บทที่ 168 การทำผงปรุงรสไก่สูตรง่าย
ณ กรมอาญา!
ผู้คุมสองคนเปิดประตู แล้วใช้ไม้กระบองฟาดไปที่กรงขังพร้อมตะโกนว่า “ใต้เท้าทั้งหลาย พวกเจ้าออกจากคุกได้”
ขณะที่ตะโกนบอกนั้น เหล่าผู้คุมต่างรู้สึกดีใจที่ตนรักษากฎ แต่ละหน่วยงานก็มีกฎระเบียบของใครของมัน และแนวทางปฏิบัติของผู้คุมก็คือไม่ยั่วโมโหผู้ฝึกวรยุทธ์ เว้นแต่อีกฝ่ายจะเป็นนักโทษประหารที่ถูกทำลายพลังฝึกตน
ผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับสูงที่ไม่ได้ทำผิดอะไรพวกนี้ บอกจะปล่อยตัวก็ปล่อยตัวได้เลย ดังที่เห็นเป็นตัวอย่าง
ปฏิกิริยาแรกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนคิดว่าฝ่าบาทมีราชโองการลงโทษนักโทษออกมาแล้ว ที่พวกเขาสามารถออกจากคุกได้นั้นเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามบรรลุเป้าหมายเรียบร้อย จึงไม่มีความจำเป็นต้องคุมขังพวกเขาต่อไป
แต่พอออกจากคุกใต้ดิน และยังถูกบอกให้ไปลงชื่อประทับตรา รับเครื่องแบบและฆ้องทองแดงของตนคืน
กระบวนการนี้เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง มันหมายความว่าพวกเขาพ้นผิดและถูกปล่อยตัว ทั้งยังกลับคืนสู่ตำแหน่งราชการเดิมด้วย
“ฝ่าบาทอภัยโทษพวกเราแล้วหรือ ไม่น่าเป็นไปได้นะ…” ใครบางคนพึมพำเสียงเบา
บรรดาหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมองหน้ากัน เห็นแต่สีหน้างุนงงของกันและกัน แต่ละคนรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง
คราวเคราะห์ต้องโทษครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผลจากการต่อสู้ระหว่างพรรค ทุกคนต่างก็เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมานาน รู้ถึงอันตรายและความโหดร้ายของการต่อสู้ระหว่างพรรค ว่าหากคว้าโอกาสได้ก็จะทำให้คู่ต่อสู้ถึงตาย ไม่มีทางไกล่เกลี่ยสงบเรื่องอย่างง่ายดายแน่
‘เว่ยกงละทิ้งบางสิ่งบางอย่างเพื่อนำพวกเราออกมาจากกรมอาญา…’ เจียงลวี่จงคาดเดาได้อย่างรวดเร็ว แล้วมองไปยังฆ้องทองคำสามคนที่อยู่ข้างกาย
บรรดาฆ้องทองคำสบตากันเงียบๆ ล้วนเดาได้พอสมควร ชั่วขณะหนึ่งในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา พลันเกิดความรู้สึกขอบคุณนักรบท่านนั้นผู้ยอมตายได้เพื่อสหาย และแอบรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณอันล้นพ้นของเว่ยเยวียนอยู่ในใจ
เมื่อรับเครื่องแบบ อาวุธ และป้ายห้อยเอวคืนมาแล้ว เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ออกจากกรมอาญาด้วยความเงียบงัน ระหว่างทางกลับสู่ที่ทำการ ในที่สุดทุกคนก็มีความสุขอย่าง ‘ผู้รอดชีวิตหลังภัยพิบัติ’ สักที
จากที่นิ่งเงียบในทีแรกก็เปลี่ยนเป็นการพูดคุยด้วยความตื่นเต้น มีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งเดินไปจัดระเบียบเพื่อนร่วมหน่วยรอบๆ บอกว่าจะไปเที่ยวสำนักสังคีตให้สำราญใจ
เหล่าฆ้องทองคำมองเขาอยู่สองสามรอบ เจ้าหนุ่มนี่ชอบเดินหรี่ตา ดูแล้วเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากลนัก
“ซ่งถิงเฟิง เพิ่งจะออกจากคุก เจ้าก็อดใจรอกระทำผิดไม่ไหวเชียวหรือ” ฆ้องทองแดงข้างตัวกล่าวอย่างไม่พอใจ
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร ฆ้องเงินหัวหน้าผู้ยุติธรรมของข้าก็ยังเข้าคุกเลย เจ้าจะทำผิดหรือไม่ ไม่ได้สำคัญเลยสักนิด มันขึ้นอยู่กับว่าพวกใต้เท้าเหนือหัวอยากเล่นงานเจ้าหรือเปล่าเท่านั้นแหละ” ฆ้องทองแดงที่ชอบหรี่ตาผู้นั้นพูดอย่างมั่นใจ
‘พูดจามีเหตุมีผล…’ เหล่าฆ้องทองคำครุ่นคิด
“เช่นนั้นถ้าสวี่หนิงเยี่ยนไป พวกเราก็ไป” มีฆ้องทองแดงพูดขึ้นมา
ดวงตาของเจียงลวี่จงสว่างวาบ ยิ้มพลางเอ่ยกับฆ้องทองคำข้างกาย “สวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนโปรดของสำนักสังคีต เป็นผู้ที่เหล่าคณิกาแข่งขันแย่งชิงกัน ก่อนหน้านี้ข้ากับหยางเยี่ยนพาไอ้ตัวแสบนี่ไปดื่มเหล้าที่สำนักสังคีตด้วย ไอ้เด็กนั่น…นอกจากฝูเซียงแล้ว ตอนนั้นยังมีคณิกาที่อยู่ด้วยอีกตั้งสี่นาง”
ท่ามกลางสายตาตั้งคำถามของฆ้องทองคำทั้งสาม เจียงลวี่จงที่ผ่อนคลายสบายใจก็นวดคลึงรอยตีนกาตื้นๆ ที่หางตา พลางเอ่ยยิ้มๆ “คณิกาสำนักสังคีตช่างมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือ ทำให้ข้าเหมือนได้ย้อนกลับไปตอนหนุ่มเชียวล่ะ”
ฆ้องทองคำสามคนไม่อาจปกปิดความอิจฉาในแววตา
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ขาดสตรี แต่คณิกาของสำนักสังคีตไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่เหล่าฆ้องทองคำจะสามารถหาความสำราญด้วยได้อย่างอิสระ ไม่ใช่เพราะอำนาจของฆ้องทองคำไม่มากพอ แต่เป็นเพราะสำนักสังคีตเป็นหน่วยงานภายใต้กรมพิธีการ อำนาจของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่อาจใช้ได้ที่นี่
ซ้ำร้ายเหล่าฆ้องทองคำยิ่งไม่เล่นประชุมชากับแขกได้ ยิ่งถ้าพูดไปตรงๆ ว่าอยากได้คณิกามาปรนนิบัติ ร้อยทั้งร้อยต้องถูกปฏิเสธ ทั้งยังไม่อาจโวยวายได้ เพราะกรมพิธีการอดรนทนรอให้พวกเขาก่อความวุ่นวายแทบไม่ไหว
เมื่อกลับมาถึงที่ทำการ ฆ้องทองคำทั้งสี่คนไปที่หอเฮ่าชี่ก่อน เพื่อฟังคำสั่งสอนของเว่ยเยวียนและแสดงความจงรักภักดี
“พอดีเลย ถือโอกาสนี้ทำขจัดสิ่งชั่วร้ายผิดทำนองคลองธรรมในที่ทำการเสีย และจัดระเบียบผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเจ้าให้ดี” เว่ยเยวียนกล่าว
ฆ้องทองคำทั้งสี่ก้มหน้ารับคำ
เว่ยเยวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยว่า “ครั้งนี้ที่พวกเขาออกมาได้ คนที่ควรจะขอบคุณไม่ใช่ข้า แต่เป็นอีกคนหนึ่ง”
‘อีกคนหนึ่ง? ฝ่าบาททรงเมตตาอภัยโทษสินะ’ พวกเจียงลวี่จงคาดเดาในใจ
“นั่นคือสวี่ชีอัน” เว่ยเยวียนกล่าวอย่างอ่อนโยน
สวี่ชีอัน? คำตอบนี้ทำให้ฆ้องทองคำทั้งสี่ประหลาดใจ ยากที่จะเชื่อ
เจียงลวี่จงเหยียดหลังตรง น้ำเสียงเคารพนบน้อม “เว่ยกง ระหว่างที่พวกข้าอยู่ในคุกนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
เว่ยเยวียนเล่าเรื่องคดีเจ้ากรมโยธาลักลอบติดต่อกับสำนักพ่อมดให้กับฆ้องทองคำทั้งสี่ฟัง และอธิบายเน้นย้ำถึงความสำคัญของสวี่ชีอันต่อคดีนี้ด้วย
ฆ้องทองคำทั้งสี่ออกจากหอเฮ่าชี่ สีหน้าของเจียงลวี่จงหดหู่ อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
ฆ้องทองคำคนหนึ่งพูดหยอกไปว่า “อิจฉาที่ฆ้องทองแดงผู้นั้นได้ความดีความชอบบ่อยๆ หรือ”
เจียงลวี่จงส่ายหน้า ปิดนัยน์ตาคมกริบดุจมีดดาบลงแล้วถอนหายใจ “ตอนแรกข้าน่าจะสู้กับหยางเยี่ยนให้ถึงที่สุด แล้วชักชวนสวี่ชีอันมาเป็นลูกน้องซะ”
“ฆ้องทองแดงสวี่เป็นอัจฉริยะยากจะหาได้จริงๆ เพียงแต่พลังต่ำต้อยไปหน่อย”
“เจ้าจะไปรู้อะไร เข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย…” จู่ๆ เจียงลวี่จงก็หุบปากไป
“หืม” ฆ้องทองคำทั้งสามมองไปที่เขา
“พูดไม่ได้ พูดไม่ได้” เจียงลวี่จงส่ายหน้า
“นี่เจ้าคนแซ่เจียง เจ้าไปเรียนมาจากหญิงในหอนางโลมที่ชอบถอดเสื้อผ้าส่ายก้นยั่วยวนผู้คนหรืออย่างไร”
“พูดมาเร็ว ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนนั้นเป็นอะไร ข้าก็รู้สึกว่าเขาประหลาด เว่ยเยวียนโปรดปรานฆ้องทองแดงคนหนึ่งมากเกินไปแล้ว”
“อยากรู้เจ้าก็ไปถามเว่ยกงเองสิ”
ไม่ว่าฆ้องทองคำทั้งสามคนจะคาดคั้นอย่างไร ให้ตายเจียงลวี่จงก็ไม่พูด
…
หลังจากสอบถามความเห็นของอารองคร่าวๆ วันต่อมาสวี่ชีอันก็วิ่งไปซื้อบ้านผีสิงกับหยาหังทันที
ความจริงแล้วความหมายของอารองคือให้ดูอีกที แต่อาสะใภ้กับหลิงเยวี่ยต่างก็พึงพอใจบ้านหลังนั้น เสียก็แต่มีผีสาวอยู่ในบ่อน้ำ แต่พอได้ยินอารองสวี่หัวหน้าครอบครัวบอกว่า ‘ในเมื่อคนของสำนักโหราจารย์เคยดูไปแล้ว ก็น่าจะไม่มีปัญหา’
อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยจึงวางใจโดยสมบูรณ์
หยาหังนับถือความหัวแข็งของสวี่ชีอันอย่างมาก แม้ว่าจะรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจจ้างคนมาทำความสะอาดบ้านให้เป็นพิเศษ
ขณะที่กินอาหารเย็น สวี่ชีอันเอ่ยถามสวี่ผิงจื้อ “อารอง บ้านถูกปล่อยทิ้งร้างไว้หลายปี ต้องซ่อมแซมปรับปรุงให้ดี วันนั้นข้าพาอาสะใภ้กับน้องสาวไปดูแล้ว โครงสร้างของบ้านยังสมบูรณ์ดี เพียงแต่ประตูหน้าต่างบางบานผุพังขอรับ”
สวี่ผิงจื้อไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ครึ่งเดือนก็พอแล้ว”
ครึ่งเดือน? ไม่ได้ตกแต่งซ่อมแซมให้ดีเลิศ จะใช้เวลาเยอะขนาดนั้นทำไม…สวี่ชีอันกล่าว “เราจ้างช่างมากลุ่มหนึ่งเถอะขอรับ หาเอาจากเมืองชั้นนอก จากนั้นให้พวกเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำสิบสองชั่วยาม แบบนี้เจ็ดวันก็น่าจะพอแล้ว”
สวี่ผิงจื้อชะงัก “ทำไมต้องเป็นเมืองชั้นนอก ช่างเมืองชั้นในมีฝีมือดีกว่านะ”
“เพราะช่างไม้เมืองชั้นนอกถูกอย่างไรเล่า อีกทั้งยังไม่รู้เรื่องบ้านผีสิง พวกเขาสามารถพักอยู่ในนั้นได้อย่างสบายใจ”
‘ใจดำแท้…’ ทุกคนในบ้านคิดในใจ
งานจ้างช่างไม้จึงถูกส่งมอบให้สวี่ผิงจื้อจัดการ ในแวดวงเล็กๆ นี้ สวี่ชีอันเป็นพวกไม่มีหนวด[1] ทำงานไม่น่าเชื่อถือ เขาไม่มีประสบการณ์
อารองสวี่เป็นคนเมืองหลวงมานาน ให้เขารับผิดชอบเรื่องพวกนี้ อาสะใภ้กับน้องสาวก็วางใจ
ผู้ชายจะต้องมีหนวดอยู่บนปากบ้าง แบบนี้ผู้ชายก็ชอบ ผู้หญิงก็ชอบ
…
วันนี้สวี่ชีอันหยุด เขาไม่ได้ไปสำนักสังคีตมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว เขาขี่รถม้าออกนอกบ้าน ไปพบเถ้าแก่ร้านขายของป่าในตลาดที่ติดต่อกันก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นจึงซื้อเห็ดหอมสองตะกร้ามาจากเขา
ต่อมาเขาก็ทำตามสัญญาสองอย่างของตน หนึ่งคือช่วยฉู่ไฉ่เวยเลื่อนขั้นเป็นโหรระดับหก สองคือทำอาหารให้ฉู่ไฉ่เวย
เป้าหมายของเขานั้นชัดเจนมาก นั่นคือทำผงปรุงรสไก่สูตรง่าย
ก่อนหน้านี้สวี่ชีอันเคยดูวิดีโอเรื่องหนึ่ง ผู้ที่โพสต์วิดีโอเป็นนักชิม ไม่ใช่คุณแบร์ กริลส์[2] แต่เป็นนักชิมอย่างจริงจังเลย
เขารวบรวมสูตรอาหารโบราณมากมาย แล้วทำอาหารเลิศรสตามขั้นตอนของสูตรอาหารนั้น ผลลัพธ์คือพบว่าอาหารเลิศรสโบราณไม่ได้อร่อยมากอย่างที่คิด
หลังจากสรุปผลแล้วก็พบว่า ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของอาหารยุคปัจจุบันกับอาหารโบราณไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงและการเพิ่มขึ้นของรูปแบบลักษณะ แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบใหม่ของเครื่องปรุงรส
หลังจากมายังโลกใบนี้ สวี่ชีอันก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างยิ่ง ฝีมือของพ่อครัวที่ร้านกุ้ยเยว่ไม่เลวเลย แต่เห็นได้ชัดว่ากับข้าวของคนทั่วไปจืดชืดเป็นที่สุด แม้ว่าตระกูลสวี่จะมีน้ำแกงรสเด็ดก็ตาม
‘การกำเนิดของผงชูรสคือความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่ในวงการอาหารของมนุษย์…’ สวี่ชีอันเทเห็ดหอมสองตะกร้าลงไปแช่ในอ่างใบใหญ่
จากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงไปที่เรือนหลัง แอบขโมยแม่ไก่แก่มาตัวหนึ่ง เชือดให้ตาย แล้วตุ๋นลงในเตาดินขนาดเล็ก
จากนั้นนำเห็ดหอมที่แช่ไว้ไปล้างให้สะอาดคร่าวๆ พักให้สะเด็ดน้ำ ก่อนจะใส่ลงไปในหม้ออีกใบบนเตาดิน
สวี่ชีอันไม่ได้ตั้งใจจะทำผงชูรส เพราะขาดความรู้ที่เกี่ยวข้องและประสบการณ์ เขารู้แค่ว่าส่วนประกอบหลักๆ ของผงชูรสคือ MSG เท่านั้น ซึ่งมันสามารถสกัดได้จากการหมักธัญพืชและสาหร่ายทะเล
…แต่ว่าสิ่งที่ได้จากการหมักธัญพืชไม่ใช่เหล้าหรอกหรือ สวี่ชีอันระลึกความทรงจำและพึมพำในใจไปด้วย
ตัดตัวเลือกสกัดผงชูรสจากสาหร่ายทะเลไปได้เลย ไม่อาจนำมาใช้ได้ เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะต้นทุนสูงเกินไป
เมืองหลวงแห่งต้าฟ่งตั้งอยู่ในที่ราบภาคกลาง ห่างไกลจากชายฝั่งทะเล แม้จะมีการขนส่งทางน้ำและทางทะเล แต่สินค้าจากทะเลก็ยังเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีแต่เจ้าขุนมูลนายในเมืองหลวงเท่านั้นที่จะหามาลิ้มรสได้
“คิดจะสกัดผงชูรสจากสาหร่ายทะเลให้เพียงพอ ก็ต้องใช้ปริมาณมหาศาลมาก ต่อให้ซื้อจนบ้านล้มละลายก็ยังสกัดผงชูรสออกมาได้ไม่เท่าไหร่”
แผนของสวี่ชีอันคือใช้ผงปรุงรสไก่มาใช้แทนผงชูรส นี่ต้องขอบคุณความขี้สงสัยในวัยเด็ก จู่ๆ วันหนึ่งTotole[3]ก็เข้ามาอยู่ในบ้าน แม่เลยไม่อยากใช้ผงชูรสอีกต่อไป
เขาสงสัยว่าซองสีเหลืองนั่นจะเอามาใช้แทนผงชูรสได้อย่างไร ดังนั้นจึงตั้งใจดูวัตถุดิบอย่างละเอียด
ส่วนประกอบหลักของผงปรุงรสไก่คือกรดกัวนิลิกสิ่งนี้สามารถเทียบได้กับผงชูรสสด และกรดกัวนิลิกก็มีอยู่ในเห็ดหอมจำนวนมาก
เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละนิด ระหว่างนั้นเขาได้เติมน้ำเข้าไปหลายครั้งจนเห็ดหอมและแม่ไก่แก่ค่อยๆ ถูกต้มจนเปื่อย กลิ่นหอมแปลกประหลาดก็ลอยอบอวลไปทั่วห้องครัวเล็ก
สวี่ชีอันนำเห็ดหอมออกมา ในหม้อเหลือเพียงน้ำสกัดเข้มข้นเท่านั้น เห็ดหอมที่ต้มจนเปื่อยถูกวางไว้บนผ้าขาวบาง เมื่อใช้แรงบีบคั้น ก็จะคั้นได้น้ำสกัดเข้มข้น หลังทำอยู่หลายครั้ง เห็ดหอมที่อยู่ในผ้าขาวบางก็แห้งสนิท ลักษณะเหมือนถูกสูบรีดหมดตัว
กระบวนการต่อจากนั้นคือนำน้ำต้มของแม่ไก่แก่เข้มข้นและน้ำสกัดเห็ดหอมมาผสมเข้าด้วยกัน บดเนื้อไก่และกระดูกไก่ด้วยหม้อยา ก่อนผสมลงไปในน้ำต้ม แล้วคนให้เข้ากัน
จากนั้นรอให้น้ำแห้งจนจับตัวเป็นก้อนตามธรรมชาติ แล้วค่อยนำก้อนมาบดให้เป็นผง จากนั้นผงปรุงรสไก่สูตรง่ายก็เสร็จแล้ว
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ สวี่ชีอันก็เหลือบมองท้องฟ้า ค่ำแล้ว
ตอนนี้แม่ครัวน่าจะยุ่งอยู่กับอาหารเย็น สามารถลองใช้สิ่งประดิษฐ์กากๆ จากศตวรรษที่ 21 ได้
และจะได้ขอรับฟังข้อเสนอแนะผลิตภัณฑ์จากอารองกับอาสะใภ้ได้ด้วย
ข้ามีลางสังหรณ์ว่าวันนี้สวี่หลิงอินจะกินข้าวสิบชาม…มุมปากสวี่ชีอันยกขึ้นเล็กน้อย เขาตักน้ำต้มที่เหนียวเข้มข้นขึ้นหนึ่งชามอย่างมีความสุขเป็นพิเศษ ก่อนกระโดดข้ามกำแพงไปบ้านใหญ่
……………………………………
[1] ไม่มีหนวด ในสมัยโบราณจะเชื่อถือผู้ชายไว้หนวดเครา อุปมาว่ามีประสบการณ์ รู้เรื่องราวดีกว่า
[2] แบร์ กริลส์ นักผจญภัยชาวอังกฤษที่ขึ้นชื่อเรื่องการกินของพิสดารต่างๆ
[3] ชื่อยี่ห้อผงปรุงรสไก่