บทที่ 150 จดหมายลับสองฉบับ
เวลาสนธยา สวี่ชีอันรอจนเว่ยเยวียนกลับมาจากในวัง
รถม้าคันใหญ่หรูหราเคลื่อนเข้าสู่ที่ทำการ เว่ยเยวียนเหยียบบันไดเล็กลงมาจากรถม้า สวี่ชีอันก็รีบเอนเข้าไปใกล้แล้วเรียกเสียงเบา “เว่ยกง…”
เว่ยเยวียนผู้มีผมขาวแซมข้างเหลือบตามองเขา พูดขณะเดินไปด้วย “อวี้อ๋องเขียนจดหมายผนึกเลือด รายงานว่าผิงหย่วนป๋อ จี่ซื่อจงกรมการคลัง และเจ้ากรมทหารทั้งสามคนทำร้ายสมาชิกราชวงศ์”
สวี่ชีอันรู้เรื่องการกระทำของอวี้อ๋องมาจากองค์หญิงฮว๋ายชิ่งแล้ว เขาจึงพยักหน้า “ฝ่าบาทรงมอบให้สามสำนักพิจารณาคดีแล้วหรือขอรับ”
“ไม่!” เว่ยเยวียนส่ายหน้า “เพลิงโทสะของฝ่าบาทไม่น้อยไปกว่าอวี้อ๋อง พระองค์ไม่อาจรอนานขนาดนั้นได้ จึงทรงเขียนราชโองการทันที เรียกให้ท่านโหราจารย์เข้าวังไปเผชิญหน้ากับสามคนนั้น ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นยังมีขุนนางในราชสำนักด้วย”
“ผลลัพธ์ล่ะขอรับ” สวี่ชีอันรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังอยากถาม
เว่ยเยวียนถอนหายใจ “ทำร้ายคนในราชวงศ์ โทษประหารสามชั่วโคตร ออกราชโองการอย่างช้าที่สุดก็เช้าวันพรุ่งนี้ พรรคเหลียงจบสิ้นแล้ว”
ประหารสามชั่วโคตร…สวี่ชีอันผงะเล็กน้อย
ประหารสามชั่วโคตรที่ว่าก็คือประหารตระกูลฝั่งบิดาสามชั่วโคตร ตระกูลฝั่งมารดาสามชั่วโคตร และตระกูลฝั่งภรรยาสามชั่วโคตร จัดเป็นโทษประหารชีวิตที่หนักที่สุดรองจากโทษประหารเก้าชั่วโคตรของโทษกบฏ
“เฮ้อ พรุ่งนี้เกรงว่าหัวคนที่ต้องถูกตัดคงจะมีมากมายนัก” สวี่ชีอันก็ถอนหายใจเช่นกัน ไม่รู้ควรตบมือดีใจหรือว่าควรจะเสียใจให้กับผู้บริสุทธิ์ที่ติดร่างแหไปด้วยดี
แม้ว่าผิงหย่วนป๋อถูกล้างตระกูลไปแล้ว แต่เมื่อเทียบกับโทษประหารสามชั่วโคตร อย่างน้อยก็ต้องมีคนตายหลายสิบหลายร้อยคน ญาติสามรุ่นของผิงหย่วนป๋อเหล่านั้น ไม่มีใครหนีรอด
อีกสองคนที่เหลือก็เช่นเดียวกัน
“พรรคเหลียงหรือขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างฉงน
เว่ยเยวียนพยักหน้า “พรรคเหลียงเป็นพวกที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการต่อสู้ยามที่อวี้อ๋องถอนตัวจากเวทีอำนาจ มีจางเฟิ่ง เจ้ากรมทหารและซุนจงหมิง จี่ซื่อจงกรมการคลังเป็นผู้นำ ส่วนผิงหย่วนป๋อเข้าร่วมพรรคเหลียงเมื่อปีก่อน”
“เว่ยกง เช่นนั้น เช่นนั้นเรื่องของข้า…” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในราชสำนักห่างไกลจากตัวเขามากเกินไป สวี่ชีอันไม่ได้กังวลใจ
เขาเป็นห่วงแค่อนาคตและชีวิตต่ำต้อยของตนเท่านั้น
“ไม่ต้องรีบร้อน ฝ่าบาทยังทรงพิโรธอยู่ พูดถึงเรื่องนี้ในเวลาแบบนี้ไม่ใช่การดี” เว่ยเยวียนส่ายหัว
เพราะเหตุผลนี้เอง…สวี่ชีอันพยักหน้า เอ่ยลากับเว่ยเยวียน แล้วกลับบ้านภายใต้แสงสายัณห์ในยามโพล้เพล้
…
พลบค่ำ ในห้องห้องหนึ่ง
มือขาวผ่องข้างหนึ่งจับพู่กันเขียนจดหมายบนกระดาษ
เรียน นายท่านที่เคารพ:
คดีซังผอคลี่คลายลงแล้ว เจ้ากรมพิธีการเคยกล่าวไว้ว่าการร่วมมือกับพวกเราก็เหมือนเจรจากับเสือเพื่อขอหนังเสือ หึ มองขาดจริงๆ
หนึ่งปีก่อนข้าบังเอิญได้เห็นภาพท่านหญิงผิงหยางกับภิกษุเหิงฮุ่ย เหิงฮุ่ยตายแต่ศพไม่แข็ง จิตเดิมสะสมความเคียดแค้นเอาไว้ ข้าจึงหลอมเขาให้กลายเป็นหุ่นเชิดแล้วเลี้ยงไว้ข้างตัว
จากนั้นนำเรื่องนี้ไปรายงานแก่ท่าน ท่านกล่าวว่าโอกาสมาถึงแล้ว ในปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนักก็คือจุดเริ่มต้นของแผนการอันยิ่งใหญ่ 500 ปีของพวกเรา
โปรดยกโทษให้ข้าที่เคยสบประมาท เดิมทีข้าก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีนัก ท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์กับผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นแนวหน้าที่มีจำนวนแทบนับนิ้วได้ในใต้หล้า
แต่เรื่องนี้ ทั้งคู่กลับรู้ใจกันและเลือกที่จะเก็บงำคอยดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ…ขอชื่นชมท่านอีกครั้ง ความฉลาดเฉลียวของนายท่านเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้าจริงๆ
ท่าทีของจักรพรรดิหยวนจิ่งต่อคดีนี้ไม่สู้ดีนัก มิเช่นนั้นคงไม่ออกคำสั่งให้ฆ้องทองแดงนายหนึ่งรับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการสืบสวน ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในการคาดเดาของท่านทั้งสิ้น
แต่ฆ้องทองแดงผู้นั้นก็ฝีมือฉกาจ จมูกไวนัก
ในกระบวนการสืบคดี เขาสืบทราบการมาถึงของท่านแล้ว เขามาสอดแนมหาปราณปีศาจที่หอนางโลมหลายครั้ง ขอบังอาจถาม ท่านจงใจทำเช่นนั้นหรือเจ้าคะ
นอกจากนี้ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นก็แอบมาตรวจสอบอย่างลับๆ เช่นกัน
เพราะไม่มีทางเลือก ข้าจึงต้องผลักฮุยจีออกไปรับเคราะห์แทน ข้ารู้ว่านางเป็นคนในเผ่าของท่าน โปรดให้อภัยกับการกระทำโดยพลการของข้าด้วยเจ้าค่ะ
โปรดวางใจ ของได้ถูกส่งให้คนที่สมควรได้รับมันแล้ว
ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง เบาะแสทั้งหมดของคดีเงินภาษีถูกตัดขาดแล้ว… ข้าติดต่อกับโจวลี่อยู่หลายครั้ง เขาเป็นผู้ลากมากดีที่ค่อนข้างฉลาดน้อยจริงๆ ทั้งยังไม่รู้แผนการทั้งหมดที่รองเจ้ากรมโจวบิดาของเขาวางไว้ด้วย
ถึงตรงนี้ ข้าอยากรายงานกับนายท่านอยู่สี่เรื่อง:
หนึ่ง ในระหว่างการคุ้มกันเงินภาษี รองเจ้ากรมโจวมีโอกาสลงมืออยู่หลายครั้ง ทำเช่นนั้นจะปลอดภัยกว่า แต่เขากลับเลือกที่จะยักยอกภาษีหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงของเมืองหลวงแทน
เรื่องนี้ยากจะเข้าใจจริงๆ รองเจ้ากรมโจวเป็นคนฉลาด แต่กลับเลือกเดินหมากอย่างโง่เขลา ข้าคิดว่าจะต้องมีเหตุผลซ่อนอยู่ในนั้น
แต่ก็ต้องจนใจเมื่อรองเจ้ากรมโจว ‘เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ’ ขณะถูกเนรเทศ จึงไม่มีใครให้คำตอบข้าได้อีก
สอง ตามแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ยี่สิบปีมานี้รองเจ้ากรมโจวเบียดบังเงินภาษีไปเกินกว่าล้านตำลึง แต่ตอนที่จวนสกุลโจวถูกยึดทรัพย์นั้น ราชสำนักกลับยึดเงินมาได้เพียงหลักพันเท่านั้น
เงินเหล่านั้นหายไปไหน
สาม จากการตรวจสอบสำนักโหราจารย์อย่างลับๆ พบว่าลูกศิษย์คนสุดท้องของท่านโหราจารย์ผู้มีนามว่าฉู่ไฉ่เวย เป็นหญิงสาวที่งดงามและน่าสนใจอย่างยิ่ง แน่นอนว่านางยังห่างไกลไม่อาจเทียบเคียงกับนายท่านผู้สูงส่งสง่างามได้
ที่ข้าต้องการจะกล่าวก็คือ จอมเวทของสำนักโหราจารย์เรียกนางว่าศิษย์พี่เล็ก หรือไม่ก็…ศิษย์พี่หก ทว่าศิษย์สายตรงของท่านโหราจารย์มีเพียงห้าคนเท่านั้น
สี่ คนจากนิกายพ่อมดได้สังหารนายอำเภอจ้าวแห่งอำเภอไท่คังซึ่งเป็นขุนนางที่ค้นพบเหมืองดินประสิวผู้นั้นอีกด้วย
ใช่แล้ว พ่อมดแห่งนิกายพ่อมดเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ อีกอย่าง เดิมทีพวกเขาสามารถใช้วิธีการสังหารที่แยบยลและซ่อนเร้นกว่านี้ได้ แต่กลับเลือกฆ่าคนในความฝัน
เดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาพยายามตบตาราชสำนักและสาดโคลนให้กับเจิ้นเป่ยอ๋อง สร้างความร้าวฉานแก่จักรพรรดิหยวนจิ่งและเจิ้นเป่ยอ๋อง
สุดท้ายนี้ มีเรื่องเล็กน้อยที่ยากจะร้องขอ ข้าหลงรักชายคนหนึ่ง ชายที่ไม่สมควรรัก ข้าอยากให้นายท่านเมตตา สร้างร่างเนื้อใหม่ให้กับข้าด้วย
ข้ารับใช้ผู้ภักดีต่อท่านชั่วนิรันดร์
…
ณ ห้องลับอีกห้องหนึ่ง ชายในชุดคลุมจับพู่กันเขียนจดหมาย
เรียน ใต้เท้าที่เคารพ:
แผนการของคดีเงินภาษีล้มเหลว ข้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ การตายของรองเจ้ากรมโจวนั้นเป็นความโง่เขลาของตัวเขาล้วนๆ ลูกชายที่ทำตัวแสนฉลาดของเขาผู้นั้นเป็นผู้ทำให้แผนการต่างๆ ล้มเหลว
เป็นอย่างที่ท่านคาดการณ์ไว้ แผนการของอาณาจักรหมื่นปีศาจสำเร็จ พวกเขาได้ปลดผนึกสิ่งที่อยู่ใต้ซังผอออกมาแล้ว
ข้าจะรายงานข้อมูลที่ได้มาในช่วงหนึ่งปีนี้ในจดหมายฉบับนี้อย่างละเอียด
เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นสูงและกลุ่มขุนนางเข้าสู่สภาวะดุเดือด อวี้อ๋องเป็นตัวแทนอำนาจของชนชั้นสูงทั้งหมด และรับตำแหน่งเจ้ากรมทหารจากการยินยอมของจักรพรรดิหยวนจิ่ง อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่สำนักราชเลขาธิการแล้ว
ในระหว่างนี้ บุตรสาวของเขาท่านหญิงผิงหยางได้ตกหลุมรักกับพระภิกษุรูปหนึ่งของวัดมังกรเขียว ทั้งคู่ตัดสินใจหนีไปด้วยกัน ทั้งยังไปขอความช่วยเหลือจากบุตรชายของผิงหย่วนป๋อ ผู้เป็นสหายเก่าแก่ของครอบครัว…
เพราะลุ่มหลงในความงามของท่านหญิงผิงหยาง ลูกขุนนางสามคนจึงวางแผนที่จะหมิ่นเกียรตินางแล้วค่อยสังหารพวกเขา แต่ก็ต้องพบกับการขัดขืนอย่างรุนแรงจากอีกฝ่าย ท่านหญิงผิงหยางกลืนปิ่นฆ่าตัวตาย…
สายลับของอาณาจักรหมื่นปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงบังเอิญเห็นฉากนี้เข้า นางจึงใช้ซือกู่แปลงเหิงฮุ่ยให้กลายเป็นศพหุ่นเชิด กุมความลับนี้เอาไว้ แล้วเก็บตัวเงียบ
ต้าฟ่งเริ่มการตรวจสอบข้าราชสำนักรอบใหม่ การต่อสู้ทั้งที่ลับที่แจ้งของแต่ละฝ่ายก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ต้องบอกว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นจักรพรรดิที่น่าเกรงกลัวยิ่ง จิตใจจักรพรรดิของเขาช่างพิสุทธิ์ดุจเปลวเพลิง
แต่เขากลับไม่ใช่จักรพรรดิที่ดี ในสายตาของเขามองเห็นเพียงอำนาจและชีวิตที่ยืนยาวเท่านั้น
สายลับอาณาจักรหมื่นปีศาจกุมความลับนี้เอาไว้ในมือ แล้วมองหาผู้พันธมิตรในเมืองหลวงอย่างเงียบๆ สุดท้ายนางก็เลือกเป้าหมายเป็นเจ้ากรมพิธีการและขุมอำนาจเบื้องหลังเขา
เพราะเป็นเวลาเดียวกับช่วงที่ค้นพบเหมืองดินประสิวที่ภูเขาต้าหวงในอำเภอไท่คัง ซึ่งเข้าทางเศษเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจพอดี
ในใต้หล้าไม่มีใครลักลอบเข้าไปทำลายวัดหย่งเจิ้นซานเหอที่ทะเลสาบซังผอโดยเล็ดลอดจากสายตาผู้นำเต๋านิกายมนุษย์และท่านโหราจารย์อย่างไร้ร่องรอยได้ แต่ดินปืนช่วยพวกเขาทำภารกิจนี้สำเร็จ
ส่วนขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเจ้ากรมพิธีการก็ปรารถนาจะควบคุมราชสำนักแต่เพียงผู้เดียวและใช้กำลังสยบทุกฝ่ายมาโดยตลอด พรรคเหลียงที่อยู่ในฐานะหนึ่งในหินขวางทาง ย่อมอยู่ในรายชื่อที่ต้องกำจัดของพวกเขาด้วยเช่นกัน
สองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันจึงบรรลุข้อตกลง เจ้ากรมพิธีการช่วยเหลือเศษเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจทำลายวัดหย่งเจิ้นซานเหอ และปลดผนึกสิ่งที่อยู่ใต้วัด
เศษเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจจึงผลักเหิงฮุ่ยออกสู่ฉากหน้า ชักนำให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามสืบคดีการหายตัวไปของท่านหญิงผิงหยาง
เพื่อกำจัดความสงสัยที่มีต่อตัวเขา เจ้ากรมพิธีการใช้สายลับซึ่งก็คือนายกองโจวชื่อสวง องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ และส่งดินปืนเข้าไปในเขตพระราชฐานผ่านทางเขา ฝังไว้ใต้วัดหย่งเจิ้นซานเหอ สังหารคนของศาลต้าหลี่ กรมพิธีการ และคนในวังที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ ขณะนั้นถึงเก้าคนเพื่อสร้างความสับสนและตบตาผู้สืบสวนคดีจากหน่วยงานราชการทั้งสามหน่วย
พวกเขาถึงขั้นคิดจะใช้ดินปืนใส่ความเจ้ากรมโยธาจากพรรคฉี แต่น่าเสียดายที่ประเมินความสามารถของฆ้องทองแดงสวี่ชีอันต่ำไป ข้าลอบสังหารนายอำเภอจ้าว พยายามตบตาเขา ให้เขาไปตรวจสอบเจิ้นเป่ยอ๋อง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ติดกับ คนผู้นี้สัมผัสไวเหลือเกิน
นายกองโจวชื่อสวงองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์จงใจสังหารหลิวฮั่นเจ้าหน้าที่ถือธงชั้นผู้น้อยเพื่อดึงดูดความสนใจของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและหน่วยงานราชการ อีกทั้งขณะที่อีกฝ่ายสอบปากคำ เขายังใช้อาวุธเวทมนตร์ปิดบังวิชามองปราณ ชักนำให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหันไปสนใจวัดมังกรเขียว เพื่อไปพบกับคดีหลบหนีของภิกษุเหิงฮุ่ย แล้วค้นหาตามเบาะแสไปจนพบความขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเมื่อปีก่อน
การเดินหมากตานี้ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ข้าน้อยคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่นายกองตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้ ต้องเป็นฝีมือนางจักรพรรดินีปีศาจที่วางหมากด้วยตัวเองแน่
สถานการณ์คร่าวๆ ก็เป็นเช่นนี้ แต่ข้าน้อยยังมีสองประเด็นที่ยังตรวจสอบไม่แน่ชัด
หนึ่ง ข้าน้อยทุ่มเทกายใจ แต่สุดท้ายก็ยังสืบไม่ได้ว่าของที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอคืออะไร แต่มีจุดหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือมันมีความสัมพันธ์ใหญ่หลวงกับสำนักพุทธ ส่วนจุดประสงค์ที่เศษเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจปลดปล่อยมันออกมายังไม่แน่ชัด
สอง ท่าทีของท่านโหราจารย์ช่างสุดจะคาดเดา ข้าน้อยยังพออ่านจุดประสงค์ที่จักรพรรดิหยวนจิ่งยกเลิกคำสั่งปิดเมืองได้ แต่จิตใจของท่านโหราจารย์สุดวิสัยของข้าน้อยที่จะคาดเดา
เห็นกันอยู่ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่ข้าน้อยกลับรู้สึกอยู่ตลอดว่าทั้งหมดนี้อยู่ในการคาดการณ์และการความคุมของเขา
จบการรายงาน
…
สวี่ชีอันกลับเข้าบ้าน กินข้าวเย็น บอกเล่าความคืบหน้าเรื่องคดีซังผอให้กับอารอง รวมถึงความจริงเรื่องคดีของท่านหญิงผิงหยางด้วย
อารองสวี่ฟังแล้วก็ตะลึงงัน นั่งนิ่งไม่กินข้าวกินปลาอยู่นาน พึมพำกับตัวเอง “ปัญญาชนพวกนี้มันโหดเหี้ยมกันทุกคนจริงๆ ปีนั้นแม้ว่าข้าจะฆ่าคนไปไม่น้อย แต่เทียบกับพวกเขาแล้ว ข้าเปิดเผยตรงไปตรงมามากกว่าหลายขุม”
“หนิงเยี่ยน เจ้าจำไว้นะว่าต่อไปถ้าต้องต่อกรกับพวกปัญญาชนล่ะก็ หากใช้ดาบได้จงอย่าลังเล ไม่อย่างนั้นจะถูกใส่ความเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เลย”
สวี่ชีอันพยักหน้าเออออ ในใจบอกว่าท่านลืมไปแล้วหรือไงว่าตนยังมีลูกชายที่เป็นปัญญาชนคนหนึ่งด้วย
เมื่อกินข้าวเสร็จ เขาก็หยอกล้อกับสวี่หลิงอิน พูดคุยกับหลิงเยวี่ยนิดหน่อย จากนั้นสวี่ชีอันก็คิดจะกลับไปยังบ้านหลังน้อยของตน
“อะแฮ่ม” อาสะใภ้กระแอมไออย่างมีเลศนัย ดวงตามองเสมองทางอื่นขณะพูด “ข้าให้คนตัดชุดให้เจ้าแล้ว เดี๋ยวจะให้หลิงเยวี่ยเอาไปส่ง จะพอดีตัวหรือไม่…ข้าก็คร้านจะสนใจ เจ้าจะใส่หรือไม่ก็ช่าง”
“โอ้ วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรืออย่างไรนะ” สวี่ชีอันหันไปมองด้านนอกอย่างประหลาดใจ
อาสะใภ้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ริมฝีปากเล็กๆ แดงอวบอิ่มแหวใส่เขาไปคำหนึ่ง “ไสหัวไป”
สวี่ชีอันกลับไปยังบ้านน้อยของตนทันที
เสี้ยวขณะที่เปิดประตูออก เขาก็ใจสั่นขึ้นมาทันใด ไม่ได้ใจสั่นเหมือนตอนที่ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีส่งข้อความมา แต่เป็นอาการใจสั่นแบบขนแขนลุกเกรียวจนเห็นเป็นหนังไก่นูนขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
สวี่ชีอันบังคับตนเองให้หันหน้ามองไปที่เตียง เห็นมือสีแดงที่ถูกตัดข้างหนึ่งวางแน่นิ่งอยู่บนนั้น
พริบตานั้นเขาก็ชาไปทั้งศีรษะ อะดรีนาลีนหลั่งพุ่งพล่าน เหงื่อเย็นเม็ดโตผุดซึม
…………………………………