บทที่ 9 องค์จักรพรรดิเข้าใจกระจ่างแจ้ง
บทที่ 9 องค์จักรพรรดิเข้าใจกระจ่างแจ้ง
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หันไปเห็นฮองเฮานอนหมดสติอยู่บนพื้น ถึงรีบถามขึ้นว่า : “ฮองเฮาของข้าเป็นอะไรไป?”
“เมื่อครู่นี้สีพระพักตร์ของฝ่าบาทไม่สู้ดีนัก ฮองเฮาเป็นกังวลมากเกิน จึงหมดสติไปเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นที่อธิบายเสร็จ ไม่กล้าที่จะหันไปมองหนานกงเย่แม้แต่นิดเดียว
คนผู้นี้น่ากลัว ไม่มองจะดีกว่า มองแล้วจะสงบจิตสงบใจได้ยาก
เวลานี้เองหมอหลวงก็รีบหมอบคลานเข้ามาโดยเร็ว : “ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมมาสายแล้ว”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสขึ้นว่า : “ช่างเถิด แขนขาที่แก่ชราของเจ้า ก็เร็วได้ไม่เท่าไหร่ รีบไปดูอาการของ
ฮองเฮาเถอะ”
หมอหลวงหยิบเข็มออกมาเล่มหนึ่ง ปักให้ฮองเฮา จากนั้นฮองเฮาฟื้นขึ้นด้วยความงัวเงีย พระนางค่อยๆ ลืมตาขึ้น : “ฝ่าบาท ฝ่าบาท……”
“ข้าอยู่นี่”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ราวกับตายแล้วเกิดใหม่ กอดฮองเฮาแน่นด้วยความรู้สึกตื้นตัน
ฉีเฟยอวิ๋นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วถอยออกมา จากนั้นก็คุกเข่าก้มหน้าลงต่ำ
หนานกงเย่ที่เพิ่งเห็นฉีเฟยอวิ๋น : “ข้าคงประเมินเจ้าต่ำเกินไป พระชายาเย่!”
คำหลังหนานกงเย่พูดลอดไรฟันออกมา แต่ฉีเฟยอวิ๋นเงียบสนิทไม่พูดอะไรออกมา
ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เป็นเพราะหวั่นใจ ในราชวงศ์นี้ที่กินคนไม่คายกระดูก ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีอยู่แก่ใจ โอกาสรอดที่ดีที่สุดคือการประนีประนอม
ฉีเฟยอวิ๋นเองรู้ว่าเรื่องนี้จะจัดการยาก แต่เหตุการณ์เมื่อครู่นี้มันกะทันหันเกินไป เพราะฉะนั้นจึงทำให้หนานกงเย่รู้จุดอ่อนของเธอเข้า
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลุกขึ้นยืน หนานกงเย่ช่วยประคองพระองค์ยืนขึ้น จากนั้นองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็เข้าไปประคองฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูไปประทับ ทรงจับมือของฮองเฮาไว้ พร้อมกับมองมายังฉีเฟยอวิ๋น
“ข้าไม่เคยรู้เลย ว่าชายาเย่มีความสามารถทางด้านนี้ด้วย คงจะไม่ได้ด้อยไปกว่าหมอหลวง”
ถึงแม้ว่าแววตาขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้จะอ่อนโยน แต่ฉีเฟยอวิ๋นเหมือนกำลังเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็งบางๆ คนที่มายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ ย่อมไม่ธรรมดาทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ไม่ได้มีบุตร แต่กลับครองบัลลังก์มาได้ตั้งยี่สิบปี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากจริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เฉลียวฉลาดขนาดนั้น คอก็ไม่ได้น่าบั่น และก็ยังรักชีวิตและกลัวตาย
“ฝ่าบาท ประจักษ์ชัดเจน หม่อมฉันเพียงแค่ชื่นชอบ แอบฝึกเองเพียงไม่นาน ไม่ถือเป็นความสามารถพิเศษ หม่อมฉันหวังว่าฝ่าบาทจะไม่บอกท่านพ่อของหม่อมฉัน และช่วยหม่อมฉันเก็บเป็นความลับเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในช่วงเสี้ยวเวลาวิกฤติ จึงอ้างถึงนายพลฉีขึ้นมา
“อย่างไร?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกสนพระทัยเป็นอย่างมาก
“กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันชอบการแพทย์มาตั้งแต่เด็ก แต่ท่านพ่อของหม่อมฉันชอบศิลปะการต่อสู้ หม่อมฉันยังเด็กจึงเกเร ทำตามตำราแพทย์ ปรุงยาแม้กระทั่งยาพิษ สุดท้ายทำหนูที่บ้านตายเต็มสวนหมด ท่านพ่อโกรธมาก กลัวว่าหม่อมฉันจะตายด้วยยาพิษของที่หม่อมฉันปรุงขึ้นมาเอง จึงเอาตำราไปเผาจนหมด หม่อมฉันร้องไห้อยู่สามวันสามคืน ท่านพ่อของหม่อมฉันบอกว่าถ้าหากมองฉันยังไม่เชื่อฟัง ก็จะไม่ให้เอาหม่อมฉันแล้ว
เป็นเพราะยังเด็กมาก ยังไม่เข้าใจความเป็นห่วงใยและความหวังดีของท่านพ่อ หม่อมฉันกลัวถูกทิ้ง ไม่กล้าต่อต้าน จึงใช้วิธีแอบเรียนเอา
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้หม่อมฉันไม่อยากให้ท่านพ่อรับรู้ จึงอยากขอความเมตตาจากฝ่าบาท ไม่บอกท่านพ่อได้ไหมเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหมอบเสมอพื้นไม่ยอมลุกขึ้น องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกำลังนวดมือฮองเฮา พร้อมกับมองไปทางหนานกงเย่ : “อ๋องเย่ เจ้าว่าอย่างไร?”
“ฝ่าบาททรงตัดสินได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ อิงหลังไปที่พนักพิง แล้วมองมาที่ฉีเฟยอวิ๋น เวลานี้เอง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนเข็มพันเล่ม มีเพียงหนานกงเย่เสือตัวนี้เท่านั้นที่สามารถทำเอาเธอตายได้ ตอนนี้ก็ยังเพิ่มมาอีกตัว
แต่ว่าตอนที่นางกำลังตรวจชีพจรของฝ่าบาทอยู่นั้น ก็เจอเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นความลับสุดยอดของราชวัง
พยายามจับชีพจรอยู่หลายรอบ แต่กลับหาไม่เจอ สุดท้ายจึงใช้วิธีเสี่ยงเอา
“ข้าก็ถือว่าได้ดูเจ้าเติบโตมา เพื่อสิ่งนี้แล้วของพ่อเจ้าไม่ยอมแต่งงานใหม่อีก ลำบากพวกเจ้าสองพ่อลูกแล้ว” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ฝ่าบาท เพียงแค่ไม่บอกเรื่องนี้กับท่านพ่อข้า ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าก็ยินดีจะทำทั้งนั้นเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นรีบทำตัวน่าสงสาร
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้โบกมือ พร้อมกับตรัสขึ้นว่า : “ช่างเถิด ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงค่อยลุกขึ้น แล้วพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาท ทรงให้ผู้อื่นถอยออกไปก่อนได้หรือไม่เพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรู้สึกแปลกพระทัย และทรงทอดพระเนตรไปยังหนานกงเย่ หลังจากนั้นก็ทรงลุกยืนขึ้น : “ดูแล้วคงจะฟ้องเรื่องของเจ้าเป็นแน่แท้”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงชี้ไปที่หนานกงเย่
หนานกงเย่จ้องไปที่ฉีเฟยอวิ๋น พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น : “เรื่องหย่า อย่าแม้แต่จะคิด!”
พูดจบก็ออกไปทันที
ฉีเฟยอวิ๋นกลอกตามองบนในใจ คนอะไรทั้งหยิ่งทั้งโรคจิต ไม่ชอบแต่กลับจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงประทับลง : “ไหนว่ามาสิ เจ้าจะฟ้อง หรือว่าจะหย่า?”
“ไม่ใช่ทั้งคู่เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้สายพระเนตรเยือกเย็นขึ้นมาทันที : “เจ้ารู้เหรอ?”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าฝ่าบาทกำลังพูดอะไร แต่หม่อมฉันมีเรื่องที่อยากจะทูลถามไม่รู้ว่าบังควรหรือไม่เพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นในตอนนี้ไม่กล้ายอมรับอะไรทั้งนั้น เพราะไม่ว่ายังไงก็ยังไม่ได้เป็นพันธมิตร”
แต่เธอฟังออก ว่าแม้แต่พระองค์เองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ตั้งแต่เยาว์วัยข้าก็มีโรคมากมายรุมเร้า พอโตเป็นผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีบุตร เพียงแต่ว่ากลับเสียก่อนวันอันควร หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีอีกเลย เจ้าดูแล้ว อายุของข้า ยังมีโอกาสจะมีได้อีกหรือเปล่า?”
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจได้ในทันที ที่จริงแล้วองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ส่งรู้ตัวพระองค์ดี แต่พระองค์เลือกที่จะเมินเฉย แสร้งทำเป็นไม่รู้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิกล้าให้ข้อสรุปที่ชัดเจนได้เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าให้ข้อสรุป ภาวะมีบุตรยากสิบกว่าปี หากหายก็ว่าไปอย่าง ถ้าเกิดไม่หายขึ้นมา……คนที่ซวยก็คือตัวเธอเอง
มาพูดว่าเคยมีบุตรแล้ว แต่เสียก่อนวัยอันควร เธอจะรู้ได้ยังไงว่าใช่เรื่องจริงหรือเปล่า
“งั้นหม่อมฉันขอตรวจดูหน่อยเพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ยื่นพระหัตถ์ออกมา รอให้ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปหา ฉีเฟยอวิ๋นรวบรวมความกล้า คุกเข่าลงหน้าพระพักตร์ของพระองค์ จับชีพจรข้อมือของพระองค์ไว้ ผ่านไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาทไม่ได้ป่วยเพคะ”
“แน่ใจหรือ?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามขึ้น สายพระเนตรเต็มไปด้วยความปรานี
“แน่ใจเพคะ”
“มีทางรักษาไหม?”
“มีเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมั่นใจ ตราบใดที่ไม่ใช่กรรมพันธุ์ ก็รักษาได้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจมาก ในขณะที่เธอกำลังวินิจฉัยอาการขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้อยู่นั้น เมื่อวางมือลงไป เธอก็มั่นใจอย่างมากว่านี่ไม่ใช่อาการป่วยจากโรค เพียงแต่ว่ากำลังถูกใครบางคนวางยา เพื่อทำลายการทำงานของสมรรถภาพทางการสืบพันธุ์ขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ที่ร่างกายต้องการ ตรงกันข้าม สมรรถภาพของพระองค์ยังคงทำงานได้ดีเยี่ยม เพียงแต่ถูกปิดกั้นการสืบพันธุ์เท่านั้น
เปรียบเสมือนการกินยาคุมชนิดหนึ่ง ความสามารถในการสืบพันธุ์จึงถูกขัดขวางลง
“ลุกขึ้นเถิด ข้าจะรอเจ้าจัดยามาให้” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงดึงพระหัตถ์กลับ ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบถามขึ้นว่า : “ฝ่าบาท เรื่องวันนี้?”
“สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม ที่เจ้าช่วยข้าเมื่อครู่ ก็ถือว่าชดเชยกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะในใจ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราซะหน่อย พูดอะไรตามอำเภอใจจริงๆ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกยืนขึ้น อย่างน้อยๆ ก็พอได้เรื่องบ้าง เพียงรักษาองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ให้หายดี เธอก็จะยังไม่ต้องตาย อย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้
“เรื่องหย่า ข้าว่าเจ้าลองกลับไปคิดทบทวนดูดีๆ ในเมื่ออ๋องเย่ไม่อยากที่จะหย่า ข้าก็บังคับใจใครไม่ได้ เจ้าไปจัดยาให้ข้าก่อน ร่างกายข้าหายดี บางทีหากข้าดีใจ ก็อาจจะทำให้ความหวังของเจ้าสมดังปรารถนา”
“เพคะ หม่อมฉันหวังว่าฝ่าบาทจะทรงมีพลานามัยที่แข็งแรง……และทรงกลับมามีความสุขสมดั่งปรารถนาอีกครั้ง”
เธอจะพูดอะไรได้อีกล่ะ นอกจากพูดเอาอกเอาใจ
เมื่อองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงเสด็จออกไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เดินตามออกไปด้วย
เวลานี้ด้านนอกไม่ได้มีเพียงฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูและหนานกงเย่ แต่ยังมีหนานกงเหยี่ยนและพระชายาตวนด้วย
เมื่อทั้งสี่เห็นองค์จักรพรรดิอวี้ตี้และ ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาจากด้านหลัง ก็รีบหันมาทำความเคารพ
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสขึ้นว่า : “เรื่องที่พระชายาเย่ขอหย่า ข้าเองก็ทำตัวไม่ถูก แต่ว่าอ๋องเย่……ถ้าหากว่าเจ้าไม่ชอบพระชายาเย่จริงๆ ก็หย่ากันเสีย
ข้าเองรู้สึกว่าอวิ๋นเอ๋อร์ก็ใช้ได้ทีเดียว”
พูดถึงเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ ฉีเฟยอวิ๋นแอบด่าจักรพรรดิว่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย เวลาแบบนี้มาพูดถึงเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ ที่แท้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตั้งใจจะไม่ให้โอกาสเธอหย่ากันอยู่แล้ว!
แต่งกับใครก็เหมือนๆ กัน หนานกงเย่ชอบทำให้สถานการณ์มันแย่ลงตลอด และก็คงจะไม่ยอมหย่าง่ายๆ ด้วย!
**********************