ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง – บทที่ 115 ความลับเมื่อห้าร้อยปีก่อน

บทที่ 115 ความลับเมื่อห้าร้อยปีก่อน

บทที่ 115 ความลับเมื่อห้าร้อยปีก่อน
‘สอง: ตกลง เห็นแก่หมายเลขสาม ข้าจะสังเกตให้เจ้า อวิ๋นโจวแห่งนี้ ข้ามีหน้ามีตานิดหน่อย อยากหาคน ไม่ยาก ขอเพียงโจวชื่อสวงอยู่ที่อวิ๋นโจว ข้าก็สามารถลากเขาออกมาได้’

ลั่นวาจาใหญ่โตเช่นนี้เชียวหรือ สวี่ชีอันมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าหมายเลขสองไม่ใช่คนในราชสำนัก เหตุผลสองประการ ประการแรก นางสาปแช่งให้จักรพรรดิหยวนจิ่งตายทุกวัน

ประการที่สอง การโจรกรรมในอวิ๋นโจวหนักมาก ผู้ลี้ภัยอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทางการก็ตกต่ำลง หากหมายเลขสองเป็นคนในราชสำนัก คงไม่กล้ารับประกันเช่นนี้

โอ้…ไม่ใช่คนของทางการ แต่ง่วนอยู่กับการปราบปรามโจรทุกวัน หมายเลขสองเป็นคนที่จิตใจกล้าหาญ

‘หนึ่ง: ได้’

การแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น ความขัดแย้งถูกแก้ไข

ทุกคนในพรรคฟ้าดินถอนหายใจโล่งอก หมายเลขสามสมกับที่เป็นปัญญาชน มีทักษะแข็งแกร่งมาก หากเป็นช่วงเวลาปกติ หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสองไม่แน่ว่าอาจจะปะทะกัน

นักบวชเต๋าจินเหลียนดึงหมายเลขสามเข้าพรรคฟ้าดิน เดินเกมได้ดีจริงๆ

หลังจากที่หมายเลขสามเข้าร่วมพรรคฟ้าดิน การส่งข้อความในหนังสือปฐพีก็เริ่มบ่อยขึ้นและกระตือรือร้นขึ้น จำนวนครั้งที่ทุกคนแลกเปลี่ยนข้อมูลกันก็เริ่มมากขึ้น

สำหรับทุกคน มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่ายินดี

‘สี่: ทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจต้องอยากได้สิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ซังผอ อืม น่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือทำ ในประวัติศาสตร์ ต้าฟ่งไม่ได้ขัดแย้งกับอาณาจักรหมื่นปีศาจทางซินเจียงตอนใต้’

เผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือกับต้าฟ่งเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ แต่อาณาจักรหมื่นปีศาจทางซินเจียงตอนใต้กับพุทธศาสนาในแทบตะวันตกไม่ตายไม่เลิกรา

ได้ยินหัวหน้าพูดว่า ชนเผ่าทางภาคเหนือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือก่อกวนชายแดนบ่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีสัญญาณของการเริ่มต้นสงครามอีกครั้ง เช่นนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือจึงมาแอบขัดขากันลับๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงก็จะสมเหตุสมผล…ภายในใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง

‘ห้า: ดังนั้น สรุปว่าใต้ซังผอปิดผนึกอะไรไว้ ถึงทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือสุมหัวกันนานเช่นนี้’

สาวน้อย เจ้ามีเครื่องหมายคำถามมากไปหรือไม่ ลุงไม่อาจตอบเจ้าได้ เพราะลุงก็อยากรู้เช่นกัน…สวี่ชีอันแขวะในใจ

‘เก้า: ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ราชวงศ์ต้าฟ่งตกอยู่ภายใต้ความกดดันแน่ๆ หวังว่าจะไม่นำภัยพิบัติมาสู่ประชาชนภายในเมืองหลวง’

สวี่ชีอันใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ เขาส่งข้อความว่า ‘ท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์ล้มป่วย พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร ข้อมูลลับที่ได้รับจากสำนักอวิ๋นลู่ ใต้ทะเลสาบซังผอมีวงแหวนปราณ ข้าจึงคาดการณ์ว่าเป็นฝีมือของสำนักโหราจารย์’

‘สอง: จอมปลอม ยอดฝีมือระดับหนึ่งจะล้มป่วยได้อย่างไร’

หมายเลขสองคัดค้าน

‘ห้า: อืม ยอดฝีมือระดับหนึ่งยืนตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ไม่อาจล้มป่วยได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นระบบโหรอีก’

จุดเริ่มต้นของระบบโหรก็คือหมอ

หมายเลขสี่ก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาเช่นกัน ‘ท่าทีที่ท่านโหราจารย์แสดงออกมา เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะไม่อยากมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้’

หมายเลขสี่เป็นคนฉลาด เพราะความคิดของเขาคล้ายกับข้า…ท่านโหราจารย์ไม่อยากมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้…ท่าทีที่คลุมเครือเช่นนี้มันอะไรกัน เขาควรจะคุ้มกันเมืองหลวงไม่ใช่หรือ!

สวี่ชีอันคิดเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

‘หนึ่ง: ตอนนี้ข้าสามารถชดใช้หนี้ส่วนหนึ่งได้ เกี่ยวกับข้อมูลของซังผอ มูลค่าอาจจะไม่มาก หมายเลขสามเจ้าอยากฟังหรือไม่’

มูลค่าไม่มาก แต่อยากชดใช้หนี้ครั้งก่อน…หมายเลขหนึ่งเจ้านี่เกินไปแล้ว พลิกมือแสวงหาผลประโยชน์จากข้าหรือ

สวี่ชีอันโกรธนิดหน่อย การเจรจาธุรกิจครั้งนี้เขาขาดทุน เพียงแต่เวลานี้เขาต้องการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับซังผอมาก

เบาะแสอย่างนายกองโจวก็เสียไปแล้ว เขาต้องมองหาช่องโหว่อีกครั้ง

สวี่ชีอันส่งข้อความด้วยท่าทีที่เฉยเมย ‘ข้ากำลังฟัง’

‘หนึ่ง: ข้าตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวกับซังผอ และค้นพบช่วงเวลาที่ชัดเจนมาก สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผออาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้’

หมายเลขหนึ่งหยุดไปครู่หนึ่ง และส่งข้อความมาว่า ‘ห้าร้อยปี!’

‘หนึ่ง: ประมาณห้าร้อยปีก่อน ขณะที่องค์รัชทายาทเดินเล่นที่ทะเลสาบในซังผอ เขาตกน้ำอย่างไม่ทันระวัง ตั้งแต่นั้นมาจิตใจของท่านก็ไม่ปกติ และจมน้ำตายในซังผอหลังจากนั้นไม่นาน แต่เมื่อห้าร้อยปีก่อน ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ในหนังสือประวัติศาสตร์มีเพียงไม่กี่ประโยค ทั้งฝ่ายราชสำนักและฝ่ายราษฎรต่างก็เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ข้าเชื่อว่าหมายเลขสามน่าจะคิดออก’

ข้าไม่ได้ ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย…ไม่สิ ข้าไม่อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ!

สวี่ชีอันรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมในโลกนี้ถึงไม่มีไป่ตู้ มิเช่นนั้นด้วยมือเล็กๆ ทุกอย่างจะสามารถแก้ไขได้ อาทิเช่นปัจจัยสี่ รวมถึงความเจ็บป่วย…อืม ก็อาจจะด้วยมือเล็กๆ เจอกันชาติหน้า!

จริงสิ ไปหาฉือจิ้ว ฉือจิ้วอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ เป็นหนอนหนังสือ

ในเวลาเดียวกันกับที่ใบหน้า เสียง และรอยยิ้มของน้องชายคนเล็กปรากฏขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน เขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าหมายเลขสี่ตอบ ‘แย่งชิงบัลลังก์หรือ?!’

เมื่อเห็นเช่นนี้ สวี่ชีอันก็สบายใจ เพราะเขารู้ว่าต้องมีคนอื่นถามแทนเขาแน่ๆ เพราะในกลุ่มนอกจากหมายเลขสี่กับหมายเลขหนึ่ง คนอื่นๆ ก็เป็นคนไม่กระตือรือร้นที่ไม่สำเร็จการศึกษาภาคบังคับเก้าปีด้วยซ้ำ

‘สอง: แย่งชิงบัลลังก์หรือ’

‘ห้า: แย่งชิงบัลลังก์หรือ’

‘สี่: เมื่อห้าร้อยปีก่อน ราชวงศ์ต้าฟ่งเคยเกิดการกบฏขึ้น หัวหน้าของกองทัพกบฏคือผิงไห่หวัง ซึ่งก็คือจักรพรรดิอู่จงในเวลาต่อมา แม้ว่าอู่จงจะใช้การกำจัดขุนนางชั่วข้างกายจักรพรรดิมาปกปิดความจริงที่ตัวเองยึดบัลลังก์ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่เรื่องที่วิเศษวิโสอะไร นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังก็ปิดปากเงียบ แค่กล้าเขียนว่า ในปีเทียนชิง มารร้ายถือกำเนิด อู่จงจึงขึ้นไปทางทิศตะวันออก และยุติความวุ่นวาย! ราชวงศ์ต้าฟ่งในปัจจุบันล้วนเป็นทายาทของอู่จง’

‘ห้า: เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับซังผอหรือ’

เด็กคนนี้ไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่จริงๆ…

‘สอง: หมายเลขหนึ่งสงสัยว่า สิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อนหรือ’

‘หนึ่ง: พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ ทำไมท่านโหราจารย์ต้องแสร้งป่วย’

ข้างใต้ซังผอผนึกบุคคลสำคัญบางคนของราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อนไว้…เหตุการณ์ในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการยึดบัลลังก์ เป็นข้อห้ามที่ราชวงศ์ไม่ต้องการให้เอ่ยถึงอีก ดังนั้น จึงมีเพียงจักรพรรดิหยวนจิ่งคนเดียวเท่านั้นที่รู้…การตายขององค์รัชทายาทเมื่อห้าร้อยปีก่อนไม่ใช่ความบังเอิญ แต่ถูกล้างแค้นหรือ

เพราะก็เป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนกัน ถือเป็นเรื่องในครอบครัว ดังนั้นท่านโหราจารย์จึงจงใจแกล้งป่วย เพราะไม่อยากเข้าร่วมหรือ

เผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือเคลื่อนไหวเช่นนี้ ก็เพราะอยากให้เมืองหลวงต้าฟ่งตกอยู่ในความโกลาหลและความวุ่นวาย พวกเขาจะได้ฉวยโอกาสเคลื่อนไหวเล็กน้อยในภาคเหนือหรือ

สวี่ชีอันสูดหายใจเข้าลึกๆ และอดยืดหลังตรงไม่ได้ น้ำในคดีซังผอลึกกว่าที่เขาจินตนาการมาก

ข้าเผ่นแม่งล่ะ รู้สึกว่าความเสี่ยงในการหนีต่ำกว่าความเสี่ยงในการเข้าร่วมคดีนี้

สวี่ชีอันสับสน

‘สาม: จริงสิ ข้าลืมไปเรื่องหนึ่ง บนสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ซังผอแกะสลักตัวอักษรบางตัวไว้ น่าสนใจมาก ข้ารู้สึกว่าควรจะแบ่งปันกับพวกเจ้า อืม นี่ไม่คิดเงิน’

เขาไม่ได้ถามคำถามอย่าง ‘ทุกคนรู้ว่านี่คือตัวอักษรอะไรหรือไม่’ แบบนั้นมันดูโง่เกินไป

หากนี่เป็นเพียงตัวอักษรโบราณล่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นการเปิดเผยระดับการศึกษาอันต่ำต้อยของเขาหรือ เสื้อกั๊กของสำนักอวิ๋นลู่ก็แขวนอยู่

ดังนั้นสวี่ชีอันจึงเขียนตัวอักษรบิดเบี้ยวสองตัวบนหน้ากระจกของกระจกหินหยกบานเล็ก ‘สาม: ตัวอักษรบิดเบี้ยวสองตัว’

‘เก้า: นี่คือตัวอักษรพุทธศาสนา’

ตัวอักษรพุทธศาสนาหรือ สวี่ชีอันชะงัก

‘ห้า: ตัวอักษรพุทธศาสนาจะปรากฏในวงแหวนปราณที่ผนึกอยู่ในซังผอได้อย่างไร’

ในกลุ่มมีสมาชิกที่ไอคิวต่ำคนหนึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีใช่หรือไม่…สวี่ชีอันหัวเราะ และรอให้พี่ใหญ่สักคนอธิบายอย่างเงียบๆ

‘สี่: ตามเหตุผลแล้วไม่ควร เรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ ราชวงศ์ไม่อาจให้คนของศาสนาพุทธเข้าร่วมได้’

คนอื่นๆ ค่อยๆ แสดงความงงงวยออกมา

หลังจากที่รอมานาน ก็ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างเดาเอาเอง

สวี่ชีอันถามว่า ‘ช่วงนี้ไม่เห็นหมายเลขหกส่งข้อความมาเลย’

‘เก้า: อืม หมายเลขหกดูเหมือนจะเจอปัญหาบางอย่าง ออกจากสถานรับเลี้ยงเด็กทางทิศตะวันออกของเมืองไปหลายวันแล้ว อาตมาจะรับผิดชอบตามหาเขาเอง’

ชายหัวล้านคนนี้ชอบหาเรื่องหรือ ทำไมถึงเจอปัญหาตลอด…สวี่ชีอันประชดประชัน และรอเวลาหนึ่งก้านธูป จึงมั่นใจว่าสมาชิกในกลุ่มออฟไลน์หมดแล้ว

ออฟไลน์ก็ต้องบอกกันสิ เจ้าพวกคนไร้คุณภาพ

หลังจากเป่าตะเกียงน้ำมันดับ สวี่ชีอันก็นอนลงบนเตียง และสอดกระจกหินหยกบานเล็กเข้าไปใต้หมอน เขามองไปยังหลังคาที่ดำสนิท ปล่อยให้ความคิดได้บ่มเพาะ

“หากสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอคือผู้แข็งแกร่งของราชวงศ์ก่อน เรื่องนั้นก็ลำบากแล้ว ข้าที่รู้ความลับนี้ต้องถูกตัดหัวแน่นอน…ไม่สิ หากฝ่ายตรงข้ามสร้างความปั่นป่วนและป่าวประกาศตัวตนอย่างโจ่งแจ้ง กลับกันข้าไม่กลัวว่าจะถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งฆ่าปิดปาก เว่ยเยวียนเคยบอกว่า ภารกิจติดตามสิ่งที่ถูกปิดผนึกมีคนอื่นทำ ข้าไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ภารกิจของข้าควรจะเป็นค้นหาไส้ศึกในคดีซังผอ…แต่นายกองโจวหนีไปแล้ว เบาะแสนี้จึงสูญไป ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับหมายเลขสอง ไม่ ไม่ใช่!” ในความมืด ดวงตาของสวี่ชีอันสว่างขึ้นทันที เขามองข้ามเรื่องหนึ่งไป

ตอนกลางวันที่พูดคุยเรื่องคดีกับหลี่ว์ชิงในห้องประชุม ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือ ผู้สูญหายเก้าคนไม่อาจปิดฟ้าข้ามทะเลได้ และลักลอบขนดินปืนเข้าไปในวัดหย่งเจิ้นซานเหอ

และนายกองโจวก็เป็นองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์รับผิดชอบเพียงคุ้มกัน ไม่รับผิดชอบพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ หรือกล่าวได้ว่า เขาไม่มีโอกาสจะเข้าไปในวัดหย่งเจิ้นซานเหอเลย

นายกองโจวไม่ใช่ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง นายกองโจวแห่งองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในคดี ซึ่งรับผิดชอบส่งดินปืนเข้าไปในวังเท่านั้น คนอื่นรับผิดชอบซ่อนดินปืนในวัดหย่งเจิ้นซานเหอ

เบื้องหลังเขายังมีมือมืดที่ระดับสูงกว่าอีก

มือมืดที่อยู่เบื้องหลังร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ครอบงำคดีซังผอ และปล่อยสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอออกมา

ภารกิจที่แท้จริงของข้าคือลากมือมืดคนนี้ออกมา!

สวี่ชีอันพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง และกำหมัดด้วยความตื่นเต้น

……………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง

Status: Ongoing

สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…

หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!

แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!

และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…

แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท