ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 74 มีเพียงฟังดนตรีที่หอนางโลมเท่านั้นจึงจะปลอบโยนจิตใจข้าได้

บทที่ 74 มีเพียงฟังดนตรีที่หอนางโลมเท่านั้นจึงจะปลอบโยนจิตใจข้าได้

‘หก: อย่าเชื่อหมายเลขเก้า อย่าตอบกลับ อย่าตอบกลับ อย่าตอบกลับ…’

ในโถงต้อนรับอันเงียบสงบ สวี่ชีอันจดจ้องดูประโยคนี้ เหงื่อเย็นไหลชุ่มแผ่นหลัง

ความหวาดกลัวยากจะพรรณนาแพร่กระจายอยู่ที่ก้นบึ้งจิตใจ

เขาจิบชาไปอึกหนึ่งด้วยท่าทางทึมทื่อ ตะลึงงันไปพักหนึ่งแล้วจึงหลุดพ้นจากบรรยากาศแห่งความหวาดผวาแปลกประหลาดนั่นได้

‘หมายเลขหก’ ผู้นี้น่าจะเป็นจุดแสงดวงนั้นที่เขาเพิ่งแตะไป…คำพูดนี้ของเขาหมายถึงอะไร หมายเลขเก้ากำลังหลอกข้าหรือ

ถ้าหากหมายเลขเก้าหลอกข้า เช่นนั้นเหตุผลล่ะ ในเมื่อหมายเลขหกรู้ว่าหมายเลขเก้าหลอกข้า แล้วเหตใดไม่รีบบอกข้า

ถ้าหากหมายเลขเก้าไว้ใจไม่ได้ เช่นนั้นหมายเลขหกก็น่าสงสัยเช่นกัน

แม่งเอ๊ย ไม่เชื่อใครทั้งนั้นล่ะ

สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึก ใช้นิ้วต่างปากกาแล้วใส่ข้อความลงไป

‘สาม: เจ้าเป็นใคร อาศัยอะไรมาบอกว่าหมายเลขเก้าไว้ใจไม่ได้ เจ้าเป็นคนของพรรคฟ้าดินใช่หรือไม่’

‘หก: ใช่’

ยอมรับหน้าระรื่นขนาดนี้เลยเหรอ…สวี่ชีอันเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วเขียนว่า

‘สาม: คำพูดเมื่อกี้นี้หมายความว่าอย่างไร’

‘หก: หนังสือปฐพีเป็นของพรรคฟ้าดิน หมายเลขเก้าเป็นคนของนิกายปฐพี พวกมันเป็นคนบ้าเหี้ยมโหดดุร้ายกลุ่มหนึ่ง ใช้เหตุผลด้วยไม่ได้ เจ้าห้ามติดต่อกับพวกมันเด็ดขาด เดี๋ยวจะเสี่ยงชีวิต’

‘สาม: เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากับหมายเลขเก้ามีความสัมพันธ์กัน’

สวี่ชีอันยกคำถามขึ้นมา

‘หก: ชิ้นส่วนของหมายเลขสามถูกคนของนิกายปฐพีปิดผนึกไว้แล้ว และตัดความสามารถไม่ให้ส่งข้อความหาพวกเราได้ อีกอย่างคนของนิกายปฐพีก็สามารถตามตำแหน่งหมายเลขสามผ่านชิ้นส่วนของหมายเลขเก้าได้ นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมนักบวชจินเหลียนจึงทิ้งชิ้นส่วนแล้วส่งมอบให้กับเจ้า’

…ก็หมายความว่า ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ทำการแลกเปลี่ยนกับหมายเลขเก้า เขาก็สามารถตามตำแหน่งข้าผ่านหมายเลขเก้าได้อย่างนั้นหรือ

มิน่าเขาถึงไม่รีบร้อนให้ข้าส่งของคืน ทั้งยังมอบสิทธิ์ในการเลือกสถานที่แลกของให้ข้าอีก

มิน่าเมื่อวานตอนที่ข้าถามหมายเลขเก้าว่าคนของพรรคฟ้าดินสามารถใช้ ‘หนังสือปฐพี’ ตามตำแหน่งของข้าได้หรือไม่ เขากลับเปลี่ยนเรื่องไปเสียอย่างนั้น…สวี่ชีอันนึกย้อนถึงรายละเอียดอีกมากมาย

ไม่ว่าข้าจะเลือกอย่างไร เขาก็ได้แต่กำไรไม่ขาดทุน ข้าเลือกทำการแลกเปลี่ยน เขาก็สามารถจัดการสังหารข้าได้ ถ้าข้าไม่ทำการแลกเปลี่ยน เขาก็สามารถเลื่อนเวลาไปจนกว่าจะหาตำแหน่งของข้าได้เช่นกัน

**…หนังศีรษะของสวี่ชีอันชา สบถคำหยาบอยู่ในใจ

หมายเลขหกส่งข้อความต่อ ‘แต่หนังสือปฐพีเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเรายังมองเห็นการติดต่อระหว่างเจ้ากับหมายเลขเก้าผ่านหนังสือปฐพีได้เช่นเดิม จึงจนปัญญาอย่างยิ่ง จนกระทั่งเจ้าหยดเลือดเป็นเจ้าของแล้วสร้างพันธะกับข้า’

‘สาม: ข้าควรทำอย่างไร’

‘หก: ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถส่งมอบหนังสือปฐพีคืนสู่พรรคฟ้าดินได้ ถ้าหากเจ้าไม่วางใจ ข้าจะส่งที่อยู่ให้เจ้า เจ้าให้คนส่งมาที่นี่’

ห้าร้อยตำลึงทองของข้า…สวี่ชีอันจดจ้องกระจก ไม่ได้ตอบกลับ

เขาไม่เชื่อใครทั้งนั้นล่ะ!

หมายเลขหกอาจไม่ใช่คนดี เขาอาจจะวางอุบายใส่ข้า

ถ้าข้าถูกหลอกง่ายขนาดนั้นก็จบโรงเรียนตำรวจมาเสียเปล่าแล้ว…สวี่ชีอันตอบกลับ ‘สาม: หนังสือปฐพีเป็นสมบัติของพรรคฟ้าดิน หมายเลขเก้าเป็นคนของนิกายปฐพี แล้วนิกายปฐพีก็โลภอยากได้หนังสือปฐพีหรือ’

จากบันทึกข้อมูลภายในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หนังสือปฐพีคือสมบัติของนิกายปฐพีแห่งลัทธิเต๋า ส่วนพรรคฟ้าดินเป็นเพียงแค่องค์กรในยุทธภพเท่านั้น

แต่เมื่อกี้หมายเลขหกบอกว่าหนังสือปฐพีเป็นของของพรรคฟ้าดิน และนิกายปฐพีก็ละโมบอยากได้ของสิ่งนี้

ถ้าหากหมายเลขหกไม่อาจให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลได้ สวี่ชีอันก็จะบล็อกเขา

‘หก: หนังสือปฐพีคือของสมบัติของนิกายปฐพี แต่นั่นเป็นเรื่องของเมื่อก่อน ตอนนี้มันเป็นของพรรคฟ้าดิน ซึ่งพรรคฟ้าดินนั้นก่อตั้งโดยคนของนิกายปฐพีบางส่วน’

‘สาม: เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้’

‘หก: เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของนิกายปฐพี ข้ามิใช่คนของนิกายปฐพี ไม่สะดวกเปิดเผย’

‘สาม: ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าส่งที่อยู่มาเถอะ’

‘หก: ถนนหยางสุ่ยเมืองชั้นใน บ้านตรงข้ามกับร้านผ้าไหมสกุลจาง ภายในบ้านปลูกต้นผีผาไว้ต้นหนึ่ง’

ตอนนี้สวี่ชีอันกลับมาใจเย็นได้โดยสมบูรณ์แล้ว เขาดื่มชาที่เริ่มจะสูญเสียความร้อนแล้วเคาะปลายนิ้วบนโต๊ะเบาๆ

ปัจจุบันมีสามตัวเลือกแขวนอยู่ตรงหน้าเขา

หนึ่ง เชื่อหมายเลขหก ส่งกระจกกลับไป เขาสามารถจ่ายเงินจ้างคนไปส่งได้ ทั้งไม่ต้องสนใจตัวตนของหมายเลขหก และไม่ต้องกลัวหมายเลขเก้าตามตำแหน่งด้วย จากนั้นเขาก็จะหลุดพ้น

สอง ทำการแลกเปลี่ยนกับหมายเลขเก้า ข้อเสียคือมีโอกาสเจอกับอันตรายที่อาจจะถูกกำจัด ข้อดีคือถ้าหากเดิมพันถูกต้อง ก็จะมีห้าร้อยตำลึงทองมาอยู่ในมือ

สาม ส่งมอบหนังสือปฐพีให้กับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แลกมาซึ่งคุณงามความดี

ถ้าหากข้ายังเป็นมือปราบน้อยของที่ว่าการอำเภอฉางเล่ออยู่ล่ะก็ ข้าต้องเลือกวิธีการอย่างแรกแน่นอน เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก

แต่ตอนนี้ข้าเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ในเมืองหลวงแห่งต้าฟ่งไม่ว่าอิทธิพลจากภายนอกจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ต้องเป็นมังกรขดเสือหมอบ[1]ให้อยู่ดี…ไม่สิ พวกเขาถึงขนาดไม่กล้าเข้ามาในเมือง

ข้าเพิ่งจะเข้าร่วมกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ไม่มีทั้งผลงานไม่มีทั้งทรัพยากร สามารถใช้หนังสือปฐพีแลกกับอนาคตที่สวยงามได้พอดี

สมบัติโบราณเช่นนี้ คิดว่าหน่วยงานราชการต้องยินดีรับไปแน่ ขันทีใหญ่เว่ยเยวียนผู้นั้นไม่ยืนดูอยู่เฉยๆ หรอก

หลังจากตัดสินใจแล้ว สวี่ชีอันก็ส่งหนังสือพับ รับป้ายห้อยเอวคืนมาจากเจ้าพนักงานผู้ดูแลที่คลังเอกสาร แล้วออกจากคลังไปอย่างมีชีวิตชีวา

ในมุมไร้ผู้คนมุมหนึ่ง เขาหยิบสิ่งของออกมาของในกระจกหยก อันได้แก่ หน้าไม้ พิษกร่อนกระดูก เกราะคันฉ่อง และตั๋วเงินสี่ร้อยตำลึงที่พี่ชุนส่งคืนมา

เมื่อเก็บสิ่งของเหล่านี้แล้ว เขาก็มายังอาคารสูงที่สุดของที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หอเฮ่าชี่

ทหารยามชั้นล่างขวางเขาไว้

สวี่ชีอันปลดป้ายห้อยเอวออกมาแล้วเอ่ยเสียงขรึม “รีบไปบอกเว่ยกง[2]ว่าฆ้องทองแดงสวี่ชีอันมีเรื่องสำคัญจะรายงาน”

ทหารยามรับป้ายห้อยเอวไป เมื่อยืนยันว่าถูกต้องก็พินิจมองเขา “เหตุใดไม่ไปรายงานฆ้องเงินที่เจ้าขึ้นตรงเล่า”

“ฆ้องเงินไม่อยู่ สถานการณ์เร่งด่วน รีบไปสิ” สวี่ชีอันแข็งแกร่งกว่าเขา

เรื่องนี้เขาไม่ต้องการให้หลี่อวี้ชุนรู้ พูดให้ถูกก็คือไม่อยากให้คนรู้เยอะกว่านี้

พรรคฟ้าดินก็ดี นิกายปฐพีแห่งลัทธิเต๋าก็ดี ล้วนเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ทั้งนั้น

พวกเขาอาจจะไม่กล้าแก้แค้นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่สวี่ชีอันเป็นคนมีครอบครัว

เขาเข้าใจเหตุผลเรื่องนี้ตั้งแต่ชาติก่อนตอนที่เขาเป็นตำรวจแล้ว

สวี่ชีอันจะต้องลบเลือนร่องรอยของตนที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไป ทำให้คนของพรรคฟ้าดินกับนิกายปฐพีไม่สนใจเขา

ทหารยามทั้งสองมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นรีบร้อนวิ่งเข้าไปในหอ

หลังจากนั้นไม่นาน ทหารยามก็กลับมาบอกว่า “เข้าไปสิ เว่ยกงรอเจ้าอยู่ที่ชั้นเจ็ด”

สวี่ชีอันจึงโล่งอก ขันทีใหญ่ผู้มีอำนาจเทียมฟ้าผู้นั้นยินดีพบเขา ก็เท่ากับว่าแผนการสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง

เขาเข้าไปในหอทันทีแล้วรีบก้าวขึ้นบันไดชั้นแล้วชั้นเล่าจนมาถึงชั้นเจ็ด

เจ้าพนักงานชุดดำคนหนึ่งรออยู่ที่บันไดขั้นบนสุดแล้วเดินนำเขาผ่านระเบียงยาวไปยังห้องชา

ห้องชาว่างเปล่าไร้ผู้คนและเชื่อมต่อติดกับโถงสังเกตการณ์ มีคนสวมชุดสีครามยืนอยู่

เว่ยเยวียนหันหน้ามาแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวล “มีเรื่องอันใด”

องคาพยพทั้งห้าของเขาหล่อเหลา ท่วงท่าสง่างาม จอนผมสีขาวยวง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโชกโชนยากจะพรรณนา

ไม่เหมือนขันที แต่เหมือนกับปัญญาชนผู้หนึ่ง

สวี่ชีอันไม่กล้ามองตรงๆ เขาก้มหัวเล็กน้อย “ผู้น้อยคารวะเว่ยกง ผู้น้อยได้ค้นพบเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งจึงมารายงานโดยเฉพาะขอรับ”

ขณะที่พูด เขาก็หยิบกระจกหยกบานเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วใช้สองมือยกขึ้นสูงพร้อมเอ่ยเสียงขรึม

“ของสิ่งนี้คือหนังสือปฐพี สมบัติของนิกายปฐพีแห่งลัทธิเต๋าขอรับ”

หนังสือปฐพี….เว่ยเยวียนตะลึงงัน จ้องมองดูกระจกบานเล็ก “เจ้าได้มันมาอย่างไร”

สวี่ชีอันไม่ปกปิด เขาเล่าเรื่องที่ว่าได้กระจกมาอย่างไร ส่งรับข้อความอย่างไร รวมถึงสิ่งที่เกิดในคลังเอกสารให้ขันทีใหญ่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

เขาไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง เขาได้กระจกมาก่อนที่จะเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจึงเป็นของส่วนตัวของเขา

แต่แม้ว่าจะได้กระจกมาหลังจากเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังใช้ตรรกะแบบเดียวกัน

เว่ยเยวียนไม่เกิดความรู้สึกด้านลบกับเขาเพราะเหตุนี้หรอก

ขันทีใหญ่ชุดสีครามยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “ห้าร้อยตำลึงทองหรือ”

…ลูกพี่ ประเด็นสำคัญของท่านมันแปลกๆ ไปสักหน่อยหรือไม่ สวี่ชีอันหัวเราะขำ “ผู้น้อยเพียงเรียกร้องผลประโยชน์ในขอบเขตที่เหมาะสมเท่านั้นขอรับ”

เว่ยเยวียนยิ้มอ่อนโยน สายตาทอดมองไปที่กระจกอีกครั้ง คราวนี้กระจกมีตัวอักษรแถวหนึ่งปรากฏขึ้นมา

‘เก้า: ใคร่ครวญดีแล้วหรือยังว่าจะแลกเปลี่ยนกันเมื่อไหร่’

ขันทีใหญ่มุมปากกระตุกก่อนโยนกระจกคืนให้สวี่ชีอัน “กระจกได้หยดเลือดจำเจ้าของแล้ว มีแต่เจ้าที่ตอบกลับได้ บอกเขาไปว่าสถานที่แลกเปลี่ยนคือร้านกุ้ยเยว่เมืองชั้นใน ที่ห้องรับรองคู่หงส์เคียงประสาน ตั้งเวลาไว้ที่หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้”

สวี่ชีอันกลับตอบกลับในกระจกทันที

‘เก้า: ได้!’

เว่ยเยวียนกล่าว “เจ้าไม่ได้เปิดเผยตัวตนและที่อยู่ของตนเอง จัดการได้ไม่เลว เจ้าลงไปเถอะ เรื่องนี้จะมีคนไปจัดการเอง”

แล้วห้าร้อยตำลึงทองของข้าล่ะ…อ่า ไม่ใช่สิ ผลงานน่ะ…สวี่ชีอันเอ่ยถามหนึ่งประโยคในใจ

เขาไม่กล้าเอ่ยออกไป จึงประสานมือคำนับ “ขอรับ!”

เขาไม่ได้นำกระจกกลับไปด้วย แต่ออกจากห้องชาโดยตรง

เมื่อออกมาจากหอเฮ่าชี่ ในใจของสวี่ชีอันก็ซับซ้อนยิ่งนัก ทั้งโล่งอกที่ทิ้งเผือกร้อนไปได้และทั้งปวดใจที่เสียสมบัติกับเงินห้าร้อยตำลึงทองไป

ส่วนผลงาน ถึงแม้ขันทีใหญ่จะไม่ได้เอ่ยถึง แต่สวี่ชีอันก็เข้าใจบุคลิกของคนอย่างเขาได้

พี่ใหญ่ผู้มีมาดมาพูดคุยเรื่อง ‘ผลงาน’ กับฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าน่าขายหน้าเกินไป

แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจปฏิบัติไม่ดีกับเขาได้…

สวี่ชีอันออกจากที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลด้วยความปวดใจ คิดจะไปฟังดนตรีที่หอนางโลมเพื่อปลอบโยนจิตใจสักหน่อย

………………………………

[1] มังกรขดเสือหมอบ สำนวน หมายถึง ไม่ว่าคุณจะมีทักษะที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาคุณต้องจำกัดความได้เปรียบ ทำตัวให้ต่ำต้อย และไม่กระทำการโดยพละการเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด

[2] บรรดาศักดิ์กง หนึ่งในบรรดาศักดิ์ของขุนนางจีนสมัยโบราณ เรียงลำดับจากใหญ่ไปน้อยเป็น อ๋อง กง โหว ปั๋ว จื่อ หนาน

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท