ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 69 ยิงอย่างเทพนิรมิต

บทที่ 69 ยิงอย่างเทพนิรมิต

สวี่ชีอันค่อยๆ กวาดตามองใบหน้าของเหล่าสหายร่วมงานแล้วเอ่ยเสียงขรึม “นี่คือดินประสิว”

ชื่อดินประสิวนี้ไม่คุ้นหูทหารสองสามคนในที่นี้ซึ่งมีการศึกษาน้อยและขาดความรู้ที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง

ซ่งถิงเฟิงและพวกสหายร่วมงานประสานสายตากัน ก่อนจะขมวดคิ้วถาม “ดินประสิวหรือ”

สวี่ชีอันกล่าวอย่างครุ่นคิด “ข้าเปลี่ยนชื่อเรียก ถ้าเป็นหินจุดไฟพวกเจ้าน่าจะเข้าใจยิ่งขึ้น มันเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับทำดินปืน”

สีหน้าของทุกคนในที่นั้นล้วนเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุมได้

ดินปืนเป็นศาสตร์ลับของต้าฟ่ง เป็นหนึ่งในกลวิธีสยบนานาประเทศทั่วหล้า เพียงแต่สูตรและวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับดินปืนนั้น ต้าฟ่งล้วนจัดการควบคุมอย่างเข้มงวดมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือดินประสิว

แม้จะเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังรู้ส่วนประกอบของดินปืนแบบงูๆ ปลาๆ

‘แต่กลับพบเหมืองดินประสิวบนภูเขาต้าหวง…ทั้งยังมีร่องรอยการขุดเจาะ…’ ใบหน้าของซ่งถิงเฟิงไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย เขาเคร่งเครียดอย่างผิดปกติ “กลับเมืองหลวงไปรายงานเรื่องนี้ต่อเบื้องบนเดี๋ยวนี้”

เมื่อเทียบกับเรื่องปีศาจก่อปัญหาแล้ว การค้นพบเหมืองดินประสิวจึงจะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า

หลี่ว์ชิงจ้องผู้ใหญ่บ้านผมหงอกขาวเขม็งแล้วออกคำสั่ง “มัดเขาไว้แล้วเอาตัวไป”

บนภูเขาต้าหวงกลับมีเหมืองดินประสิวอยู่ เป็นถึงผู้ใหญ่บ้านกลับบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำตัวกลับไปสอบปากคำ

มือปราบสองคนปลดเชือกรอบเอวออกแล้วมัดสองมือของผู้ใหญ่บ้านไว้ข้างหลัง ก่อนดันเขาออกไปข้างนอก

ผู้ใหญ่บ้านน่าจะไม่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นคงไม่พาพวกเรามาที่นี่ นี่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย… อีกอย่าง จากการวิเคราะห์ทางภาษากายและรายละเอียดอื่นๆ แล้ว เขาก็ไม่เหมือนคนที่รู้เรื่อง คนแก่ไม่รู้หนังสือคนหนึ่ง ไม่มีทางเป็นเจ้าพ่อการแสดงได้หรอก… แต่สาเหตุที่ปีศาจขับไล่คนเผาถ่านนั่นเป็นเพราะเหมืองดินประสิวหรือ

เอ่อ… ไม่น่าเป็นไปได้ ต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญมาดูว่าเหมืองดินประสิวแห่งนี้ขุดเจาะเมื่อไหร่จึงจะตัดสินได้

สวี่ชีอันสะสางความคิดทั้งหลายในหัว เขายกคบเพลิงขึ้น เพิ่งก้าวออกจากถ้ำก็มีเสียงร้องของหลี่ว์ชิงดังอยู่ข้างหู “ระวัง!”

ขณะนั้นเอง เขาก็ได้เสียงหวีดหวิวทะลวงอากาศ เงาดำพุ่งมาจากด้านข้าง เร็วจนเขาเกือบจะตอบสนองไม่ทัน

ปัง!

ฆ้องที่หน้าอกแตกออก สวี่ชีอันคิดว่าตัวเองถูกรถไฟความเร็วสูงชนเข้าจังๆ แรงกระแทกรุนแรงส่งให้เขากระเด็นออกไป สติจมลงสู่ความมืดในพริบตา

การโจมตีอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน แต่ละคนก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป

มือปราบสามคนของที่ว่าการเมืองชักดาบและปลดหน้าไม้ออกมาอย่างรวดเร็ว

จูกว่างเสี้ยวกวาดขาเตะผู้ใหญ่บ้านเข้าไปในเหมือง ซ่งถิงเฟิงชักดาบแล้วตะโกนตาม “กลับเข้าไป อย่าออกมา”

บนก้อนหินยักษ์ข้างเหมืองมีสัตว์ประหลาดลำตัวยาวสองจั้งหมอบอยู่ รูปร่างคล้ายซาลาแมนเดอร์[1]ผิวนอกปกคลุมด้วยเกล็ดหนาหนัก

บนหน้าผากมีเขาแหลมงอกอยู่ รูม่านตาเป็นขีดตั้งสีอำพันที่ส่องประกายแสงเย็นเยียบดุร้าย

ขาหน้ามีสี่นิ้ว

แก้มของมันปูดโปนราวกับซ่อนอาวุธลับที่สามารถยิงออกมาได้ทุกเมื่อเอาไว้

‘ฟู่!’

เงาดำที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าพุ่งออกมาแล้วโจมตีไปยังซ่งถิงเฟิง

เขาหรี่ตาลง ร่างกายตอบสนองฉับไวกว่าสมอง เอนหลังหลบโดยสัญชาตญาณ เลี่ยงการโจมตีทะลวงหัวใจได้

หลี่ว์ชิงก้าวไปข้างหน้า เหยียบก้อนหินจนแตกอย่างต่อเนื่องแล้วสาดซัดเศษฝุ่นหิน สองมือกำดาบฟาดฟัน

‘หวึ่งๆ…’ คมดาบสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูง

‘ชิ้งๆๆ…’

ภายใต้เสียงเสียดฟันดังเป็นชุดๆ คมดาบก็ตัดปลายลิ้นสัตว์ประหลาดจนเกิดประกายไฟบาดตา

ทุกคนจึงมองเห็นว่าลิ้นยาวของสัตว์ประหลาดตัวนั้นมีเกล็ดเล็กถี่ๆ ปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น

สัตว์ประหลาดคล้ายรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจึงดึงลิ้นยาวของมันกลับ ขาทั้งสี่ค้ำยันร่างกายมหึมา มันยืนอยู่บนก้อนหินสูงแล้วเหลือบมองกลุ่มคนจากด้านบน

แก้มของมันบวมเป่ง อ้าปากกว้างใหญ่แล้วร้องคำรามลั่น

เสียงคำรามทำให้นกในภูเขาตกใจจนพากันกระพือปีกบินเตลิดขึ้นฟ้า

จิตใจของพวกซ่งถิงเฟิงตกอยู่ในภวังค์ตะลึงงันทันที เหมือนถูกคนใช้ไม้ทุบหลังศีรษะ

ระดับหลอมวิญญาณ… จิตใจของเขาสะเทือน สะกดกลั้นอาการเวียนหัว ใช้ด้ามดาบกระแทกหน้าอก

‘เคร้ง…’

เสียงฆ้องดังก้องเหมือนตีกลองยามเย็นตีระฆังยามเช้า คลื่นเสียงค่อยๆ สลายไปพร้อมกับจิตใจที่เริ่มกระจ่างชัด

หลังจากทั้งสองฝ่ายหลุดจากภวังค์แล้วก็ตอบสนองทันที

หลี่ว์ชิงก้าวถอยหลังพลางกำชับสหายร่วมงานระดับหลอมจิตขั้นสูงสุดสองคนไปด้วย “พวกเจ้าใช้หน้าไม้ช่วยเสริม ยิงไปที่ดวงตา กราม กับช่องปากของมัน”

พวกนี้ก็คือจุดที่ค่อนข้างอ่อนไหว

ซ่งถิงเฟิงถอดฆ้องแล้วโยนให้กับจูกว่างเสี้ยว “เจ้ารับหน้าที่สกัดกั้นด้านหน้า ระวังตัวด้วย”

เมื่อครู่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าฆ้องของสวี่ชีอันถูกทำลาย จึงรู้ว่าฆ้องหนึ่งใบไม่อาจต้านทานลิ้นของปีศาจตัวนี้ได้

เมื่อนึกถึงสวี่ชีอัน ซ่งถิงเฟิงก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย ถึงแม้ฆ้องจะสามารถต้านทานการโจมตีเต็มกำลังของระดับหลอมวิญญาณได้ แต่เมื่อกี้นี้เจ้าสัตว์ประหลาดกลับลอบโจมตีได้สำเร็จ

เมื่อไม่ได้เตรียมตัวป้องกัน สวี่ชีอันก็มีโอกาสถูกพลังที่เหลือสั่นสะเทือนจนหัวใจแหลกสลายได้ ถ้าเขามีอายุการทำงานแค่วันเดียวก็น่าเวทนาเกินไปแล้ว

ซ่งถิงเฟิงเก็บความรู้สึกแล้วลากดาบพุ่งเข้าไปโจมตีสัตว์ประหลาดจากด้านข้าง

ดวงตาดุร้ายสีอำพันของซาลาแมนเดอร์เคลื่อนไหวราวกับจะหันมาแลบลิ้นใส่ จูกว่างเสี้ยวชิงตีฆ้องไปก่อนหนึ่งก้าว สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของปีศาจ

ขณะเดียวกัน ไอปราณก็หลั่งไหลเข้าสู่คมดาบแล้วฟาดฟันปราณดาบเข้มข้นออกไปท่ามกลางเสียงคำรามทุ้มต่ำ ปราณดาบรูปโค้งพาดพัดออกมา อากาศบิดเบี้ยวด้วยความร้อน

สัตว์ประหลาดร่างกายมหึมาไม่อาจหลบหลีกได้ มันก้มหัวต่ำ ใช้เขาหน้าผากแข็งๆ ต้านกับปราณดาบ จากนั้นมันก็สะบัดหางแล้วฟาดไปที่ซ่งถิงเฟิงอย่างแม่นยำราวกับมีตางอกอยู่ที่หลัง

ซ่งถิงเฟิงยกดาบมาบังเอาไว้ ร่างกายกระเด็นออกไป

ส่วนอีกด้าน หลี่ว์ชิงที่เข้ามาช่วยก็ฉวยโอกาสไสดาบแทงไปที่ท้องของปีศาจ แต่มันก็ยังหลบหลีกได้ราวกับรู้ล่วงหน้า

จอมพลังระดับหลอมวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ครอบครองพลังจิตกล้าแกร่ง สามารถสอดส่ายสายตาไปได้ทั้งสี่ทิศและมองเห็นรายละเอียดของทิวทัศน์โดยรอบอยู่ในหัว

ไม่ว่าจะเป็นการติดตาม ลอบโจมตี ตรึงตำแหน่ง หรือจิตสังหารต่างๆ ล้วนไม่อาจหนีพ้นการมองอย่างทะลุปรุโปร่งของจอมพลังระดับหลอมวิญญาณได้

นี่คือพลังที่มีเพียงระดับหลอมวิญญาณเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้

บ้าเอ๊ย เกือบด่วนตายไปก่อนแล้วไง ไม่ง่ายเลยกว่าจะทะลวงขั้นหลอมปราณได้ ยังไม่ได้เปิดพรหมจรรย์ก็เกือบตายขณะปฏิบัติหน้าที่เสียแล้ว… หลังจากสวี่ชีอันเป็นลมหมดสติช่วงสั้นๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา

เขาได้ยินเสียงต่อสู้ดุเดือดดังมาจากที่ไกลๆ ไม่ได้หยัดตัวลุกขึ้น แต่คลานไปข้างหน้า ก่อนจะปีนขึ้นที่สูงขณะที่ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจ

เขาหยิบกระจกหยกใบเล็กออกมาจากอกเสื้อ พลิกด้านหลัง แล้วหยิบหน้าไม้และพิษกร่อนกระดูกที่ซ่งชิงมอบให้ออกมา หลังจากป้ายบนลูกศรพิษอย่างใจเย็นแล้ว เขาก็ยกหน้าไม้ขึ้นไม่พูดไม่จา เล็งไปที่ปีศาจ รอโอกาสอยู่เงียบๆ

‘เคร้ง…’

จูกว่างเสี้ยวตีฆ้องสะเทือนจิตวิญญาณของปีศาจ ทำให้การรับรู้ของมันมืดบอด

สวี่ชีอันกำลังจะยิงลูกศร แต่จู่ๆ ปีศาจตนนั้นก็พลิกกายกะทันหัน นี่ทำให้พวกซ่งถิงเฟิงตกตะลึง ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของมันคืออะไร

…บ้าเอ๊ย การลอบโจมตีใช้ไม่ได้ผลกับยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณ!

สวี่ชีอันที่รู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วก็ลอบด่าอยู่ในใจ

วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือรอต่อไป ให้พวกซ่งถิงเฟิงที่มีเกราะป้องกันสองสามคนนั้นทำให้ปีศาจหมดแรง บาดเจ็บหนัก และลดจิตสัมผัสของมันลง จากนั้นเขาก็จะมีโอกาสใช้อาวุธเวทมนตร์อย่างหน้าไม้ที่สามารถฆ่าระดับหลอมวิญญาณได้มาบั่นคอมันให้สิ้น!

แต่ไม่นาน สวี่ชีอันก็ล้มเลิกความคิดนี้…

หลี่ว์ชิงราวกับเป็นนางเสือดาวที่ปราดเปรียว ขายาวมีกำลังทั้งสองข้างวิ่งอย่างรวดเร็ว กรีดร้องออกมา ในที่สุดก็สามารถแทงปลายดาบที่สั่นสะเทือนด้วยความถี่สูงเข้าไปที่ท้องของปีศาจได้

คมดาบโชกไปด้วยเลือด ราวกับแตะถูกเหล็กทาบที่ถูกเผาจนเป็นสีแดง ส่งเสียงฉ่าดังออกมา ระเหยเป็นควันสีโลหิต

ปีศาจคำรามกราดเกรี้ยวด้วยความเจ็บปวด หัวเอนไปข้าง กรามโป่ง แล้วยิงเงาดำทะลวงอากาศออกมา

สีหน้าของหลี่ว์ชิงนิ่งขรึม ใบหน้างามนุ่มนวลฉายแววหวาดกลัว นางหลบการโจมตีนี้ไม่พ้นแล้ว

แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในแนวเฉียง กอดร่างอวบอิ่มแข็งแรงของมือปราบหญิงเอาไว้แล้วพานางพลิกตลบไปด้านข้าง

ความช่วยเหลือของซ่งถิงเฟิงมาถึงแล้ว เขาแทงท้องอ่อนนุ่มของปีศาจไปครั้งหนึ่ง บีบให้มันไม่อาจไล่โจมตีสหายร่วมงานได้

หลี่ว์ชิงรู้สึกว่าตนถูกแขนแข็งแกร่งมีกำลังสองข้างกอดเอวเอาไว้ บนร่างมีร่างกายหนักอึ้งของบุรุษทับอยู่ นางหายใจเร็วรี่ เมื่อดวงตามองเห็นบุรุษบนร่างอย่างชัดเจนก็โพล่งออกมาอย่างตกตะลึง

“เจ้ายังไม่ตาย”

สวี่ชีอันเบ้ปาก “เกือบไปแล้วนะ”

ถ้าไม่ใช่เพราะเกราะคันฉ่องที่ซ่งชิงมอบให้ละก็…

หลี่ว์ชิงกำลังจะพูดบางอย่าง แต่นางก็เห็นหางของสัตว์ประหลาดตบลงมาด้านบนหัว จึงรีบกอดสวี่ชีอันแล้วพาเขากลิ้งไปด้วยกัน

‘ปัง!’

จุดที่เดิมที่ทั้งคู่นอนอยู่มีรอยฟาดลึกพาดลงมา

“หายกันแล้ว” สวี่ชีอันยิ้มให้นางคราหนึ่ง ทั้งสองแยกจากกัน แล้วเข้าไปร่วมมือกับซ่งถิงเฟิงล้อมโจมตีปีศาจเงียบๆ

สาเหตุที่เขาล้มเลิกการลอบโจมตีและเลือกที่จะกระโดดเข้ามาต่อสู้ด้วยก็คือ เดิมทีระดับหลอมปราณสามคนก็เอาชนะปีศาจระดับหลอมวิญญาณตัวหนึ่งไม่ได้อยู่แล้ว

สุดท้ายปีศาจก็จะไม่ถูกฆ่า และสวี่ชีอันก็จะกลายเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ

เมื่อเห็นว่าสหายยังไม่ตายในหน้าที่ ดวงตาของจูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงก็สว่างไสว เก็บซ่อนความปีติยินดีเอาไว้

สวี่ชีอันหยิบพิษกร่อนกระดูกออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้ายลงบนใบมีดก่อนจะโยนให้หลี่ว์ชิง กล่าวว่า “ป้ายลงบนใบมีด”

ลวี่ชิงเหลือบมองเขา ถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วป้ายพิษ จากนั้นก็โยนให้กับซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว

ซ่งถิงเฟิงค่อนข้างจะโชคร้าย ตอนที่กำลังป้ายยาพิษอยู่กลับถูกปีศาจเพ่งเล็งจู่โจม ลิ้นยาวฟาดผ่านแขนของเขา เกล็ดเฉี่ยวโดนจนเห็นเลือดและเนื้อรางๆ

หลี่ว์ชิงฟันลงบนร่างของปีศาจไปหนึ่งครั้ง เมื่อเห็นบาดแผลเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็วแล้วส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา นางก็มองไปยังสวี่ชีอันอย่างประหลาดใจ “ได้ผล!”

เมื่อมีสวี่ชีอันเข้ามาร่วมด้วย ระดับหลอมปราณทั้งสี่คนก็ร่วมมือกันล้อมสังหาร และมีระดับหลอมจิตอีกสองคนยิงลูกศรก่อกวนอยู่ด้านข้าง ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด

ปีศาจมีกำลังมากมายมหาศาล ทักษะลิ้นไม่เป็นรองใคร

แต่ร่างกายใหญ่มหึมาและโครงสร้างของร่างกายกลับทำให้มันไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างทหารมนุษย์ที่มีความยืดหยุ่นคล่องตัวสูง

บาดแผลบนร่างของมันจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ

“ระวัง!” สวี่ชีอันกวัดแกว่งดาบพก อัดพลังปราณเข้าไปแล้วหลบหลีกการฟาดหางของเจ้าปีศาจ ก่อนเข้าไปช่วยเหลือหลี่ว์ชิงที่ยอมบาดเจ็บเพื่อแลกกับทำให้มันบาดเจ็บ

ง่ามนิ้วมือของเขาแตกออกจนมีเลือดไหลออกมาทันที

เขาจดจ้องหลี่ว์ชิงอย่างกรุ่นโกรธ “เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ เป็นหญิงกลับสู้สุดชีวิตถึงเพียงนี้”

หลี่ว์ชิงจดจ้องตาใสมาที่เขา มีเสน่ห์แบบหญิงสาวอยู่หลายส่วนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “อืม”

‘โบร๋วว…’

ปีศาจร้องลั่นสะเทือนอากาศแล้วระเบิดพายุทางจิตวิญญาณอันน่าสะพรึงออกมาอีกครั้ง

พวกสวี่ชีอันเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว พวกเขาถอยห่างอย่างรวดเร็วเพื่อหลบไม่ให้ถูกลิ้นยาวโจมตีเข้า

ใครจะรู้ว่าหลังจากปีศาจบีบให้ทุกคนถอยไป มันจะหันกายกางกรงเล็บทั้งสี่ราวกับบินได้ จากนั้นก็หนีไป…

มันเข้าไปในป่า กระแทกชนต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าสะเปะสะปะ เปิดให้เห็นทางโล่งขรุขระออกมาสายหนึ่ง

หลี่ว์ชิงดวงตาไร้อารมณ์ “ตามไป อย่าให้มันหนีไปได้”

หากปีศาจลงน้ำ คิดจะกำจัดมันก็เป็นเรื่องยากแล้ว

ซ่งถิงเฟิงกระโจนร่างแตะกิ่งไม้ตามไปราวกับยอดฝีมือแห่งยุทธภพผู้มีสุดยอดวิชาตัวเบา

เขาเหยียบลำต้นของต้นไม้เต็มแรงแล้วทะยานร่างสู่กลางอากาศ เมื่อมองไปทั่วทั้งป่า กล้ามเนื้อของมือขวาที่ถือดาบอยู่ก็ขยายตัวขึ้นแล้วดุนดันแขนเสื้อจนกว้าง

‘ฮ่ะ!’

ดาบพกถูกขว้างออกไป มันวาดเป็นลำแสงสีเงินสว่างกลางอากาศ

หนึ่งวินาทีต่อมาก็มีเสียงคำรามเจ็บปวดของปีศาจดังมาจากป่าทึบ

ซ่งถิงเฟิงหมดแรง ตกลงไปในป่า

จูกว่างเสี้ยวตามมารับช่วงต่อ วิชาตัวเบาของเขาไม่ดีเท่าซ่งถิงเฟิง แต่พลังทำลายล้างไม่ด้อยกว่ากันเลยสักนิด เขาทะยานไปบนพื้น ไล่ล่าปีศาจ ระเบิดพลังพุ่งขึ้นไปบนฟ้าแล้วฟันไปยังปีศาจอย่างดุดัน

‘เพียะ!’

ปีศาจที่มีดาบปักอยู่บนหลังฟาดหาง กวาดเขาจนกระเด็นแล้วหลบหนีต่อ

เหลือเพียงหลี่ว์ชิงและสวี่ชีอันเท่านั้นที่ไล่ตาม มือปราบหญิงรูปร่างแข็งแรงราวแม่เสือดาวกัดด้านหลังของปีศาจอย่างแรง นางไม่ได้ล้ม แต่ก็ไม่ได้ตามต่อ

ไม่นานก็ออกมาจากป่า ตามล่ามาพักใหญ่ก็เห็นแม่น้ำ

‘ตู้ม!’

สัตว์ประหลาดกระโจนลงไปในแม่น้ำจนหยดน้ำสาดกระเซ็น

ท่ามกลางความผิดหวังของมือปราบหญิงผู้ห้าวหาญ นางก็ชำเลืองไปเห็นสวี่ชีอันกระโดดสูงขึ้นมาพร้อมดึงหน้าไม้ที่เอวออกแล้วยิงด้วยท่วงท่างามสง่าโดยไม่ได้เล็ง

พริบตาที่ลูกศรถูกยิงออกไป พลังปราณผันผวนแข็งแกร่งก็ระเบิดออกมา

มือปราบหญิงถึงขั้นจับภาพเงาของลูกศรไม่ได้ด้วยซ้ำ หูได้ยินเพียงเสียง ‘ฟุ่บ’ เข้าไปในน้ำ

ไม่กี่วินาทีต่อไป ภาพอันน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

ผิวน้ำกลายเป็นสีเลือด แล้วร่างของสัตว์ประหลาดตัวยาวสองจั้งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมา

มันตายเพราะลูกธนูแทงทะลุหัวของมัน

หลี่ว์ชิงหันหน้าไปมองอย่างตะลึงงัน มองดูร่างสูงตระหง่านของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอายุน้อย

สวี่ชีอันยักไหล่ “ข้าโชคดีเสมอน่ะ”

………………………………….

[1] ซาลาแมนเดอร์ เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ รูปร่างคือ มีขา 2 คู่ และมีหาง ลำตัวสั้นและมีกล้ามเนื้อลำตัวลักษณะเป็นปล้องเล็กน้อย

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท