภ้เหลือบมองลูกสาวคนโตที่นิ้วบิดชายกระโปรง ขอบตาแดงเล็กน้อย คิ้วงามขมวดกันแน่นจนกลายเป็นปม

เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของแม่ สวี่หลิงเยวี่ยก็เบะปาก และตะโกนด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านแม่…”

“เจ้าอย่าเดินไปเดินมา ข้าเวียนหัว” อาสะใภ้ดุลูกชายอย่างหงุดหงิด และหยั่งเชิง “ท่านพี่”

“รอฟังข่าวเถิด ถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพาไป การไม่ทำอะไรเลยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” อารองสวี่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

อาสะใภ้กัดริมฝีปากสีสด นางกระทืบเท้าทันที และพูดอย่างโกรธๆ “เจ้าไปวิ่งเต้นก็ยังดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ”

สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไรกับวิ่งเต้น เป้าหมายที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพาพี่ใหญ่ไปก็ยังไม่รู้ได้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะตัดสินบน”

“รู้ว่าก่อเรื่อง ก็แค่รู้ว่าก่อเรื่อง” อาสะใภ้ดุ

มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น

เวลานี้เหล่าจางคนเฝ้าประตูวิ่งเข้ามา คนยังมาไม่ถึงโถงด้านหน้า เสียงก็ดังมาก่อนแล้ว “นายท่าน ต้าหลางให้คนฝากคำบอกความมาขอรับ”

สวี่ซินเหนียนเดินไปคนแรก ทั้งครอบครัวลุกจากเก้าอี้

กระโปรงของสวี่หลิงเยวี่ยร่วงลงข้างประตูอย่างพลิ้วไหว และจ้องมองเหล่าจางคนเฝ้าประตูอย่างกระสับกระส่าย

เหล่าจางคนเฝ้าประตูยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าห้องโถง และพูดว่า “ต้าหลางบอกว่า เขากลายเป็นคนของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว คืนนี้ไม่กลับบ้าน ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ”

กลายเป็นคนของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล… สวี่ผิงจื้อกับสวี่ซินเหนียนมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ

พร้อมกันกับสหายร่วมงานอีกสองคนอย่างชายตาตี่และชายผู้มีใบหน้าไร้การตอบสนอง สวี่ชีอันได้รับเสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัว ป้ายห้อยเอว ฆ้องทองแดงและดาบยาวมาตรฐานจากที่ทำการปกครอง

“ชุดเครื่องแบบที่พอดีตัวต้องรอประมาณสองวัน… ฆ้องทองแดงนี้เป็นอาวุธเวทมนตร์มาตรฐานเฉพาะหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล” ซ่งถิงเฟิงเคี้ยวถั่วน้ำตาล[1] ในปาก และพูดว่า

“มันมีสองหน้าที่ หนึ่งคือรัดหน้าอกเป็นเกราะกำบังได้ เพื่อปกป้องจุดสำคัญ ต้านทานการโจมตีอย่างสุดกำลังของยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณได้ สองคือตีฆ้อง ทำให้เกิดคลื่นเสียงสั่น ซึ่งสามารถสั่นคลอนจิตใจของศัตรูได้ และทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ปวดหัวและผลกระทบเชิงลบอื่นๆ”

ฟังดูธรรมดามาก แต่เกราะคันฉ่องที่ซ่งชิงมอบให้เขาสามารถต้านทานการโจมตีระดับหลอมวิญญาณได้สามครั้ง

ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงหนึ่งครั้ง…หืม นี่ไม่ใช่ฆ้องทองแดงรุ่นปรับปรุงหรือ… สวี่ชีอันฉุกคิดขึ้นในใจ

“สำนักโหราจารย์ผลิตออกมาหรือ” สวี่ชีอันกล่าว

“แน่นอน อาวุธเวทมนตร์มีเพียงปรมาจารย์ยุทธระดับสี่ของสำนักโหราจารย์เท่านั้นที่หลอมได้” ซ่งถิงเฟิงกล่าว

“พรุ่งนี้เจ้ามาประชุมศาลให้ตรงเวลา หัวหน้าบอกว่าต่อจากนี้ไปให้เจ้าติดตามพวกข้า หน่วยย่อยของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลน้อยสุดมีสองคน มากสุดมีสี่คน คุ้มกันพื้นที่ต่างๆ ในเมืองหลวง ปกติสามวันจะผลัดเปลี่ยนเวร ข้าและกว่างเสี้ยวเพิ่งเสร็จสิ้นการลาดตระเวนยามวิกาล สามวันมานี้เป็นการลาดตระเวนยามกลางวัน”

“เช่นนั้นคุ้มกันพื้นที่ไหนบ้างล่ะ” สวี่ชีอันไม่เต็มใจนิดหน่อย งานกะดึกเช่นนี้ ไร้มนุษยธรรมกว่าการทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเสียอีก

“พื้นที่จะกำหนดไว้คร่าวๆ และทุกครั้งที่ผลัดเปลี่ยนเวรก็จะสุ่มจัดสรรพื้นที่ นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีจิตใจไม่ซื่อและการลักขโมย” ซ่งถิงเฟิงพูดพลางยิ้ม

“ขโมยตำลึงเงินหรือข่มขืนผู้หญิง แน่นอนว่า กรณีนี้มีน้อยมาก แต่ไม่อาจละเลยการป้องกันได้”

สวี่ชีอันพยักหน้า “หน่วยงานใดก็มีคนเลว”

เวลานี้ เจ้าพนักงานคนหนึ่งรีบเข้ามา และพูดว่า “ใต้เท้าซ่ง ใต้เท้าจู ฆ้องเงินหลี่เรียกตัวขอรับ”

พี่ชุนเรียกหาแล้ว… สวี่ชีอันเดินตามเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนไปที่สำนักงานของหลี่อวี้ชุน

ฆ้องเงินทุกคนล้วนมีสำนักงานแยกอิสระเรียกว่า ‘ห้อง’ ยุคนี้การนั่งในสำนักงานเรียกว่า ‘การนั่งในห้อง’

ปกติฆ้องเงินจะไม่ออกไปลาดตระเวน นี่เป็นงานของฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ

สำนักงานของหลี่อวี้ชุนเรียกว่าห้องชุนเฟิง

ห้องสะอาดไร้กลิ่นไม่พึงประสงค์… เอกสารจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ… การวางแนวลวดลายลายครามของแก้วสองใบก็เหมือนกัน… การจัดวางกระถางต้นไม้ก็เหมือนกันทุกประการ… พี่ชุนเป็นชายชราที่ละเอียดอ่อนจริงๆ

สวี่ชีอันกวาดตามองห้องชุนเฟิง

ภายในห้องอันกว้างขวาง หลี่อวี้ชุนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ดันสำนวนคดีไปที่ข้างโต๊ะ

“ภูเขาต้าหวงในมณฑลไท่กังปรากฏร่องรอยของปีศาจ และกินคนไปไม่น้อย พวกเจ้าไปวิ่งสักรอบ สอบถามสถานการณ์ หากปีศาจระดับไม่สูงก็สังหารพวกมันทันที คนของหน่วยสืบราชการลับประจำที่ว่าการเมืองจะร่วมมือกันคลี่คลายคดี มีคนรออยู่ด้านนอกที่ทำการปกครองแล้ว อืม สวี่ชีอัน เจ้าก็ไปด้วย สะสมประสบการณ์หน่อย เจ้าไม่ได้ทดสอบ ‘พลังต่อสู้’ ไม่ใช่หรือ นี่ก็ถือเป็นการต่อสู้จริง”

ปีศาจกินคน… เพิ่งดำรงตำแหน่งก็เจอเรื่องนี้เลย?!

แท้จริงแล้วข้าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่

……………………………………………………

[1] ถั่วน้ำตาล เป็นขนมหวานที่ทำเป็นรูปคล้ายเมล็ดถั่ว โดยมีส่วนผสมจากน้ำตาล น้ำเชื่อมข้าวโพด และแป้ง โดยผสมสีและกลิ่นผลไม้ต่างๆ

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท